ตอนที่ 7 ผลยกวิญญาณ
ตอนที่ 7 ผลยกวิญญาณ
“นี่เราต้องจับเจ้าตัวพวกนี้ไปอาบน้ำแล้วทำความสะอาดคอกงั้นหรือ?”
จี้เตี๋ยมองเสือขาวเหมันต์ซึ่งถูกโซ่เหล็กมัดเอาไว้ด้านหลังลูกกรงของคอก ดวงตาของเขาแทบถลนออกมาจากเบ้า
เขาคิดว่ามันก็แค่งานให้อาหารสัตว์หรืออะไรที่คล้ายคลึง แต่ไม่นึกถึงว่ามันจะเป็นเสือ…
“อู๋ว์!”
ทันใดนี้เองที่เสียงหมาป่าหอนคำรามดังจากคอกข้างเคียง
“มีหมาป่าด้วย! ทั้งยังตัวใหญ่ขนาดนี้!” จี้เตี๋ยมองหมาป่าตรงหน้าที่ตัวสูงเกือบเท่าคน เขาเริ่มหน้าซีดแล้ว
ยามนึกถึงคำที่ชายหน้าม้าเคยบอกกล่าวเอาไว้ก่อนหน้า หัวใจของเขาแทบหยุดเต้น แต่ไม่ช้าก็เริ่มมองหาป้ายตัวเลขคอกสัตว์
หมายเลขสาม
“ไม่เป็นไร! นี่ยังไม่ใช่ตัวที่เราต้องรับผิดชอบ!” ภายหลังสูดลมหายใจเข้าลึกและสงบใจลง จี้เตี๋ยจึงเดินตรงเข้าไปสู่คอกด้านใน พลางมองหาว่าคอกหมายเลขสิบเอ็ดที่เขาต้องดูแลว่าอยู่ตรงไหน แต่ไม่ช้าเขาก็ต้องโล่งอก
เพราะคอกสัตว์บางหมายเลขก็เป็นเพียงสัตว์ธรรมดา ดังเช่นกระเรียนขาวที่ออกจะตัวใหญ่และสูงกว่าคนไปบ้างก็เท่านั้น
“หวังว่าสัตว์อสูรที่เราต้องดูแลจะปกติธรรมดานะ” จี้เตี๋ยลอบภาวนาอยู่ในใจ และไม่ช้าเขาจึงเดินมาถึงคอกหมายเลขที่สิบเอ็ด
เขาชะเง้อมองเข้าไปด้านในด้วยอาการประหม่า
เพียงอึดใจ เขาได้ยินเสียงตนเองกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เพราะด้านในคอกไม่ใช่หมาป่าหรือเสือ แต่เป็นอสรพิษร่างยักษ์ลำตัวหนาประหนึ่งถังน้ำ
อสรพิษตนนี้ยาวราวคนต่อกันสองถึงสามคน ลำตัวของมันเป็นสีดำสนิท เกล็ดบริเวณหน้าผากของมันยังทอประกายแสงอันเย็นเยือกออกมา
“ทุกเจ็ดวันต้องทำความสะอาดคอกและพาเจ้างูนี่ไปอาบน้ำ…”
เวลาล่วงเลย จี้เตี๋ยมาดูแลคอกสัตว์นี้ได้สามวันแล้ว
จี้เตี๋ยค่อนข้างคุ้นเคยกับกิจวัตรการป้อนอาหารสัตว์มากขึ้น
เขาเก็บผลไม้จากในสวนมาส่งเข้าปากและเคี้ยว สายตาทอดมองไปยังโรงนาที่เป็นคอกสัตว์ เพียงคิดว่าอีกสี่วันจะต้องอาบน้ำให้งูยักษ์นั่น มันก็ทำเอาเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ช่วงสามวันที่ผ่านมา เขาได้ทราบข้อมูลของคอกสัตว์แห่งนี้มาหลายเรื่อง
สัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงที่นี่ต่างก็ถูกฝึกจนเชื่อง ส่วนใหญ่จะไม่ทำร้ายผู้คน เว้นแต่จะมีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุจึงเป็นอีกเรื่อง
เพียงแต่ข้อมูลทั้งหมดนั้นไม่ได้รวมถึงเจ้าตัวที่เขาต้องเลี้ยงดู
มีคำบอกเล่ามาว่า เจ้างูยักษ์เพิ่งกัดแขนศิษย์คนก่อนที่ดูแลจนขาดไปไม่นาน
จี้เตี๋ยเพียงนึกคิดถึงฉากนองเลือดพลันต้องตัวสั่น
นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์เลี้ยงของศิษย์ผู้โดดเด่น คิดตีหรือโบยมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้
หรือต่อให้ฟาดโบยพวกมันได้เขาก็คงทำไม่ได้อยู่ดี เพราะเท่าที่ทราบมา สัตว์ทั้งหลายภายในคอกล้วนเป็นสัตว์อสูร
สัตว์อสูรคือสัตว์ธรรมดาที่บังเอิญดูดกลืนปราณวิญญาณในฟ้าดิน จนกระทั่งบรรลุเข้าสู่หนทางของการฝึกตน
บรรดาสัตว์อสูรที่อยู่ภายในคอก พวกมันต่างก็ผ่านการกลั่นลมปราณกันมาแล้ว
กล่าวกันว่าสัตว์อสูรที่เขาต้องรัผบิดชอบเลี้ยงดู มันสำเร็จการกลั่นลมปราณขั้นดที่สามจนถึงขั้นสูงสุด
คิดยังไงเขาก็เอาชนะมันไม่ได้!
ภายหลังทานผลไม้เข้าไป จี้เตี๋ยอดไม่ได้ที่จะถูแก้มของตนเอง ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในโรงนา สุดท้ายจึงไปยืนอยู่หน้าคอกหมายเลขสิบเอ็ดเพื่อโยนสารพัดผลไม้เข้าไป
เพียงแต่งูยักษ์สีดำกลับเพียงแค่ลืมตาอันเย็นเยือกมองมา สุดท้ายมันหลับตาลงอีกครั้งและเมินเฉยผลไม้ซึ่งถูกโยนเข้าไป
“ถ้าหิวก็กินซะ” จี้เตี๋ยสำรวจมองและพยายามหาทางสานสัมพันธ์กับมันมาตลอดสองวัน เพียงแต่เขาถูกเมินเฉย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำเป็นต้องเดินกลับออกจากโรงนาอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรเสีย เมื่อไหร่ที่มันหิวก็คงกินเข้าไปเอง
ภายหลังกลับมาถึงห้อง จี้เตี๋ยจึงไปนั่งเหม่อบนเตียงนอน
ภายในห้องมีเพียงแค่เตียง ไม่มีเครื่องเรือนอื่นใด มันเรียบง่ายจนไม่อาจเรียบง่ายไปกว่านี้
“ช่างมัน เลวร้ายที่สุดก็คือไม่เข้าไป ยังไงก็ไม่มีใครบังคับเราได้อยู่แล้ว ส่วนว่าจะมีบทลงโทษอะไรก็คงดีกว่าตาย” จี้เตี๋ยกัดฟัน ความตึงเครียดตลอดหลายวันที่สั่งสมมาเริ่มเลือนหาย
ขณะนี้จี้เตี๋ยหลับตาลงเพื่อเพ่งสมาธิไปกับการฝึกฝน
ภายหลังประสบกับเรื่องราวต่อเนื่องมากมาย เขาจึงเข้าใจดีว่าสิ่งสำคัญคือความแข็งแกร่ง หากว่าไร้ซึ่งพลัง โชคชะตาที่ควรเป็นของเขาจะถูกควบคุมโดยผู้อื่น
จี้เตี๋ยฝึกฝนต่อเนื่องจนกระทั่งถึงช่วงบ่าย ตอนนี้เองที่เขาแสดงท่าทีกังวลออกมา
“เรายังก้าวไปสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สองไม่ได้!”
เขาไม่ทราบถึงสาเหตุ แต่รู้สึกได้ว่าการฝึกฝนของตนเองราวชนเข้ากับกำแพงที่ทำให้ไม่อาจไปต่อ
“ทุกคนจะเจออาการเดียวกันไหม หรือว่ามีแค่เรากันแน่?” จี้เตี๋ยถอนหายใจกับตนเอง
เขาเพิ่งเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนมาได้ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่รู้ทราบเรื่องขอบเขตการกลั่นลมปราณ ว่าขั้นที่สอง ขั้นที่ห้า และขั้นที่เจ็ดจะเป็นช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่
กล่าวคือขั้นเหล่านั้นจะเผชิญความยากในการข้ามผ่านกว่าปกติ ทำให้ผู้น้อยพรสวรรค์มักจะติดอยู่กับขั้นดังกล่าวยาวนานได้ตั้งแต่สามถึงห้าปี
“ลองดูอีกครั้ง ไม่เชื่อหรอกว่าชีวิตนี้มันจะไม่สำเร็จ” แม้ถอนหายใจ แต่จี้เตี๋ยไม่ได้สูญเสียกำลังใจ สุดท้ายเขาจึงเดินออกไปเพื่อนำตะกร้าผลไม้ไปส่งอาหารให้กับงูยักษ์สีดำ
ขณะเดินออกมาจากโรงนา เขาจึงได้เห็นกลุ่มศิษย์หลายคนกำลังรวมตัวกันอยู่
หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มที่ค่อนข้างหน้าตาดี ผู้ซึ่งเคยเตือนจี้เตี๋ยเมื่อวันแรก และเหมือนอีกฝ่ายจะชื่อว่าลั่วเฉียง
ในมือของอีกฝ่ายกำลังถือผลไม้ราวต้องการโอ้อวดให้บรรดาศิษย์ข้างเคียงได้พบเห็น
“ผลยกวิญญาณนี้สามารถช่วยเร่งการฝึกตนได้ ศิษย์พี่อู๋มอบให้แก่ข้าเมื่อช่วงเที่ยงวันนี้ เพราะได้เห็นว่าข้าดูแลสัตว์อสูรให้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นรางวัลแก่ข้า เป็นยังไง พวกเจ้าอิจฉากันใช่หรือไม่?” ลั่วเฉียงถามออกมาราวกับภาคภูมิอย่างล้นปรี่
ศิษย์ผู้อื่นไม่ได้ตอบคำใด เพียงแต่ท่าทีแสดงออกชัดว่ากำลังริษยา
อีกฝ่ายโชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะนอกจากสัตว์อสูรที่เลี้ยงดูจะค่อนข้างเชื่องแล้ว เจ้าของสัตว์อสูรยังมักจะมีรางวัลตอบแทนให้อยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็ไม่คาดคิดว่ารางวัลครั้งนี้จะเป็นถึงผลยกวิญญาณ
เป็นที่รู้จักกันว่ามันคือผลไม้ที่อัดแน่นด้วยปราณวิญญาณ ดังนั้นจึงสามารถใช้เพื่อเร่งการฝึกฝน กระทั่งว่ามีคุณสมบัติที่ดียิ่งกว่าศิลาวิญญาณ
“ผลยกวิญญาณ…” เพียงได้ยินว่าผลไม้ดังกล่าวสามารถเพิ่มความเร็วการฝึกตน จี้เตี๋ยผู้กำลังจะกลับบ้านของตนเองพลันต้องหยุดและมองด้วยความสงสัย
และที่เขาได้พบ คือผลไม้ในมือของอีกฝ่ายมันคล้ายจะเหมือนที่อยู่ภายในสวน เพียงแต่สีสันสว่างสดใสกว่า ตอนนี้เองที่เขาต้องโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมผลไม้นี่คล้ายกับที่พวกเราทานกันล่ะ?”
เขาพึมพำด้วยเสียงเบา แต่ศิษย์ร่างอ้วนท้วนที่อยู่ข้างกันได้ยินจึงหันมามอง
“จะว่างั้นก็ได้ มันเป็นผลไม้ชนิดเดียวกัน”
“ชนิดเดียวกัน?” จี้เตี๋ยชะงัก เพราะที่เขาทานเข้าไปกลับไม่คล้ายจะมีสรรพคุณช่วยส่งเสริมการฝึกฝนแม้แต่น้อย
“มันออกจะซับซ้อนอยู่บ้าง…” ศิษย์คนนั้นเริ่มบอกเล่า จี้เตี๋ยที่ฟังโดยคร่าวจึงทราบว่าพวกมันทั้งสองมีต้นกำเนิดเดียวกัน
ผลไม้ทั้งสองมีความเหมือนกัน เพียงแค่ผลที่อยู่ในมือของลั่วเฉียงคือตัวช่วยในการฝึกฝน
ส่วนผลที่พวกเขาทานนั้นยังไม่ได้เติบโตมากพอ ทำให้แทบไม่อาจคาดหวังอะไรอื่นนอกจากทำให้อิ่มท้อง
มันมีเหตุผลว่าทำไมถึงมีการเพาะปลูกต้นผลไม้เหล่านี้เอาไว้ที่นี่มากมาย จนถึงขนาดปล่อยให้ผู้คนหยิบทานกันได้ตามใจชอบ
เพราะพวกมันจำเป็นต้องใช้เวลาบ่มเพาะผลอันยาวนาน คล้ายว่าจะเป็นหลักสิบปี
อีกทางหนึ่ง ผลไม้ที่นี่เดิมถูกเพาะปลูกเอาไว้เพื่อใช้เลี้ยงสัตว์อสูร ขณะที่ทางสำนักมีการเพาะปลูกต้นเดียวกันเอาไว้ในสถานที่อื่น พร้อมให้ความดูแลและเก็บเกี่ยวในตอนที่พวกมันสุกงอม
“มันยังไม่สุกนี่เอง…” จี้เตี๋ยที่ได้ยินเรื่องราวจึงเกิดนึกถึงหม้อทองแดงขึ้นมา
เขาจำได้ว่าโสมป่าขนาดเล็ก เพียงใส่ลงในหม้อทองแดง มันสามารถเพิ่มอายุขึ้นไปได้หลายสิบปี ทำเอาเขาเกิดนึกสงสัยว่าผลไม้นี้จะได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันหรือไม่!
หากว่ามันสามารถเพิ่มอายุได้หลายสิบปี ถึงตอนนั้นมันก็สุกงอมเต็มที่แล้ว!
“ออกมา” จี้เตี๋ยหาข้ออ้างหลีกเลี่ยงฝูงชนกลับมายังห้องนอนของตนเอง สุดท้ายจึงปิดประตูพร้อมใช้ก้อนหินขัดเอาไว้ก่อนจะเรียกหม้อทองแดงออกมา
เขานำผลไม้ออกมา ใส่ลงไปในหม้อทองแดง ถัดจากนั้นจึงเริ่มจ้องมองมันด้วยความคาดหวัง
“ในเมื่อเป็นพืชเหมือนกัน ก็น่าจะต้องได้สิ…”
วูบ! แสงสว่างสีเขียวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ใจของจี้เตี๋ยเต้นรัว และเมื่อแสงเลือนหาย เขารีบนำผลไม้ออกจากหม้อทองแดงมาพิจารณา
สีสันของผลไม้ดูสว่างกว่าที่เคยเป็น และมันแทบจะเหมือนกับที่ลั่วเฉียงถือในมือเมื่อครู่ไม่มีผิด!
เพียงแต่มันจะช่วยเสริมเรื่องการฝึกตนหรือไม่นั้นยังต้องทดสอบ!