ตอนที่ 4 ปะทุออก
ตอนที่ 4 ปะทุออก
จี้เตี๋ยพยายามปลอบผิงผิงขณะเงยหน้ามองไปที่ประตู และจากที่เห็น เขาเองก็ทราบว่าผู้มาเยือนคงไม่ใช่คนดี
“พวกเจ้าเป็นใคร?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันสงบไร้อาการแตกตื่น ขณะมองยังชุดที่ชายทั้งสองสวมใส่
“ตระกูลหยางมีเรื่องอยากสอบถามเจ้า หากว่าไม่อยากเสียเลือดเนื้อก็แค่มากับพวกเรา!” ชายร่างใหญ่ตอบกลับประหนึ่งกำลังบอกว่า กล้าดีอย่างไรมาตั้งคำถามกับข้า
ตระกูลหยางมีเรื่องอยากสอบถาม?!
หรือจะเป็นเรื่องชายชราในชุดดำ?
จี้เตี๋ยนิ่งงัน ขณะในใจกำลังนึกย้อนถึงเหตุการณ์ชายชราในชุดดำ สุดท้ายนี้เองที่ความกังวลเริ่มบังเกิดขึ้น
“พี่จี้ ข้ากลัว” หลี่ผิงผิงพยายามซุกตัวในอ้อมแขนของเขา แต่ในใจของเด็กหญิงก็กำลังห่วงหาผู้เป็นบิดาเช่นกัน
“ไม่เป็นไรผิงผิง พี่ชายอยู่ตรงนี้ ไปดูกันให้รู้ชัดดีกว่าว่ามันเรื่องอะไร” จี้เตี๋ยพยายามปลอบใจ ขณะเดียวกันก็คิดไปดูให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องราวอะไรกันแน่
นอกจากนี้ คนทั้งสองไม่มีท่าทีคล้ายจะเปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธแม้แต่น้อย
“คุยกันจบหรือยัง!” ชายร่างใหญ่เอ่ยเร่ง
จี้เตี๋ยไม่ได้ตอบอะไร แต่เลือกที่จะตามชายทั้งสองไปพร้อมกับอุ้มผิงผิงไปด้วย
เขาไม่แม้แต่จะถามว่าคนทั้งสองคิดพาตนเองไปที่ไหน และดูเหมือนว่าต่อให้ถามก็คงไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทำได้คือติดตามไป ระหว่างทางเขายังได้พบว่าภายในหมู่บ้านเงียบงันผิดปกติ ในระยะการมองเห็นแทบไม่มีใครอื่นแสดงตัว ราวกับชาวบ้านในหมู่บ้านถูกพาตัวกันไปจนหมด
รวมกับท่าทีวางตัวใหญ่โตของอีกฝ่าย ดวงตาของจี้เตี๋ยอดไม่ได้ที่จะทอประกายขึ้นมา
บริเวณลานกว้างภายนอกหมู่บ้านมีกลุ่มคนยืนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก ผู้หญิง คนหนุ่ม คนใช้แรงงานที่แข็งแรง พวกเขาล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วยท่าทีสับสนและหวาดกลัว
บางคนยังมีสภาพเปื้อนโคลน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกบังคับพาตัวออกมาจากพื้นที่ทำไร่ทำนาโดยไม่รู้ว่ามีเรื่องราวอะไรด้วยซ้ำ
“เจ้าของที่ดินหยาง มีเหตุผลอะไรถึงพาพวกเรามารวมตัวกันที่นี่?” หัวหน้าหมู่บ้านที่อายุราวหกสิบปีเอ่ยถาม แม้กระนั้นตอนยืนต่อหน้าชายตัวใหญ่หูโตตรงหน้า เขาก็ยังต้องถ่อมตนและนอบน้อม
ใครใช้ให้คนที่ดูแข็งแกร่งจำนวนมากมายขนาดนี้จับจ้องสายตามากัน?
“หัวหน้าหมู่บ้านวางใจได้ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ก็แค่มีเรื่องอยากสืบสวนสักเล็กน้อย ตราบเท่าที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เดี๋ยวก็ได้กลับไปทำงานกันตามเดิมแล้ว” เจ้าของที่ดินหยางในชุดผ้าไหมสีม่วงตอบกลับ แม้ท่วงท่าดูเทอะทะ แต่ไม่มีใครในที่นี้กล้าหัวเราะ
เขาพ่นเมล็ดองุ่นออกมาขณะหันสายตามองหัวหน้าหมู่บ้านผู้อยู่ตรงหน้า
“แน่นอน แน่นอน พวกเรายินดีตอบทุกอย่างเท่าที่ทราบ” หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มตอบรับ เขาทราบดีว่าเวลานี้ต้องถ่อมตนเข้าไว้ เพราะอีกฝ่ายคือกลุ่มคนเหี้ยมที่พร้อมจะเลาะเนื้อเถือกระดูกพวกตน
ตอนนี้เองที่ชายร่างใหญ่สองคนกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากหมู่บ้าน
พบเห็นกลุ่มชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตา สายตาของจี้เตี๋ยจึงมองยังชายพุงพลุ้ยทื่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคน
อีกฝ่ายคือเจ้าของที่ดินหยาง คนที่กดราคาซื้อที่ดินจากครอบครัวของเขาไป!
ผู้ดูแลที่มาเก็บค่าเช่าเมื่อหลายวันก่อนก็อยู่ด้วย อีกฝ่ายยืนอยู่ด้านหลังเจ้าของที่ดินหยาง
จี้เตี๋ยพยายามเก็บซ่อนความเย็นเยือกในสายตาขณะหลบสายตาคนทั้งสอง
“ผิงผิง” หลี่อี้เองก็อยู่ที่นี่ และเพราะได้เห็นจี้เตี๋ยอุ้มลูกสาวของตนเองมา เขาจึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก
“ลุงหลี่” จี้เตี๋ยเรียกทักทายขณะเดินเข้าไปหาพร้อมปล่อยหลี่ผิงผิงลง
ชายร่างใหญ่ทั้งสองที่นำจี้เตี๋ยมา ขณะนี้เดินเข้าไปหาเจ้าของที่ดินหยางพร้อมเอ่ยบอกด้วยความนอบน้อม “เรียนนายท่าน คนทั้งหมดสามร้อยสิบคนในหมู่บ้านเหวินเหอมารวมกันครบแล้วขอรับ”
“เหตุใดถึงใช้เวลานานขนาดนี้?” เจ้าของที่ดินหยางถามด้วยท่าทีเฉยชา
“ผิดไปแล้วขอรับ” ชายร่างใหญ่เร่งร้อนก้มหัวให้
“อย่าให้มีแบบนี้อีก!” เจ้าของที่ดินหยางตอบกลับ แต่แม้แบบนั้นเขาก็ไม่ได้ซักเรื่องนี้ต่อ เพราะเขาหันไปยิ้มแย้มให้ชาวบ้านตรงหน้าที่ยังไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
“ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว ข้าก็ไม่คิดปล่อยให้เสียเวลาต่อ เชื่อว่าทุกคนคงกำลังสงสัยว่าที่เรียกมารวมตัวกันนี้มีจุดประสงค์อะไร”
ภายหลังได้ยิน บรรดาชาวบ้านเงียบเสียงลง ราวกำลังรอคอยประโยคถัดไป
เจ้าของที่ดินหยางพูดต่อโดยไม่รีรอ “เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่ ก็เพราะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น และมันเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านเหวินเหอแห่งนี้”
“ข้าต้องการทราบว่าช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา มีใครในหมู่บ้านเดินทางไปภายนอกบ้าง!”
เพียงสิ้นคำถาม ชาวบ้านในลานกว้างต่างส่งเสียงฮือฮากันออกมา
“นี่ไม่ยุติธรรม! เจ้าของที่ดินหยาง พวกเราไม่ได้รู้เห็นอะไรในเรื่องพวกนี้!” สีหน้าท่าทีของชาวบ้านและรวมถึงหัวหน้าหมู่บ้านแปรเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม รวมทั้งบอกกล่าวว่าไม่เคยออกไปนอกหมู่บ้าน
เจ็ดวันที่ผ่านมา?
เหมือนวันนั้นจะเป็นวันที่เขาออกไปขายสมุนไพรที่ในเมืองพอดี
หรือมีคนทราบเรื่องชายชราชุดดำที่ตายในบริเวณนั้นเข้าแล้ว?
จี้เตี๋ยกำลังนึกย้อนถึงเรื่องราววันนั้น ศีรษะของเขาลดต่ำลงขณะสีหน้ายังคงสงบนิ่ง หาได้แสดงอาการผิดปกติออกมาไม่
หลี่อี้ที่อยู่ข้างกันตระหนักพบเห็น กระทั่งลอบมอง
เขาจำได้ว่าวันนั้นลูกสาวของตนเอาโสมไปให้จี้เตี๋ย เพื่อนำไปขายในเมืองแลกเป็นเงินมาใช้จ่าย เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเจ็ดวันก่อนหรือไม่
“หากใครให้เบาะแสจะมีรางวัลสิบตำลึงเงิน!” เจ้าของที่ดินหยางไม่ประหลาดใจกับท่าทีตอบสนองของกลุ่มคน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเสนอรางวัลสิบตำลึงเงินออกมา
สำหรับชาวบ้านเหล่านี้ มันถือเป็นเงินก้อนใหญ่จนเชื่อได้ว่าน้อยคนจะกล้าปฏิเสธ
และทันใดนี้เองที่ปรากฏเสียงแหลมดังขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าเป็นใคร วันนั้นข้าทำงานอยู่ในไร่จึงเห็นจี้เตี๋ยออกไปจากหมู่บ้าน ผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่กลับมา!”
อีกฝ่ายคือหญิงสาวที่ทำงานในไร่เมื่อเจ็ดวันก่อน และบังเอิญพบเห็นจี้เตี๋ยออกไปนอกหมู่บ้านเข้าพอดี
เพราะความเย้ายวนของสิบตำลึงเงินเข้าครอบงำ นางพร้อมจะขายจี้เตี๋ย
“จี้เตี๋ย” เจ้าของที่ดินหยางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ยังจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักเท่าไหร่
“จี้เตี๋ยคือใคร!” เขาตะโกนถาม
“ท่านเจ้าของที่ดิน เด็กคนนั้นขอรับ” ผู้ดูแลจางชี้นิ้วไปทางจี้เตี๋ยผู้อยู่ภายในฝูงชน
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกลัวว่าจะเกิดปัญหา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเร่งร้อนเว้นระยะถอยห่าง กระทั่งหลี่อี้ยังต้องอุ้มหลี่ผิงผิงหนี
ความรู้สึกที่ราวกับโดนโลกทั้งใบทอดทิ้ง มันเป็นเหตุให้จี้เตี๋ยหมองหม่น
เขาไม่ได้นึกเกลียดชังผู้หญิงคนนั้น และตอนนี้สีหน้าท่าทีของเขาก็ค่อนข้างสงบดีด้วยซ้ำ “เมื่อเจ็ดวันก่อนข้าออกไปจากหมู่บ้านจริง แต่ข้าเข้าเมืองไปเพื่อขายโสม ไม่ได้ฆ่าใครตามที่ถูกกล่าวอ้าง!”
“เจ้าทำจริงหรือไม่นั้น จับกุมตัวไปสืบสวนเดี๋ยวก็ทราบ” เจ้าของที่ดินหยางส่งเสียงขึ้นจมูกพลางออกคำสั่ง
“จับกุมตัวมันเอาไว้!”
“ขอรับ” ผู้ดูแลจางก้าวฝีเท้าออกไป เพราะเขาไม่เคยเห็นจี้เตี๋ยในสายตาอยู่แล้ว เวลานี้จึงพุ่งมือเข้าไปคว้าตัวโดยไม่รีรอ
“ไอ้หนู ว่าให้ง่ายและยอมถูกจับซะ จะได้ไม่เจ็บตัวเสียเลือดเสียเนื้อ”
“หลีกไป!” จี้เตี๋ยเผยริมฝีปากสั่นเทาขณะนึกย้อนถึงเรื่องราวที่คนเหล่านี้ทำกับตนมาตลอดหลายปี ปัจจุบันเขากำลังจะถูกเล่นงานโดยไม่คิดสืบหาความจริงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ทันใดนี้เองที่พลังวิญญาณภายในหน้าท้องส่วนล่างพลันทะลักล้น มันแผ่พุ่งไปตามร่างกายก่อนจะปล่อยหมัดตรงออกไป
“อาศัยแค่กำลังเจ้าหรือ น่าขัน” ผู้ดูแลจางเผยสีหน้าเหยียดหยัน เพราะเขาคือผู้ฝึกวิทยายุทธ์มาตลอดช่วงเวลาหลายปี ดังนั้นยามพบเห็นเด็กหนุ่มที่ไม่มีแม้แต่อะไรกินประทังความหิวจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจจริงจัง
จี้เตี๋ยยืนอยู่กับที่ขณะกำหมัดแน่นและต่อยออก
ทันใดนี้เองที่เสียงกระดูกหักดังขึ้น
ส่วนทางด้านผู้ดูแลจาง เวลานี้มองตอบกลับมาราวไม่คิดเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของเขาถึงขั้นกระเด็นถอยกลับลอยลิ่ว
“เป็นไปได้ยังไง?” ความเงียบสงัดกัดกินพื้นที่ บรรดาชาวบ้านต่างจ้องมองด้วยสายตาเบิกกว้างราวไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็น
จี้เตี๋ยเพิ่งต่อยคนร่างกระเด็นด้วยหนึ่งหมัด นี่มันระดับอสุรกายแล้ว!
อีกฝ่ายยังใช่จี้เตี๋ยที่พวกเขารู้จักอยู่หรือไม่?
ผู้หญิงคนที่เพิ่งชี้ตัวจี้เตี๋ยก่อนหน้านี้ ปัจจุบันกำลังก้มหน้าลงต่ำเผยสีหน้าซีดเซียว
ราวกับนางกำลังหวาดกลัวจี้เตี๋ยจะมองมาและเพ่งเล็ง