ตอนที่ 10 ก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง
ตอนที่ 10 ก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง
เฮ่อซงพยายามปิดซ่อนความคับแค้นในสายตาเอาไว้ ขณะแบกรับคำเย้ยหยันจากศิษย์คนอื่น เขาเก็บเครื่องมือที่เตรียมมาเดินเข้าไปด้านในโรงนา
ภายหลังผ่านไปสักพักหนึ่ง เสียงแผดร้องพลันดังขึ้นจากโรงนา และตอนที่เฮ่อซงเผ่นหนีออกมา เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดด้วยรอยกรงเล็บมากมาย ใบหน้าในเวลานี้เสียโฉมเพราะปรากฏรอยกรงเล็บที่เลือดไหลเจิ่งนอง!
จี้เตี๋ยไม่คิดสนใจเรื่องราวเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เพราะเขาตรงกลับบ้านเพื่อเตรียมใช้ผลยกวิญญาณเพิ่มพูนการฝึกฝนของตนเองอย่างต่อเนื่อง
ขณะเวลาเดียวกัน ศิษย์คนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่ดูแลคอกสัตว์ได้ไปรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชายหน้าม้าทราบ
ยามได้ยินว่าเฮ่อซงคิดใช้กำลังบีบบังคับจี้เตี๋ยให้ทำความสะอาดคอกและอาบน้ำสัตว์อสูร แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้แก่จี้เตี๋ยเสียเอง ชายหน้าม้าถึงขั้นต้องประหลาดใจ
“มันสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สองได้ในเวลาอันสั้น ถึงขั้นเอาชนะเฮ่อซงได้เลยหรือนี่ ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งแล้ว แต่ก็คงต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ดันไปมีเรื่องกับศิษย์พี่หญิงซ่ง! ชีวิตมันคงไม่ยืนยาวสักเท่าไหร่!”
ภายหลังโบกมือไล่ศิษย์คนดังกล่าวกลับไป ชายหน้าม้าจึงหลับตาลงไปชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บเรื่องราวนี้มาใส่ใจ
ในสายตาของเขา จี้เตี๋ยถือเป็นคนไร้ค่า
เนื่องจากสัตว์อสูรที่มอบหมายให้จี้เตี๋ยดูแลมีนิสัยดุร้าย กระทั่งเจ้าของยังทำอะไรกับนิสัยดังกล่าวไม่ได้
และเมื่อใดที่ถึงวันอาบน้ำล้างคอก หากไม่ตายก็คงต้องพิการกันไปข้างหนึ่ง
แค่นั้นก็จะเป็นไปตามที่ศิษย์พี่หญิงซ่งของเขาปรารถนาแล้ว
แม้ไม่ทราบว่าคนทั้งสองมีปัญหาอะไรกันมา เพียงแต่คนเช่นเขาแค่ทำตามคำฝากฝังที่ได้รับก็เท่านั้น
หากว่าสามารถสร้างความดีความชอบได้ ทั้งการฝึกตนและสถานะของเขาอาจมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้น หรืออาจถึงขั้นได้เข้าร่วมสำนักสายใน!
ช่วงเที่ยงวันถัดมา จี้เตี๋ยกำลังยืนนอกคอกหมายเลขสิบเอ็ดขณะเทตะกร้าผลไม้ใส่เข้าไป
งูดำลืมตาขึ้นและมองตอบ หัวอันใหญ่โตของมันไร้การเคลื่อนไหวตอบสนอง หากจะมีอะไรที่ราวกับเป็นสัญญาณตอบรับ ก็คงเป็นลิ้นสีแดงชาดที่แลบออก
จี้เตี๋ยได้ตระหนักว่าเรื่องราวคล้ายจะเป็นไปตามต้องการ เมื่อหันมองแล้วพบว่ารอบข้างไม่มีใครอื่น เขาจึงนำผลยกวิญญาณที่ผ่านการยกระดับจากหม้อทองแดงออกมา
ครั้งนี้เองที่ดวงตาของงูดำซึ่งเดิมหลับอยู่พลันจ้องมองด้วยนัยน์ตาแนวตั้ง มันแสดงความปรารถนาอันรุนแรงออกมาให้พบเห็น เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพราะมันรู้คำพูดของจี้เตี๋ยเมื่อวาน หรือทราบว่าไม่มีทางหลุดพ้นจากห่วงโซ่ไปไขว่คว้า ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ได้พุ่งตัวเข้ามาอย่างก้าวร้าวเช่นที่เคยเป็น
“ทำได้ดี เหมือนจะไม่มีความคิดแย่งชิงแล้วสินะ” จี้เตี๋ยกำลังพึงพอใจที่เห็นว่าแผนการได้ผลด้วยดี ขณะนี้จึงโยนผลไม้ส่งเข้าไป
เพราะอย่างไรเขาก็มีผลยกวิญญาณมากมายอยู่แล้ว
ตอนที่งูดำพบเห็นผลไม้กลิ้งเข้าหา มันราวกับชะงักไปชั่วครู่ และภายหลังแสดงท่าทีลังเล สุดท้ายมันจึงเลื้อยเข้าหาและกลืนหายวับเข้าปาก ดวงตาสีแดงชาดของมันแสดงท่าทีพึงพอใจขณะมองมายังจี้เตี๋ยอีกครั้งหนึ่ง
ตุบ! ผลไม้อีกผลหนึ่งกลิ้งเข้าหา มันชะงักไปชั่วครู่ และสุดท้ายจึงเร่งรีบเลื้อยเข้าไปกลืนต่อ ปัจจุบันการฝึกฝนของมันแทบจะเข้าใกล้การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่แล้ว
“จำเอาไว้ ตราบเท่าที่เชื่อฟัง หากข้าชี้ไปทางซ้ายก็ต้องไปซ้าย ทำตัวให้ดีแล้วข้าจะให้ผลไม้นี่หนึ่งผลต่อมื้ออาหารของแก”
งูดำในเวลานี้ราวกับเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด มันแลบลิ้นออกมาทำตัวประหนึ่งเด็กน้อยที่รูปลักษณ์ไม่ค่อยจะน่ารักน่ากอดสักเท่าไหร่
จี้เตี๋ยที่ได้เห็นจึงรู้สึกพอใจ ภายหลังพูดคุยจบเรียบร้อย เขาจึงหันกลับและเดินออกจากโรงนาไป
บริเวณโรงนาไม่มีศิษย์คนไหนอยู่ เพราะส่วนใหญ่ต่างก็ฝึกตนอยู่ภายในห้องของตนเอง และอีกส่วนก็ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคอกสัตว์
นอกจากเวลาให้อาหารตามกำหนด ศิษย์ในพื้นที่นี้สามารถใช้เวลาของตนเองได้อย่างอิสระ ดังนั้นพอมีเวลาว่างพวกเขาย่อมไม่คิดขลุกตัวอยู่ที่โรงนาแห่งนี้
“พอมาคิดดูแล้ว เราเข้าสำนักเจ็ดลึกล้ำมาก็นานพอสมควรแต่ยังไม่เคยได้ออกไปไหน ชักสงสัยแล้วสิว่านอกพื้นที่โรงนานี่จะมีอะไรอยู่บ้าง” แม้จี้เตี๋ยถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดออกไปเดินสำรวจแต่อย่างใด
ในเมื่อมันไม่ใช่สถานที่คุ้นเคย ทั้งยังไม่มีญาติหรือมิตร เขาจึงเลือกที่จะฝึกฝนต่อเพื่อหาทางข้ามผ่านสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายหลังเก็บผลไม้จากสวนมาอีกเล็กน้อย เขาจึงเดินกลับบ้านพักไป
บังเอิญว่าระหว่างทางเขาดันได้พบเฮ่อซง ผู้ที่มีสภาพร่างกายโชกด้วยเลือดพร้อมรอบกรงเล็บเต็มทั่วใบหน้า ไม่ต้องคิดก็ทราบได้ว่าอสูรหมาป่าคงกระโจนเข้าใส่ตอนพยายามเข้าไปอาบน้ำล้างคอก
เฮ่อซงเองก็พบเห็นจี้เตี๋ย แววตานั้นยังเปี่ยมด้วยความอาฆาตมาดร้าย
อสูรหมาป่าไม่ชอบอาบน้ำ ด้วยเหตุนั้นมันจึงตอบโต้อย่างรุนแรง สุดท้ายจึงกลายเป็นที่รองรับอารมณ์
ก่อนหน้านี้ระดับการฝึกตนของเขากับอสูรหมาป่าแทบจะเท่ากัน ดังนั้นจึงยังพอต้านรับเอาไว้ได้บ้าง แต่เพราะปัจจุบันอสูรหมาป่าสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สาม เฮ่อซงจึงกลายเป็นผู้ถูกกระทำ
หากว่ามันไม่ใช่สัตว์อสูรที่สำนักเลี้ยงดู แต่เป็นสัตว์ป่าที่หลงทางไปพบเจอเข้า เกรงว่าเขาคงตายไปแล้ว
“อาการบาดเจ็บนั่นยังไม่มากพอหรือไร?” จี้เตี๋ยพบเห็นสายตาคับแค้นที่มองมาจึงเย้ยหยันตอบกลับ
“อย่าได้ใจเกินไปนัก ไม่ช้าเจ้าจะมีสภาพเหมือนดังข้า หรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่าข้า!” เฮ่อซงแค่นเสียงฮึมฮัมขณะเดินผละจากไป
จี้เตี๋ยเกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจคนพาลเช่นอีกฝ่าย ขณะนี้จึงตรงกลับบ้านพักของตนไป เพราะนอกจากเวลาให้อาหารแล้ว เขามักจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดที่มีไปกับการฝึกตน
ตามคัมภีร์วิชามหาลึกล้ำ การจะสำเร็จขั้นที่สี่ได้ก็จำเป็นต้องแปรสภาพพลังวิญญาณให้กลายเป็นกระแสน้ำ
มันหมายความถึงต้องเปลี่ยนพลังวิญญาณภายในร่างกายให้ไหลเวียนได้เหมือนดังกระแสน้ำ
ปัจจุบันพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นจากผลยกวิญญาณผลหนึ่ง กลับได้รับมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งจากที่เคยเป็น จี้เตี๋ยจึงคิดคำนวณโดยคร่าวและประเมิน ว่าหากต้องการแปรเปลี่ยนพลังวิญญาณในร่างกายให้เป็นกระแสน้ำเพื่อก้าวสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สี่ ก็จำเป็นต้องใช้ผลยกวิญญาณอย่างน้อยสามสิบผล
แน่นอนว่าระหว่างฝึกตนเองให้ก้าวหน้า เขายังไม่ลืมเรื่องฝึกสอนงูดำให้เชื่อง และปัจจุบันมันก็มีแนวโน้มค่อนข้างเชื่อฟังมากขึ้นแล้ว
เพียงชั่วพริบตา วันที่เจ็ดซึ่งเฝ้ารอคอยได้มาถึง จี้เตี๋ยนั่งอยู่บนเตียงราวกับไม่ได้ตระหนักถึงกาลเวลาที่ผันผ่าน เขายังคงหลับตาขณะลมปราณกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาใช้ผลยกวิญญาณไปเกือบยี่สิบแปดผลแล้ว
พลังวิญญาณภายในกายของเขา มันเริ่มเข้าใกล้การเป็นกระแสน้ำเข้าไปทุกที
มันยังไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จี้เตี๋ยพึงพอใจ ผลไม้ผลแล้วผลเล่าถูกใช้งานและกลืนกิน พลังวิญญาณภายในกายของเขาเติบโตอย่างต่อเนื่องจนเส้นทางที่เคยเป็นเสมือนทางน้ำขนาดเล็กเริ่มเปลี่ยนแปลง…
เวลาล่วงเลยแต่ยังไม่พบเห็นตัวจี้เตี๋ย ทำเอาเหล่าศิษย์ที่รับผิดชอบงานในโรงนาต่างเกิดสับสนและสงสัยไม่ใช่น้อย
“เหมือนวันนี้จะถึงเวลาทำความสะอาดคอกหมายเลขสิบเอ็ดแล้วนะ”
“เจ้าหน้าใหม่นั่นล่ะ? หรือว่าจะกลัวจนหนีไปซ่อน?”
“เกรงว่าจะใช่ อย่าลืมสิว่าเจ้าตัวใหญ่นั่นสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นที่สามจุดสูงสุด…”
“ชู่ว์ หากเจ้าตัวมาได้ยินเข้าจะทำยังไง ระวังปากหน่อย!”
ช่วงเช้าตรู่ เหล่าศิษย์ที่รับผิดชอบงานเลี้ยงดูภายในโรงนาต่างก็ให้อาหารในส่วนหน้าที่ของตนกันหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมารวมหัวกันพูดคุย
ใครใช้ให้สัตว์อสูรในคอกหมายเลขที่สิบเอ็ดมีชื่อเสียงโด่งดังกัน? ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงคาดเดากันไปว่าจี้เตี๋ยอาจจะกลัวหัวหดจนไปซ่อนตัว
ตอนนี้เองที่ชายหน้าม้าคนเดิมได้ปรากฏตัวในโรงนา ศิษย์รอบด้านต่างเงียบเสียงก่อนจะโค้งศีรษะทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“คารวะผู้ดูแลขอรับ”
“จี้เตี๋ยอยู่ที่ไหน?” ชายหน้าม้าเริ่มขมวดคิ้วมุ่น
“ผู้ดูแลหวัง เจ้านั่นอาจซ่อนตัวอยู่ในห้องจนไม่กล้าออกมาขอรับ หน้าที่ให้อาหารช่วงเช้าก็ไม่เห็นตัวด้วย” เฮ่อซงพูดออกมาด้วยท่าทีมุ่งร้าย ราวกับกำลังคิดหาทางระบายแค้นให้กับจี้เตี๋ย
“ว่าอะไร จงไปเรียกมันออกมา! สายป่านนี้แล้วกล้าดียังไงยังขลุกตัวอยู่ในบ้าน!” ชายหน้าม้าแค่นเสียงขึ้นจมูกรับคำด้วยความเย็นชา และเขาทราบดีว่าระหว่างคนทั้งสองมีข้อพิพาทใดเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงใช้อีกฝ่ายไปเรียกจี้เตี๋ยออกมา
“ขอรับ!” เฮ่อซงรับคำสั่งขณะเร่งรีบเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านพักที่จี้เตี๋ยใช้อยู่อาศัยด้วยสีหน้าสุขสม และพอได้เห็นว่าประตูลงกลอนจากภายใน เขาจึงทุบและตะโกน
“จี้เตี๋ย ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ซ่อนตัวไปก็เท่านั้น ท่านผู้ดูแลกำลังรอเจ้าอยู่!”
ได้ยินเสียงอึกทึก จี้เตี๋ยผู้อยู่ภายในห้องยังคงหลับตาแน่นไม่คิดสนใจ
ภายหลังใช้ผลยกวิญญาณไปแล้วถึงสามสิบเอ็ดผล พลังวิญญารภายในกายของเขากำลังไปถึงจุดที่แปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำขนาดเล็ก มันเริ่มม้วนตัวก่อนจะทวีความรุนแรงครั้งใหญ่!
มันกำลังปะทะเข้าสู่กำแพงของการกลั่นลมปราณขั้นที่สี่!
“ข้ามไปสิ!” ดวงตาจี้เตี๋ยแทบหลั่งเลือด ขณะเฮ่อซงยังคงตะโกนเรียกจากอีกด้านของประตู ภายในกายของเขาพลันส่งเสียงราวอะไรบางอย่างกำลังแตกพัง…
ด้วยเสียงดังสนั่นดังกล่าว พลังวิญญาณภายในกายของเขาพลันสงบลงในชั่วพริบตา