ตอนที่ 5 จิตใจของสตรีคือพิษร้าย
ตอนที่ 5 จิตใจของสตรีคือพิษร้าย
ตอนได้เห็นผู้ดูแลจางซึ่งถูกตนเองต่อยล้มลงไปนอนกับพื้นอยู่ไกลห่าง กระทั่งผ่านไปนานยังลุกขึ้นมาไม่ได้ จี้เตี๋ยตื่นตะลึงและนิ่งงัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าพละกำลังของตนเองจะมากมายขนาดนี้
“สารเลว!” เจ้าของที่ดินหยางเผยสีหน้าดำทมิฬ เขากำลังจะออกคำสั่งให้คนเข้าไปจับกุมตัวจี้เตี๋ย แต่แล้วทันใดนี้เองที่เหนือศีรษะปรากฏเสียงดังขึ้น
“กลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง!”
มันเป็นเสียงของสตรีที่เย็นเยือก ภายหลังชาวบ้านผู้อยู่ด้านล่างได้ยิน สายตาทุกคู่จึงมองขึ้นไปพร้อมได้เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเคลื่อนคล้อยลงมาจากฟ้า
สตรีที่พูดขึ้นมานั้น นางสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวที่พลิ้วไหวกับสายลม ร่างสูงกว่าจี้เตี๋ยประมาณครึ่งศีรษะ
ภายใต้ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหวคือเรียวขาตรงยาว นับเป็นการจับคู่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประหนึ่งพบเห็นภาพฝัน
ส่วนทางด้านบุรุษอีกคนหนึ่งนั้นสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน เส้นผมยาวของเขาปล่อยสยายจนถึงกลางหลัง บริเวณเอวมีถุงผ้าแพรใบหนึ่งห้อยเอาไว้ อีกทั้งคิ้วที่เรียวของอีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นถึงความสง่างามสูงศักดิ์
ยามเมื่อคนทั้งสองยืนด้วยกัน คงไม่มีคำใดเกินเลยไปกว่ากิ่งทองกับใบหยก!
“เทพเซียน!” ยามที่ชาวบ้านพบเห็นคนทั้งสองบินลงมาจากฟากฟ้า พวกเขาต่างแตกตื่นเร่งร้อนคุกเข่า ชายร่างใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาลงมือยังต้องหยุดชะงักเช่นเดียวกัน
“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง พวกเราได้ตรวจสอบกระจ่างชัดแล้ว สมควรเป็นเด็กหนุ่มนั่นขอรับ ช่วงเจ็ดวันก่อน เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เดินทางออกจากหมู่บ้านขอรับ” แม้แต่เจ้าของที่ดินหยางผู้มักจะทำตัวโอหังถือดี ยามนี้ยังต้องอ่อนน้อมถ่อมตนโดยไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย
น้อยคนจะทราบ ว่าช่วงยังหนุ่มเขาเคยเข้าร่วมกับสำนักผู้ฝึกตนเซียน
และสำนักดังกล่าว ก็คือสำนักเจ็ดลึกล้ำ!
และนามของสำนักดังกล่าว มันคือสำนักเจ็ดลึกล้ำที่จางเฟิงเคยพูดถึง!
เพียงแต่เพราะพรสวรรค์ส่วนตัว ทำให้เจ้าของที่ดินหยางไม่เคยได้เข้าสู่หนทางของการฝึกตน ดังนั้นจึงทำได้เพียงอยู่รอบนอกของสำนักเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต และรับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของสำนักทางโลกเบื้องหน้า
ขณะที่คนทั้งสองตรงหน้าคือศิษย์แกนหลักของสำนัก!
เพียงพวกเขาดีดนิ้ว ก็มากพอตัดสินชะตาความเป็นและความตาย!
“ศิษย์น้องหญิงซ่ง ว่าอย่างไร?” คนทั้งสองซึ่งถูกเรียกหาเป็นเทพเซียน ราวคุ้นเคยกับภาพเช่นนี้มามากแล้ว ปัจจุบันพวกเขาเพียงแค่มองจี้เตี๋ยผู้อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย
ชายหนุ่มนามโจวสวี่หันไปสอบถามกับสตรีข้างกายของตนเองด้วยน้ำเสียงเบาบาง
คนทั้งสองแข็งแกร่งอย่างมหาศาล!
ยิ่งจี้เตี๋ยถูกคนทั้งสองจ้องมองเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกเสมือนตอนเผชิญหน้ากับชายชราในชุดดำก่อนหน้านี้เท่านั้น
และเวลานี้หัวใจของเขารู้สึกราวกับถูกกดทับ!
เขาไม่ทราบว่าคนทั้งสองที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเป็นใคร แต่สัญชาตญาณได้ร้องบอก ว่าคนทั้งสองเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับเจ้าของที่ดินหยาง!
“ใช่ เขานี่แหละ ผึ้งสะกดรอยวิญญาณตรวจพบปราณของจางเฟิงจากตัวเขา คล้ายว่าจะมีถุงมิติของจางเฟิงอยู่กับตัว” สตรีซึ่งถูกเรียกหาเป็นศิษย์น้องซ่ง แท้จริงมีนามว่าซ่งเจี่ย นางคือผู้มีใบหน้าอันโดดเด่น... ความงดงามรับกับผิวกายที่เนียนละเอียด เพียงแต่คิ้วของนางบ่งบอกถึงความเย็นชา
ที่ปลายนิ้วของนางปรากฏแมลงสีขาวตัวหนึ่งพร้อมปีกที่ขยับเร็ว รูปลักษณ์ของมันคล้ายผึ้ง
ตามที่นางเรียก แมลงดังกล่าวคือผึ้งสะกดรอยวิญญาณ เป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษที่หาได้ยาก และไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อการต่อสู้ เพราะมันมีความสามารถโดดเด่นด้านการตามกลิ่นอายวิญญาณ
คนทั้งสองอาศัยผึ้งตัวดังกล่าวจนกระทั่งพบเจอเข้ากับร่างของจางเฟิง จนสุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์ให้เจ้าของที่ดินหยางเรียกรวมตัวชาวบ้าน
“ข้าพบร่างของจางเฟิงจริง เพียงแต่ข้าไม่ใช่คนลงมือฆ่า และข้าส่งถุงมิติที่ได้มาคืนให้พวกท่านได้” จี้เตี๋ยประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพราะเพียงได้ยินคำของหญิงสาว เขาก็เข้าใจแล้วว่าแมลงดังกล่าวสามารถสะกดรอยจนมาถึงนี่
และเขาก็คาดเดาได้เช่นกัน ว่าถุงมิติที่คนทั้งสองเอ่ยถึง คือถุงผ้าใบน้อยที่เขาเก็บมาจากร่างของชายชราในชุดดำ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำมันออกมาจากแขนเสื้อโดยไม่มีลังเล และส่งมอบให้กับอีกฝ่าย
ของสำคัญอย่างวิชาและศิลาวิญญาณนั้นถูกเขานำไปใช้งานจนหมดแล้ว และเพราะไม่ทราบว่าสมุนไพรที่มีอยู่ด้านในใช้ทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก
“น่าสนใจ” โจวสวี่จ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ และเขาไม่คิดรับถุงกลับคืน
“ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มาล้างแค้นให้จางเฟิง เพราะพวกเรานี่แหละที่เป็นคนเล่นงานเขา”
“ชายคนนั้นขโมยสมุนไพรวิญญาณไปจากสำนัก ที่ออกตามหาครั้งนี้ก็เพียงแค่ต้องการสมุนไพรกลับคืน ตรวจสอบถุงมิติว่ามีพืชที่คล้ายเถาวัลย์สีเขียวอยู่หรือไม่ เพียงส่งมันกลับคืน ส่วนของอื่นที่เหลือยกให้เป็นรางวัลแก่เจ้า”
“ขอรับ” จี้เตี๋ยครุ่นคิด ภายหลังสืบหาด้านในมิติจึงพบเจอเถาวัลย์สีเขียวท่ามกลางสมุนไพรทั้งหลายที่มีอยู่ สุดท้ายจึงนำมันออกมาและส่งกลับคืนให้คนทั้งสอง
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ” โจวสวี่ยกมือตอบและโบกเล็กน้อย เถาวัลย์ดังกล่าวจึงถูกฝ่ามือของเขาดูดเข้าหาอย่างลึกลับ
ภายหลังตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นของที่ตามหา เขาจึงส่งมันเก็บเข้าถุงผ้าไป
“ไปกันศิษย์น้องซ่ง”
“ศิษย์พี่โจวรอสักประเดี๋ยว คนคนนี้อาจเป็นศิษย์ของจางเฟิง พวกเราไม่ควรปล่อยภัยคุกคามเอาไว้” ซ่งเจี่ยจ้องมองจี้เตี๋ยด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น
ถ้อยคำดังกล่าวเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วทั้งกาย มันทำให้เขาทราบว่าจิตใจของสตรีผู้นี้ร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษ เวลานี้จึงอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาเสียงดัง “รูปลักษณ์งดงาม แต่แท้จริงจิตใจไม่ต่างกับงูพิษ!”
ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกชัดว่าคิดฆ่าเขาทิ้ง ไฉนเลยเขาจะมองนางในแง่ดีได้อีก!
“รนหาที่ตาย!” ใบหน้าอันงดงามของซ่งเจี่ยเผยความเย็นเยียบ มือของนางเงื้อขึ้นหมายจะสังหารจี้เตี๋ยให้ตายคาที่
“ศิษย์น้องซ่งยั้งมือก่อน” โจวสวี่ส่ายศีรษะขณะเข้าห้ามปราม “เขาน่าจะพบเจอเข้ากับร่างของจางเฟิงที่ตายแล้วโดยบังเอิญ หากไม่แล้วด้วยนิสัยของจางเฟิง มีหรือจะปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตมาได้ เพราะมันคงฆ่าดูดกลืนพลังชีวิต รวมถึงล้างบางชาวบ้านแถบนี้เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของมันไปแล้ว”
แม้จี้เตี๋ยไม่อาจเข้าใจว่า ‘ดูดกลืนพลังชีวิต’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงหมายความว่าอย่างไร แต่จากประโยคก็พอทำให้ทราบโดยคร่าวถึงความโหดเหี้ยมของจางเฟิง เวลานี้พอนึกย้อนไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัว
ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้นอีกฝ่ายเอาแต่ล่อลวงและเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าไปใกล้
เพราะที่แท้ก็มีเจตนาคิดกลืนกินผู้อื่นเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้ตนเอง!
ความรู้สึกที่ได้เดินผ่านประตูยมโลกมาโดยไม่รู้ตัว มันทำเอาเขาต้องหน้าซีด
“เพียงแต่เจ้านี่ฝึกฝนวิชาของสำนักเราแล้ว ไฉนเลยจะปล่อยให้วิชาของสำนักตกไปสู่คนนอกได้?” ซ่งเจี่ยขมวดคิ้ว นางยังไม่คิดยอมถอย
และเมื่อครู่จี้เตี๋ยเพิ่งพูดจาเสียหายซึ่งหน้า ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ่งอยากลงมือสังหาร
พบเห็นอีกฝ่ายยังไม่คิดยอมถอย จี้เตี๋ยเริ่มร้อนรนขณะหันมองไปทางชายหนุ่ม
“นั่นก็จริง แม้จางเฟิงเป็นคนทรยศ แต่เขาก็เป็นผู้ที่ฝึกวิชาของสำนักเจ็ดลึกล้ำของเรา ในเมื่อเด็กคนนี้ฝึกฝนวิชาไปแล้ว ก็คงต้องพากลับสำนักไปด้วย” โจวสวี่มองจี้เตี๋ยและครุ่นคิด สุดท้ายจึงเอ่ยคำตัดสินใจออกมา
“ด้วยอายุเท่านี้ ต่อให้ทุ่มเทให้กับหนทางแห่งการฝึกตนก็ถือว่าช้าเกินไป มันจะยากเปรียบดังปีนป่ายขึ้นสวรรค์ แต่ในเมื่อศิษย์พี่กล่าวแล้วก็คงต้องพากลับไปด้วย” ซ่งเจี่ยส่ายศีรษะ สายตาของนางยังจ้องมองจี้เตี๋ย เพียงแต่เวลานี้ไม่ทักท้วงใดแล้ว
เพราะหากกลับไปถึงสำนักเจ็ดลึกล้ำได้เมื่อไหร่ นางก็มีวิธีสังหารเด็กน้อยเช่นจี้เตี๋ยมากมาย!
“ไปกัน” โจวสวี่ไม่คิดถามไถ่ความคิดเห็นของผู้อื่น เวลานี้เขาจึงเข้าไปคว้าคอเสื้อของจี้เตี๋ยพร้อมลอยขึ้นไปบนอากาศ
ระหว่างที่คนทั้งสองตัดสินใจกันนั้น จี้เตี๋ยไม่อาจออกความเห็นใดได้แม้แต่น้อย
ในสายตาของคนทั้งสอง จี้เตี๋ยเปรียบเสมือนบุคคลที่โชคดีได้ก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกตน ชะตาของเขาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ยิ่งขึ้นมาบนฟ้าสูงเท่าใดลมก็ยิ่งพัดแรงมากขึ้นเท่านั้น และมันถือเป็นประสบการณ์บินบนฟ้าครั้งแรกของจี้เตี๋ยด้วยเช่นกัน
เขาลืมตาและมองออกไปจนได้ทราบว่าตนเองกำลังบินอยู่บนฟ้า หมู่บ้านเหวินเหอซึ่งอยู่ใต้เท้าเริ่มกลายเป็นเพียงจุดอันเล็กน้อย ภาพฉากที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเริ่มทำเขางุนงง
เขาถึงกับต้องจากหมู่บ้านเหวินเหอมาทั้งแบบนี้!
ทั้งที่เขายังไม่อาจทวงที่ดินซึ่งเป็นของบิดาและมารดากลับคืนมาเลยด้วยซ้ำ...
“หากว่าไม่อยากตาบอด ก็หลับตาเสีย” ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของจี้เตี๋ยเริ่มแดงเพราะสายลมที่เข้าปะทะ และเพราะได้ยินคำเตือนเขาจึงต้องหลับตาลงในทันทีทันใด