ตอนที่ 9 ข้าไม่ขอเลือกสักทาง
ตอนที่ 9 ข้าไม่ขอเลือกสักทาง
จี้เตี๋ยทั้งยินดีและโล่งอก ขณะนี้จึงนำเอาผลไม้ออกมาอีกผลหนึ่ง
“อยากกินอีกไหม?”
กล่าวกันว่าสัตว์อสูรที่สำเร็จการกลั่นลมปราณจะมีสติปัญญา อย่างน้อยก็เปรียบเสมือนเด็กอายุราวสามขวบ เพียงแต่มันจะเข้าใจภาษามนุษย์หรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทดลอง
พบเห็นผลไม้ในมือของเด็กหนุ่ม งูยักษ์พลันเผยดวงตาเป็นประกายแวววาวออกมา มันเร่งเลื้อยพยายามเข้าหาจี้เตี๋ย
จี้เตี๋ยพลันหน้าถอดสี เพราะเขาไม่มั่นใจว่ารั้วไม้ของคอกแห่งนี้จะพอต้านรับเอาไว้ได้หรือไม่ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องเร่งร้อนถอยหนี
จนกระทั่งเสียงโซ่เหล็กดังขึ้นพร้อมกับหางงูที่สั่นไหว มันถูกตรึงเอาไว้โดยห่วงโซ่ที่ยึดกับพื้นเอาไว้
งูยักษ์พยายามดิ้นรนอย่างรุนแรงและส่งเสียง มันอยากจะเข้าไปคว้าเอาผลไม้มากินอย่างสุดชีวิต ทว่ามันเป็นการกระทำที่สูญเปล่า ห่วงโซ่ที่รั้งมันเอาไว้แน่นหนาจนไม่อาจหลุดพ้นออกมาจากคอก
“สัตว์หน้าเกล็ด อยากกินหรือ?” จี้เตี๋ยที่พบเห็นมันดิ้นรนจึงตั้งสติได้ เวลานี้จึงยิ้มเยาะก่อนจะเก็บผลยกวิญญาณไป
“จดจำเอาไว้ ข้าคือคนที่ให้ ขณะที่เจ้าไม่อาจช่วงชิงไปจากข้า ตอนนี้จงหยุดคิดว่าจะได้ แต่หากครั้งหน้าทำตัวดีข้าจะให้เป็นรางวัล”
จี้เตี๋ยพยายามมองแต่ก็ไม่อาจทราบว่ามันจะเข้าใจหรือไม่ สุดท้ายแล้วเขาจึงเดินตรงออกจากโรงนาไป
เจตนาที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะต้องการปลูกฝัง ทำให้เจ้างูยักษ์ได้ทราบว่าใครกันแน่ที่เป็นนาย หากไม่แล้ว ต่อให้มอบผลยกวิญญาณไปมากแค่ไหน มันก็คงไม่มีทางรู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ
เขายังไม่ลืมว่าศิษย์คนก่อนที่ดูแลป้อนอาหารมันทุกวัน สุดท้ายยังถูกกระชากแขนจนขาด แค่นั้นก็มากพอแสดงออกแล้วว่ามันเป็นสัตว์ที่ใจเหี้ยมเพียงใด
แต่คิดทำให้มันรู้จักกตัญญูไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้ของดีที่มันต้องการเพื่อฝึกสอน
หากเชื่อฟังและว่าง่าย แค่นั้นก็ได้ผลไม้ไปกิน!
เพียงแต่ไม่ทราบว่าเจ้างูยักษ์จะฉลาดขนาดนั้นหรือไม่
“หนทางเบื้องหน้ายังอีกยาวไกล!” ขณะออกมาภายนอกโรงนา จี้เตี๋ยใช้สองมือไพล่หลังศีรษะขณะเดินไปโดยไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
เนื่องจากวันนี้เพิ่งเป็นวันที่สี่ เขายังเหลือเวลาอีกสามวันกว่าจะถึงคราวล้างคอก
และในช่วงสามวันนี้ มันทำเอาเขานึกสงสัยว่าเจ้าตัวโตจะยอมผูกมิตรด้วยหรือไม่…
ภายหลังกลับมาถึงบ้าน จี้เตี๋ยเริ่มนำผลไม้ที่เหลือจากตอนเก็บไปส่งอาหารให้กับงูดำลงหม้อทองแดง ถัดจากนั้นจึงเริ่มการฝึกฝนต่อ
จนกระทั่งถึงช่วงบ่าย ตอนที่ปราณวิญญาณในร่างกายของเขาเข้าใกล้ระดับกระแสน้ำ เขาจึงออกไปพร้อมตะกร้าเก็บผลไม้เพื่อไปให้อาหารอีกมื้อแก่เจ้างูยักษ์
ครั้งนี้จี้เตี๋ยนำผลยกวิญญาณออกมาอีกผลหนึ่ง และตอนนี้เองที่เจ้างูดำยังคงคลุ้มคลั่งและหยาบคายเหมือนเช่นเคย เพราะยามได้ลิ้มรสชาติแล้วครั้งหนึ่ง มันจึงกระหายคิดอยากได้ทานอีก
“ยังไม่เรียนรู้งั้นสินะ ขอบอกเลยก็แล้วกัน เจ้าจะได้กินหรือไม่ก็อยู่ที่ว่าข้าจะมอบให้หรือไม่ให้ ส่วนเจ้าไม่มีปัญญาแย่งชิงไปจากข้า ดังนั้นหากอยากกิน ก็ต้องเป็นข้าที่มอบให้ หากว่าครั้งหน้ายังเป็นแบบนี้อีก ก็ลืมเรื่องผลไม้นี่ไปได้เลย” จี้เตี๋ยแค่นเสียงก่อนจะเก็บผลไม้และเดินออกจากโรงนาไปอีกครั้ง
เวลานี้เองที่งูดำมองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มอยู่นาน นัยน์ตาของมันเริ่มฉายแววครุ่นคิดคล้ายคลึงกับมนุษย์
แน่นอนว่าจี้เตี๋ยไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ และตอนที่ออกมาจากโรงนาครั้งนี้ เขาพลันได้พบว่ามีคนคนหนึ่งเดินปรี่เข้ามา
“ว่าไงเด็กใหม่ พอดีข้ามีเรื่องต้องไปทำ ดังนั้นฝากอาบน้ำให้เจ้าหมายเลขสามแทนหน่อยสิ” อีกฝ่ายคือชายร่างผอมบาง และเป็นศิษย์ที่ดูแลคอกสัตว์เช่นเดียวกัน เพียงแต่อีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ก่อนจี้เตี๋ย
“หืม เจ้าเฮ่อซง ได้ยินว่าได้หน้าที่ดูแลอสูรหมาป่า เจ้าตัวนั้นอารมณ์ร้ายไม่เบา แล้วเหมือนจะข้ามผ่านการกลั่นลมปราณขั้นที่สามไปแล้วด้วย ทั้งยังเหมือนจะไม่ค่อยชอบอาบน้ำสักเท่าไหร่ ตอนนี้แค่จะเข้าไปในคอกยังไม่กล้า กลายเป็นคิดหาตัวตายตัวแทนจากเด็กใหม่เสียแล้ว”
“เจ้าหน้าใหม่นั่นจะทำได้หรือ? เหมือนว่าการฝึกตนจะอยู่แค่การกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่งเอง แต่ก็ไม่น่าพอจะกล้าขัดคำสั่งอีกฝ่ยด้วยสิ”
เพราะได้ยินเสียงทางด้านนี้ ศิษย์อีกหลายคนที่มีงานดูแลคอกสัตว์เช่นเดียวกันจึงเริ่มแวะเวียนมารับชมเรื่องราว
พวกเขาต่างทราบว่าที่เฮ่อซงบอกเรื่องมีธุระต้องไปทำเป็นเพียงแค่ข้อแก่ตัว เพราะแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกลัวจนไม่กล้าเข้าไปในคอก ดังนั้นจึงพยายามหาทางโยนงานให้กับเด็กใหม่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครอื่นอยากจะเข้าไปแทรกแซงด้วย
“ทำให้ดีล่ะ อย่าให้ผิดพลาด!” เฮ่อซงเผยยิ้มขณะตบไหล่ของจี้เตี๋ย เขาไม่คิดเกรงกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้เจตนาในใจจริงแม้แต่น้อย
เขามั่นใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้สำเร็จแค่การกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง จะไม่มีทางกล้าปฏิเสธตนเองอย่างแน่นอน
“ข้ายังต้องฝึกฝนตนเอง ไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น ไปบอกคนอื่นแทนก็แล้วกัน” จี้เตี๋ยไม่ใช่คนโง่ เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไร ดังนั้นเขาจึงมองตอบด้วยคิ้วขมวด
ด้วยระดับการฝึกฝนปัจจุบันของตนเอง จี้เตี๋ยสามารถประเมินได้ชัดเจน ว่าอีกฝ่ายสำเร็จแค่การกลั่นลมปราณขั้นที่สอง
หากว่าเป็นช่วงแรกที่เพิ่งมาถึงที่นี่ เขาคงต้องหดหัวยอมอีกฝ่าย เพียงแต่ปัจจุบันเขาไม่คิดเก็บมาใส่ใจ กระทั่งปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าหนู เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไร?” เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอันเถรตรง เฮ่อซ่งถึงกับชะงัก กระทั่งสงสัยว่าตนเองหูฝาดเสียด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกตนกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง กล้าดีอย่างไรปฏิเสธ?
“ข้าบอกว่ามีธุระและไม่ว่าง” จี้เตี๋ยตอบอีกครั้ง
“เจ้าหน้าใหม่กล้าปฏิเสธด้วยแฮะ”
“จิ๊ ๆ ชักจะน่าสนใจแล้วสิ!”
กลุ่มศิษย์ที่รายล้อมใกล้โรงนาเริ่มประหลาดใจและให้ความสนใจ ราวกำลังรอคอยได้รับชมเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น
“ไอ้หนู จงคิดให้ดีก่อนจะตอบอะไรออกมา!” ตอนนี้เฮ่อซงได้ยินคำตอบอย่างชัดเจนแล้ว กระทั่งได้เห็นสายตาเย้ยหยันจากรอบด้าน มันจึงทำเขาทั้งอับอายและโกรธเคือง
“ว่าอะไร? คิดจะบีบบังคับให้ข้าไปทำหรือ?” จี้เตี๋ยเย้ยตอบ กระทั่งเกียจคร้านจะสนใจอีกฝ่ายจึงเดินตรงคิดกลับห้องของตนเอง
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าตัดสินใจได้ หากไม่อยากเจ็บตัวก็จงฟังคำของข้า!” เฮ่อซงเผยสีหน้าดำมืด กระทั่งยื่นมือไปคว้าไหล่ของจี้เตี๋ยเอาไว้อย่างรุนแรง เพียงแต่เด็กหนุ่มรวดเร็วกว่าจึงหลบเลี่ยงได้ทัน กระทั่งเริ่มขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นและมองตอบ
“กล้าคิดลงมือในสำนัก ไม่กลัวทางสำนักลงโทษทัณฑ์หรือไร?”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ขอแค่ไม่ตายก็ไม่มีใครสนแล้ว!” เฮ่อซงแค่นเสียงตอบคำกลับ กระทั่งรู้สึกประหลาดใจที่พบเห็นอีกฝ่ายหลบเลี่ยง เพียงแต่เขาไม่เก็บมาใส่ใจ กระทั่งยังคงข่มขู่ไม่เลิก
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไปอาบน้ำเจ้านั่นด้วยตนเอง หรือจะให้ข้าสั่งสอนจนเจ็บตัวเสียก่อน?”
“ข้าไม่ขอเลือกสักทาง” จี้เตี๋ยตอบหน้าตาเฉย
“เหอะ! งั้นก็ถึงคราวต้องสั่งสอนให้เจ้าได้รับรู้ ว่าอยู่ในสำนักต้องเคารพทั้งความแข็งแกร่งและความอาวุโส!” เฮ่อซงคำรามออกมาขณะพุ่งตัวเข้าหา เพียงแต่จี้เตี๋ยเพียงขยับตัวเล็กน้อยก็สามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย
“หลบเก่ง…”
ก่อนจะทันพูดจบคำ เฮ่อซงตระหนักทราบถึงความเจ็บปวดบริเวณหน้าท้องที่พุ่งแทรกขึ้นมา ร่างของเขาถึงกับต้องถอยไปหลายก้าวพร้อมลำตัวที่โค้งงอประหนึ่งกุ้งต้มสุก สุดท้ายจึงล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขั้ว
“ไม่จริง เจ้า… ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ได้!”
น้ำเสียงที่ถามกลับมานี้เจือปนความหวาดกลัว
“ไสหัวไปให้พ้น หลังจากนี้อย่ามาทำให้ข้ารำคาญ!” จี้เตี๋ยที่แม้ลงมือแล้วก็ยังคงมีท่าทีเรียบเฉย กระทั่งมองเหยียดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปราวไม่เห็นหัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เฮ่อซงเผยสีหน้าซีดเผือดปนเขียวคล้ำ เขาทำได้แค่มองร่างของจี้เตี๋ยเดินจากไป สุดท้ายเขาจึงพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยสภาพกะเผลก ขณะดวงตาเผยความรู้สึกอับอายและเสียใจ
“จิ๊ ๆ เฮ่อซงเอ๋ย ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะถูกเด็กใหม่รังแกเอาเช่นนี้ คิดขโมยไก่ดันเสียข้าวสารหรือนี่” ศิษย์คนอื่นมองเย้ยหยันพร้อมเอ่ยคำประหนึ่งสาดเกลือใส่แผลสด
“ว่าแต่เจ้าหน้าใหม่นั่นฝึกตนถึงระดับใดกันแล้ว? หรือว่ากลั่นลมปราณขั้นที่สองสำเร็จแล้วกัน?!” ศิษย์คนอื่นที่ทำงานในคอกสัตว์ต่างเริ่มเปลี่ยนประเด็นพูดคุย
เฮ่อซงแสดงออกว่าไม่พอใจ เพียงแต่ไม่ได้โต้แย้งหรืออะไร
วันนี้เขาอับอายมากเกินพอแล้ว!
ทั้งหมดเป็นความผิดของเด็กใหม่!
“สารเลวดีนัก รอก่อนเถอะ อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยผ่าน!”