ตอนที่แล้วตอนที่ 2 จางเฟิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 4 ปะทุออก

ตอนที่ 3 คัมภีร์


ตอนที่ 3 คัมภีร์

“คัมภีร์วิชากลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ” จี้เตี๋ยพึมพำ

โชคดีที่มารดาของเขาเคยสอนให้อ่านตัวหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเหตุนั้นเขาจึงอ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ออก

เนื่องจากมันมีอยู่เพียงแค่สามแผ่น ภายหลังอ่านจบเขาจึงเริ่มครุ่นคิด

มันคือวิชาฝึกฝนของเซียนจริง

มันคือบันทึกวิธีการกลั่นลมปราณในขอบเขตแรกเริ่ม!

ตามเนื้อหาที่บันทึกเอาไว้ ตราบเท่าที่ตั้งท่าทางโดยนั่งขัดสมาธิได้ถูกต้อง ถัดจากนั้นจึงใช้วิธีการหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ร่วม เพื่อดูดกลืนปราณวิญญาณในฟ้าดินเข้าไปในร่างกาย

ยามที่ปราณวิญญาณฟ้าดินในร่างกายสะสมรวบรวมจนถึงขั้นที่หนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร เมื่อนั้นคือการก่อทะเลลมปราณได้สำเร็จ และมันคือการข้ามผ่านสู่รากฐานการฝึกตน!

จี้เตี๋ยหาได้ทราบไม่ ว่าอะไรคือการสร้างรากฐาน

เขาทราบเพียงแค่ว่าหากเมื่อใดกลายเป็นเซียน เมื่อนั้นจะไม่มีใครมาข่มเหงตนเองได้อีกต่อไป!

นอกจากนี้พวกตระกูลหยางยังมีแต่ตัวบัดซบ!

เขาปรารถนาทวงคืนผืนดินที่เป็นของบิดาและมารดากลับคืนมา!

ด้วยความตื่นเต้น จี้เตี๋ยนั่งขัดสมาธิบนที่นอนขณะพยายามฝึกฝนตามวิธีการที่อ่านมาจากคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ

หนึ่งวันผันผ่านไปอย่างเงียบงัน เพียงแค่ช่วงพริบตาก็พบว่าเย็นย่ำแล้ว

ในที่สุดจี้เตี๋ยก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่เอ่อล้นภายในร่างกาย มันหยุดอยู่บริเวณเหนือท้องน้อย

แม้เบาบางจนเปรียบเสมือนเทียนท่ามกลางพายุที่พร้อมจะดับมอดลงได้ทุกเมื่อ แต่มันก็มีอยู่

“นี่หรือปราณวิญญาณ…” จี้เตี๋ยที่ได้รับรู้ถึงผลลัพธ์การฝึกเริ่มตื่นเต้น กระทั่งลุกจากที่นอนไปหาอะไรกิน สุดท้ายจึงกลับมานั่งฝึกบนที่นอนต่อ

ตามเนื้อหาของคัมภีร์ การกลั่นลมปราณประกอบด้วยเก้าขั้น

ปราณวิญญาณที่เขามี มันยังไกลห่างจากการกลั่นลมปราณขั้นแรกมากนัก

ซึ่งจี้เตี๋ยก็ไม่ได้คิดเร่งร้อน

เพียงไม่ช้าก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งคืน และจี้เตี๋ยต้องประหลาดใจที่ได้พบ ว่าแม้ตนเองไม่ได้หลับนอนแต่ยังเปี่ยมล้นด้วยเรี่ยวแรง

พลังวิญญาณภายในร่างกายของเขา ปัจจุบันมันมากกว่าเมื่อคืนก่อนถึงสองเท่า เส้นผมก็คล้ายจะยาวมากขึ้นด้วยเช่นกัน!

มันเป็นอีกก้าวที่เข้าใกล้การกลั่นลมปราณ!

นอกจากนี้เขายังได้พบ ว่าตอนที่ถือก้อนหินสีขาวเอาไว้ในมือ ความเร็วการฝึกตนกลับเพิ่มมากขึ้น

เขาหาได้ทราบไม่ว่าก้อนหินสีขาวเหล่านี้ถูกเรียกว่าศิลาวิญญาณ มันอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณในฟ้าดิน และสามารถใช้เพื่อเร่งความเร็วการฝึกตนได้

และมันเหมือนกับสิ่งกระตุ้นทำให้เลือดลมในกายของจี้เตี๋ยสูบฉีด เขาไม่ได้ออกจากบ้านเป็นเวลาหลายวันแล้ว และตลอดทั้งวันจะถือศิลาวิญญาณเอาไว้ในมือ เพื่อฝึกฝนไปตามคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ อย่างที่ไม่คิดกินดื่มหรือนอนหลับพัก

จนกระทั่งวันที่สี่

กระแสความอบอุ่นจากช่องท้องส่วนล่างมันเกือบจะหนาเท่านิ้วมือแล้ว

จี้เตี๋ยผู้กำลังฝึกฝนอยู่ ทันใดนี้เองที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่ภายในร่างกาย มันเป็นกระแสความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกสบาย มันทำให้ร่างกายของเขาสูงขึ้น และมีดวงตาที่สุกใสเป็นประกายมากขึ้น

“ตอนนี้เราน่าจะไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่งตามคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำแล้ว ก้อนหินนี่ก็เป็นของดีที่ช่วยเร่งความเร็วการฝึกฝนได้เกือบสองเท่า” จี้เตี๋ยลืมตาขณะเผยความเบิกบาน ในเมื่อการฝึกฝนก้าวหน้าขึ้นแล้ว เขาก็ไม่คิดเร่งร้อนรีบฝึกต่อ

ขณะนี้เขากำลังมองก้อนหินในมือที่สูญเสียปราณวิญญาณจนหมดสิ้น ที่สุดท้ายมันป่นกลายเป็นผง

“โชคไม่ดีที่ฝึกฝนได้เพียงไม่กี่วัน ก้อนหินพวกนี้ก็ถูกใช้ไปแล้วถึงห้าก้อน”

“เดิมมีก้อนหินนี่อยู่สิบเอ็ดก้อน ทั้งยังเป็นของสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วหมดไป…”

สุดท้ายจี้เตี๋ยจึงส่ายศีรษะ เขาทราบว่าไม่ควรกังวลเรื่องนี้มากจนเกินเหตุ เพราะหากไม่มีก้อนหินเหล่านี้ เขาก็คงไม่อาจฝึกฝนตนเองได้

สุดท้ายแล้วเขาจึงนำสมุนไพรออกจากถุงมาถือไว้ในมือและสำรวจตรวจสอบ

มันเป็นสมุนไพรที่มีสีม่วง สูงราวหนึ่งฉื่อ มีใบกลม และมีทั้งหมดสามต้นด้วยกัน

*ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาว ประมาณ 33 เซนติเมตร หรือประมาณหนึ่งไม้บรรทัด

“สมุนไพรพวกนี้ไม่เหมือนสมุนไพรทั่วไป น่าจะมีไว้ใช้เพื่อการฝึกฝน ไม่แน่ใจเลยว่าจะยกระดับมันขึ้นอีกได้ไหม” จี้เตี๋ยเกิดความสงสัยพร้อมเรียกหม้อทองแดงออกมา สุดท้ายจึงวางสมุนไพรสีม่วงใส่ลงไป

ขณะจับจ้องไม่ละสายตา แสงสว่างสีเขียวมรกตพลันสาดส่องออกมาจากหม้อ ตามมาด้วยกลิ่นหอมอ่อนจางที่เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง!

“กลิ่นที่ดี! แต่ไม่รู้เลยว่ากินแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยไหม” จี้เตี๋ยเผยดวงตาเป็นประกายขณะได้พบ ว่าสมุนไพรที่เพิ่งวางใส่หม้อทองแดงไปเมื่อครู่ มันปรากฏใบและกิ่งก้านที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้กลิ่นหอมที่น่าจะมีสรรพคุณทางยายังฟุ้งกระจายออกมาอย่างรุนแรง

กลิ่นของมันดีขนาดทำเขาอยากจะกินเข้าไปเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ!

เพียงแต่จี้เตี๋ยยังยับยั้งความอยากเอาไว้ได้

เนื่องจากยังไม่ทราบสรรพคุณของสมุนไพร เขาจึงไม่กล้ากินเข้าไปอย่างบุ่มบ่าม

ภายหลังนำสมุนไพรใส่หม้อทองแดงอีกครั้งหนึ่ง จี้เตี๋ยหยุดการฝึกฝนและมองไปยังรองเท้าที่ซื้อมาให้ผิงผิง

ไม่ทราบว่าเด็กหญิงหายหน้าหายตาไปไหน ช่วงสองสามวันมานี้ไม่โผล่หน้ามาหาเขาเลยแม้สักครั้ง

จี้เตี๋ยส่ายศีรษะ สุดท้ายจึงก้าวเดินออกจากบ้านไป

“นังเด็กเหม็นโฉ่ ถึงกับรู้วิธีลักขโมยเลยงั้นหรือ ใครสอนเจ้ากัน!” ตอนนี้เองที่บริเวณลานกว้าง มีชายวัยกลางคนใบหน้าตรงถือแท่งไม้เอาไว้ในมือ

และที่ตรงหน้าของอีกฝ่ายคือหลี่ผิงผิงที่ยื่นมือออกมาอย่างขลาดกลัว “ไม่มีใครสอนข้าทั้งนั้น ข้าก็แค่คิดว่าพี่จี้น่าสงสารก็เลยเอาไปให้ พ่อจะตีก็ตีข้า!”

พบเห็นนางร้องขอการลงโทษด้วยตนเอง ผู้เป็นบิดาสกุลหลี่ที่ไม่อาจตีลงถึงกับต้องรู้สึกปวดศีรษะ

เพราะวันนี้เขาเพิ่งได้ทราบว่าโสมป่าที่เก็บเอาไว้ในตู้หายไป ภายหลังสอบถามจึงได้ทราบ ว่าลูกสาวของตนเองนำไปให้กับเด็กหนุ่มจากตระกูลจี้

และก็เป็นตอนนี้เองที่เขาได้เห็นจี้เตี๋ยเดินออกมา

“ไสหัวไป!” บิดาสกุลหลี่คล้ายไม่อยากเห็นหน้าจี้เตี๋ย

กับเด็กหนุ่มตรงหน้า สำหรับเขามันเกินกว่าคำว่ารังเกียจไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

ลำพังแค่เลี้ยงดูหลี่ผิงผิงจนเติบใหญ่ก็ลำบากแล้ว เขาไม่คิดอยากได้ภาระเข้ามาเพิ่ม

“ลุงหลี่ หลายวันก่อนผิงผิงเอาโสมป่ามาให้และข้านำไปขาย นี่สิบเหรียญทองแดง เดิมข้าก็คิดบอกให้นางนำกลับไปให้ท่านอยู่แล้ว เพียงแต่สองสามวันที่ผ่านมากลับไม่เห็นผิงผิงแวะมา ข้าก็เลยคิดจะเอาไปให้ด้วยตนเองอยู่พอดี” จี้เตี๋ยเร่งร้อนนำเอาเหรียญทองแดงสิบเหรียญออกมาวางลงบนโต๊ะ

“และนี่ ของขวัญที่ข้าซื้อมาให้ผิงผิง”

“ขอบคุณพี่จี้เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับรองเท้าปักสีแดงไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ลองใส่ดู ข้าซื้อมาแต่ก็อาศัยเดาขนาดเท้าเจ้าเอา” จี้เตี๋ยยิ้มตอบขณะลูบศีรษะป้อย

“หากว่าไม่พอดี ข้าจะได้นำกลับไปเปลี่ยน”

“เจ้าค่ะ” หลี่ผิงผิงรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปพร้อมรองเท้าด้วยอาการตื่นเต้นยินดี เพราะนางสวมใส่แต่รองเท้าฟางมาโดยตลอด จนวันนี้เองถึงได้มีโอกาสใส่รองเท้าผ้าปักลาย

“เดี๋ยวก่อน วางรอยเท้านั่นลง” หลี่อี้คิดห้ามบุตรสาว เพียงแต่สายเกินไป

เด็กนั้นทั้งใสซื่อและไม่เคยคิดอะไรมาก แต่เขาทราบสถานการณ์ของจี้เตี๋ยดี ไฉนเลยอีกฝ่ายจะมีเงินไปซื้อของเช่นนี้มาได้? หรือว่าจะไปก่อเรื่องชั่วหาเงินมา?

“ลุงหลี่วางใจได้ เงินนี้ได้รับมาอย่างถูกต้อง พอดีข้าไปเจอของที่พ่อกับแม่เหลือเอาไว้” จี้เตี๋ยทราบดีว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร เวลานี้จึงอธิบายเรื่องราวไปตามที่เตรียมเอาไว้

“งั้นหรือ แต่เจ้าก็ไม่ควรใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอยู่ดี เอากลับคืนไปเสีย ภายหน้าเจ้ายังต้องลำบากอีกมาก” หลี่อี้ถอนหายใจ เขาทราบดีว่าโสมป่าไม่มีทางขายได้ราคามากมาย นับประสาอะไรกับรองเท้าคู่หนึ่ง

“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายังมีอยู่” จี้เตี๋ยโบกมือเป็นการบอกลา

และเขาค่อนข้างมั่นใจว่ารองเท้าจะขนาดพอดีกับเด็กหญิง ดังนั้นเขาจึงแทบไม่กังวลว่ามันจะใส่ไม่พอดี

อีกหลายวันผ่านพ้น ชีวิตของเขายังดำเนินไปตามปกติ จี้เตี๋ยฝึกฝนพลางกินดื่มไปตามประสา สุดท้ายศิลาวิญญาณอีกหกก้อนที่เหลืออยู่จึงถูกใช้จนหมด

เพียงแต่ระดับการฝึกตนของเขาใกล้ข้ามผ่านสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สองแล้ว

จนวันนี้เองที่หลี่ผิงผิงเปิดประตูบ้านของเขาเข้ามา พร้อมกระโจนร่างที่ราวกับไร้เรี่ยวแรงพร้อมใบหน้าซีดเผือดเข้าหาอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม

“พี่จี้ พ่อ พ่อ... พ่อโดนพวกคนไม่ดีพาตัวไปแล้ว...”

จี้เตี๋ยพบเห็นเด็กสาวพูดตะกุกตะกัก เวลานี้จึงกอดร่างน้อยเอาไว้เป็นการปลอบ “ผิงผิง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พูดช้า ๆ เกิดอะไรขึ้น”

ขณะเวลานี้เองที่ชายร่างใหญ่สองคนในชุดแปลกตาปรากฏตัวที่บริเวณประตูบ้าน “อยู่ตรงนี้อีกคน มากับพวกเรา!”

“คนพวกนี้แหละที่พาพ่อของข้าไป” หลี่ผิงผิงหดตัวเข้ากับอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม

4.6 5 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด