ตอนที่แล้วตอนที่ 4 ปะทุออก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 เยือนสำนักเจ็ดล้ำ และคอกสัตว์

ตอนที่ 5 จิตใจของสตรีคือพิษร้าย


ตอนที่ 5 จิตใจของสตรีคือพิษร้าย

ตอนได้เห็นผู้ดูแลจางซึ่งถูกตนเองต่อยล้มลงไปนอนกับพื้นอยู่ไกลห่าง กระทั่งผ่านไปนานยังลุกขึ้นมาไม่ได้ จี้เตี๋ยตื่นตะลึงและนิ่งงัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าพละกำลังของตนเองจะมากมายขนาดนี้

“สารเลว!” เจ้าของที่ดินหยางเผยสีหน้าดำทมิฬ เขากำลังจะออกคำสั่งให้คนเข้าไปจับกุมตัวจี้เตี๋ย แต่แล้วทันใดนี้เองที่เหนือศีรษะปรากฏเสียงดังขึ้น

“กลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่ง!”

มันเป็นเสียงของสตรีที่เย็นเยือก ภายหลังชาวบ้านผู้อยู่ด้านล่างได้ยิน สายตาทุกคู่จึงมองขึ้นไปพร้อมได้เห็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเคลื่อนคล้อยลงมาจากฟ้า

สตรีที่พูดขึ้นมานั้น นางสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวที่พลิ้วไหวกับสายลม ร่างสูงกว่าจี้เตี๋ยประมาณครึ่งศีรษะ

ภายใต้ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหวคือเรียวขาตรงยาว นับเป็นการจับคู่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประหนึ่งพบเห็นภาพฝัน

ส่วนทางด้านบุรุษอีกคนหนึ่งนั้นสวมใส่ชุดคลุมสีน้ำเงิน เส้นผมยาวของเขาปล่อยสยายจนถึงกลางหลัง บริเวณเอวมีถุงผ้าแพรใบหนึ่งห้อยเอาไว้ อีกทั้งคิ้วที่เรียวของอีกฝ่ายแสดงออกให้เห็นถึงความสง่างามสูงศักดิ์

ยามเมื่อคนทั้งสองยืนด้วยกัน คงไม่มีคำใดเกินเลยไปกว่ากิ่งทองกับใบหยก!

“เทพเซียน!” ยามที่ชาวบ้านพบเห็นคนทั้งสองบินลงมาจากฟากฟ้า พวกเขาต่างแตกตื่นเร่งร้อนคุกเข่า ชายร่างใหญ่ที่กำลังจะเข้ามาลงมือยังต้องหยุดชะงักเช่นเดียวกัน

“ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งสอง พวกเราได้ตรวจสอบกระจ่างชัดแล้ว สมควรเป็นเด็กหนุ่มนั่นขอรับ ช่วงเจ็ดวันก่อน เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่เดินทางออกจากหมู่บ้านขอรับ” แม้แต่เจ้าของที่ดินหยางผู้มักจะทำตัวโอหังถือดี ยามนี้ยังต้องอ่อนน้อมถ่อมตนโดยไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย

น้อยคนจะทราบ ว่าช่วงยังหนุ่มเขาเคยเข้าร่วมกับสำนักผู้ฝึกตนเซียน

และสำนักดังกล่าว ก็คือสำนักเจ็ดลึกล้ำ!

และนามของสำนักดังกล่าว มันคือสำนักเจ็ดลึกล้ำที่จางเฟิงเคยพูดถึง!

เพียงแต่เพราะพรสวรรค์ส่วนตัว ทำให้เจ้าของที่ดินหยางไม่เคยได้เข้าสู่หนทางของการฝึกตน ดังนั้นจึงทำได้เพียงอยู่รอบนอกของสำนักเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต และรับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของสำนักทางโลกเบื้องหน้า

ขณะที่คนทั้งสองตรงหน้าคือศิษย์แกนหลักของสำนัก!

เพียงพวกเขาดีดนิ้ว ก็มากพอตัดสินชะตาความเป็นและความตาย!

“ศิษย์น้องหญิงซ่ง ว่าอย่างไร?” คนทั้งสองซึ่งถูกเรียกหาเป็นเทพเซียน ราวคุ้นเคยกับภาพเช่นนี้มามากแล้ว ปัจจุบันพวกเขาเพียงแค่มองจี้เตี๋ยผู้อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีเรียบเฉย

ชายหนุ่มนามโจวสวี่หันไปสอบถามกับสตรีข้างกายของตนเองด้วยน้ำเสียงเบาบาง

คนทั้งสองแข็งแกร่งอย่างมหาศาล!

ยิ่งจี้เตี๋ยถูกคนทั้งสองจ้องมองเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกเสมือนตอนเผชิญหน้ากับชายชราในชุดดำก่อนหน้านี้เท่านั้น

และเวลานี้หัวใจของเขารู้สึกราวกับถูกกดทับ!

เขาไม่ทราบว่าคนทั้งสองที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเป็นใคร แต่สัญชาตญาณได้ร้องบอก ว่าคนทั้งสองเหมือนจะเป็นพวกเดียวกับเจ้าของที่ดินหยาง!

“ใช่ เขานี่แหละ ผึ้งสะกดรอยวิญญาณตรวจพบปราณของจางเฟิงจากตัวเขา คล้ายว่าจะมีถุงมิติของจางเฟิงอยู่กับตัว” สตรีซึ่งถูกเรียกหาเป็นศิษย์น้องซ่ง แท้จริงมีนามว่าซ่งเจี่ย นางคือผู้มีใบหน้าอันโดดเด่น... ความงดงามรับกับผิวกายที่เนียนละเอียด เพียงแต่คิ้วของนางบ่งบอกถึงความเย็นชา

ที่ปลายนิ้วของนางปรากฏแมลงสีขาวตัวหนึ่งพร้อมปีกที่ขยับเร็ว รูปลักษณ์ของมันคล้ายผึ้ง

ตามที่นางเรียก แมลงดังกล่าวคือผึ้งสะกดรอยวิญญาณ เป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษที่หาได้ยาก และไม่ได้มีไว้ใช้เพื่อการต่อสู้ เพราะมันมีความสามารถโดดเด่นด้านการตามกลิ่นอายวิญญาณ

คนทั้งสองอาศัยผึ้งตัวดังกล่าวจนกระทั่งพบเจอเข้ากับร่างของจางเฟิง จนสุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์ให้เจ้าของที่ดินหยางเรียกรวมตัวชาวบ้าน

“ข้าพบร่างของจางเฟิงจริง เพียงแต่ข้าไม่ใช่คนลงมือฆ่า และข้าส่งถุงมิติที่ได้มาคืนให้พวกท่านได้” จี้เตี๋ยประเมินสถานการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพราะเพียงได้ยินคำของหญิงสาว เขาก็เข้าใจแล้วว่าแมลงดังกล่าวสามารถสะกดรอยจนมาถึงนี่

และเขาก็คาดเดาได้เช่นกัน ว่าถุงมิติที่คนทั้งสองเอ่ยถึง คือถุงผ้าใบน้อยที่เขาเก็บมาจากร่างของชายชราในชุดดำ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำมันออกมาจากแขนเสื้อโดยไม่มีลังเล และส่งมอบให้กับอีกฝ่าย

ของสำคัญอย่างวิชาและศิลาวิญญาณนั้นถูกเขานำไปใช้งานจนหมดแล้ว และเพราะไม่ทราบว่าสมุนไพรที่มีอยู่ด้านในใช้ทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากนัก

“น่าสนใจ” โจวสวี่จ้องมองมาด้วยความประหลาดใจ และเขาไม่คิดรับถุงกลับคืน

“ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้มาล้างแค้นให้จางเฟิง เพราะพวกเรานี่แหละที่เป็นคนเล่นงานเขา”

“ชายคนนั้นขโมยสมุนไพรวิญญาณไปจากสำนัก ที่ออกตามหาครั้งนี้ก็เพียงแค่ต้องการสมุนไพรกลับคืน ตรวจสอบถุงมิติว่ามีพืชที่คล้ายเถาวัลย์สีเขียวอยู่หรือไม่ เพียงส่งมันกลับคืน ส่วนของอื่นที่เหลือยกให้เป็นรางวัลแก่เจ้า”

“ขอรับ” จี้เตี๋ยครุ่นคิด ภายหลังสืบหาด้านในมิติจึงพบเจอเถาวัลย์สีเขียวท่ามกลางสมุนไพรทั้งหลายที่มีอยู่ สุดท้ายจึงนำมันออกมาและส่งกลับคืนให้คนทั้งสอง

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ” โจวสวี่ยกมือตอบและโบกเล็กน้อย เถาวัลย์ดังกล่าวจึงถูกฝ่ามือของเขาดูดเข้าหาอย่างลึกลับ

ภายหลังตรวจสอบจนแน่ใจว่าเป็นของที่ตามหา เขาจึงส่งมันเก็บเข้าถุงผ้าไป

“ไปกันศิษย์น้องซ่ง”

“ศิษย์พี่โจวรอสักประเดี๋ยว คนคนนี้อาจเป็นศิษย์ของจางเฟิง พวกเราไม่ควรปล่อยภัยคุกคามเอาไว้” ซ่งเจี่ยจ้องมองจี้เตี๋ยด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น

ถ้อยคำดังกล่าวเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วทั้งกาย มันทำให้เขาทราบว่าจิตใจของสตรีผู้นี้ร้ายแรงยิ่งกว่ายาพิษ เวลานี้จึงอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาเสียงดัง “รูปลักษณ์งดงาม แต่แท้จริงจิตใจไม่ต่างกับงูพิษ!”

ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกชัดว่าคิดฆ่าเขาทิ้ง ไฉนเลยเขาจะมองนางในแง่ดีได้อีก!

“รนหาที่ตาย!” ใบหน้าอันงดงามของซ่งเจี่ยเผยความเย็นเยียบ มือของนางเงื้อขึ้นหมายจะสังหารจี้เตี๋ยให้ตายคาที่

“ศิษย์น้องซ่งยั้งมือก่อน” โจวสวี่ส่ายศีรษะขณะเข้าห้ามปราม “เขาน่าจะพบเจอเข้ากับร่างของจางเฟิงที่ตายแล้วโดยบังเอิญ หากไม่แล้วด้วยนิสัยของจางเฟิง มีหรือจะปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตมาได้ เพราะมันคงฆ่าดูดกลืนพลังชีวิต รวมถึงล้างบางชาวบ้านแถบนี้เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของมันไปแล้ว”

แม้จี้เตี๋ยไม่อาจเข้าใจว่า ‘ดูดกลืนพลังชีวิต’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงหมายความว่าอย่างไร แต่จากประโยคก็พอทำให้ทราบโดยคร่าวถึงความโหดเหี้ยมของจางเฟิง เวลานี้พอนึกย้อนไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัว

ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้นอีกฝ่ายเอาแต่ล่อลวงและเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าไปใกล้

เพราะที่แท้ก็มีเจตนาคิดกลืนกินผู้อื่นเพื่อฟื้นคืนชีวิตให้ตนเอง!

ความรู้สึกที่ได้เดินผ่านประตูยมโลกมาโดยไม่รู้ตัว มันทำเอาเขาต้องหน้าซีด

“เพียงแต่เจ้านี่ฝึกฝนวิชาของสำนักเราแล้ว ไฉนเลยจะปล่อยให้วิชาของสำนักตกไปสู่คนนอกได้?” ซ่งเจี่ยขมวดคิ้ว นางยังไม่คิดยอมถอย

และเมื่อครู่จี้เตี๋ยเพิ่งพูดจาเสียหายซึ่งหน้า ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ่งอยากลงมือสังหาร

พบเห็นอีกฝ่ายยังไม่คิดยอมถอย จี้เตี๋ยเริ่มร้อนรนขณะหันมองไปทางชายหนุ่ม

“นั่นก็จริง แม้จางเฟิงเป็นคนทรยศ แต่เขาก็เป็นผู้ที่ฝึกวิชาของสำนักเจ็ดลึกล้ำของเรา ในเมื่อเด็กคนนี้ฝึกฝนวิชาไปแล้ว ก็คงต้องพากลับสำนักไปด้วย” โจวสวี่มองจี้เตี๋ยและครุ่นคิด สุดท้ายจึงเอ่ยคำตัดสินใจออกมา

“ด้วยอายุเท่านี้ ต่อให้ทุ่มเทให้กับหนทางแห่งการฝึกตนก็ถือว่าช้าเกินไป มันจะยากเปรียบดังปีนป่ายขึ้นสวรรค์ แต่ในเมื่อศิษย์พี่กล่าวแล้วก็คงต้องพากลับไปด้วย” ซ่งเจี่ยส่ายศีรษะ สายตาของนางยังจ้องมองจี้เตี๋ย เพียงแต่เวลานี้ไม่ทักท้วงใดแล้ว

เพราะหากกลับไปถึงสำนักเจ็ดลึกล้ำได้เมื่อไหร่ นางก็มีวิธีสังหารเด็กน้อยเช่นจี้เตี๋ยมากมาย!

“ไปกัน” โจวสวี่ไม่คิดถามไถ่ความคิดเห็นของผู้อื่น เวลานี้เขาจึงเข้าไปคว้าคอเสื้อของจี้เตี๋ยพร้อมลอยขึ้นไปบนอากาศ

ระหว่างที่คนทั้งสองตัดสินใจกันนั้น จี้เตี๋ยไม่อาจออกความเห็นใดได้แม้แต่น้อย

ในสายตาของคนทั้งสอง จี้เตี๋ยเปรียบเสมือนบุคคลที่โชคดีได้ก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกตน ชะตาของเขาได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ยิ่งขึ้นมาบนฟ้าสูงเท่าใดลมก็ยิ่งพัดแรงมากขึ้นเท่านั้น และมันถือเป็นประสบการณ์บินบนฟ้าครั้งแรกของจี้เตี๋ยด้วยเช่นกัน

เขาลืมตาและมองออกไปจนได้ทราบว่าตนเองกำลังบินอยู่บนฟ้า หมู่บ้านเหวินเหอซึ่งอยู่ใต้เท้าเริ่มกลายเป็นเพียงจุดอันเล็กน้อย ภาพฉากที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเริ่มทำเขางุนงง

เขาถึงกับต้องจากหมู่บ้านเหวินเหอมาทั้งแบบนี้!

ทั้งที่เขายังไม่อาจทวงที่ดินซึ่งเป็นของบิดาและมารดากลับคืนมาเลยด้วยซ้ำ...

“หากว่าไม่อยากตาบอด ก็หลับตาเสีย” ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาของจี้เตี๋ยเริ่มแดงเพราะสายลมที่เข้าปะทะ และเพราะได้ยินคำเตือนเขาจึงต้องหลับตาลงในทันทีทันใด

4.5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด