ตอนที่ 3 คัมภีร์
ตอนที่ 3 คัมภีร์
“คัมภีร์วิชากลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ” จี้เตี๋ยพึมพำ
โชคดีที่มารดาของเขาเคยสอนให้อ่านตัวหนังสือตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเหตุนั้นเขาจึงอ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ออก
เนื่องจากมันมีอยู่เพียงแค่สามแผ่น ภายหลังอ่านจบเขาจึงเริ่มครุ่นคิด
มันคือวิชาฝึกฝนของเซียนจริง
มันคือบันทึกวิธีการกลั่นลมปราณในขอบเขตแรกเริ่ม!
ตามเนื้อหาที่บันทึกเอาไว้ ตราบเท่าที่ตั้งท่าทางโดยนั่งขัดสมาธิได้ถูกต้อง ถัดจากนั้นจึงใช้วิธีการหายใจอันเป็นเอกลักษณ์ร่วม เพื่อดูดกลืนปราณวิญญาณในฟ้าดินเข้าไปในร่างกาย
ยามที่ปราณวิญญาณฟ้าดินในร่างกายสะสมรวบรวมจนถึงขั้นที่หนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทร เมื่อนั้นคือการก่อทะเลลมปราณได้สำเร็จ และมันคือการข้ามผ่านสู่รากฐานการฝึกตน!
จี้เตี๋ยหาได้ทราบไม่ ว่าอะไรคือการสร้างรากฐาน
เขาทราบเพียงแค่ว่าหากเมื่อใดกลายเป็นเซียน เมื่อนั้นจะไม่มีใครมาข่มเหงตนเองได้อีกต่อไป!
นอกจากนี้พวกตระกูลหยางยังมีแต่ตัวบัดซบ!
เขาปรารถนาทวงคืนผืนดินที่เป็นของบิดาและมารดากลับคืนมา!
ด้วยความตื่นเต้น จี้เตี๋ยนั่งขัดสมาธิบนที่นอนขณะพยายามฝึกฝนตามวิธีการที่อ่านมาจากคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ
หนึ่งวันผันผ่านไปอย่างเงียบงัน เพียงแค่ช่วงพริบตาก็พบว่าเย็นย่ำแล้ว
ในที่สุดจี้เตี๋ยก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่เอ่อล้นภายในร่างกาย มันหยุดอยู่บริเวณเหนือท้องน้อย
แม้เบาบางจนเปรียบเสมือนเทียนท่ามกลางพายุที่พร้อมจะดับมอดลงได้ทุกเมื่อ แต่มันก็มีอยู่
“นี่หรือปราณวิญญาณ…” จี้เตี๋ยที่ได้รับรู้ถึงผลลัพธ์การฝึกเริ่มตื่นเต้น กระทั่งลุกจากที่นอนไปหาอะไรกิน สุดท้ายจึงกลับมานั่งฝึกบนที่นอนต่อ
ตามเนื้อหาของคัมภีร์ การกลั่นลมปราณประกอบด้วยเก้าขั้น
ปราณวิญญาณที่เขามี มันยังไกลห่างจากการกลั่นลมปราณขั้นแรกมากนัก
ซึ่งจี้เตี๋ยก็ไม่ได้คิดเร่งร้อน
เพียงไม่ช้าก็ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งคืน และจี้เตี๋ยต้องประหลาดใจที่ได้พบ ว่าแม้ตนเองไม่ได้หลับนอนแต่ยังเปี่ยมล้นด้วยเรี่ยวแรง
พลังวิญญาณภายในร่างกายของเขา ปัจจุบันมันมากกว่าเมื่อคืนก่อนถึงสองเท่า เส้นผมก็คล้ายจะยาวมากขึ้นด้วยเช่นกัน!
มันเป็นอีกก้าวที่เข้าใกล้การกลั่นลมปราณ!
นอกจากนี้เขายังได้พบ ว่าตอนที่ถือก้อนหินสีขาวเอาไว้ในมือ ความเร็วการฝึกตนกลับเพิ่มมากขึ้น
เขาหาได้ทราบไม่ว่าก้อนหินสีขาวเหล่านี้ถูกเรียกว่าศิลาวิญญาณ มันอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณในฟ้าดิน และสามารถใช้เพื่อเร่งความเร็วการฝึกตนได้
และมันเหมือนกับสิ่งกระตุ้นทำให้เลือดลมในกายของจี้เตี๋ยสูบฉีด เขาไม่ได้ออกจากบ้านเป็นเวลาหลายวันแล้ว และตลอดทั้งวันจะถือศิลาวิญญาณเอาไว้ในมือ เพื่อฝึกฝนไปตามคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ อย่างที่ไม่คิดกินดื่มหรือนอนหลับพัก
จนกระทั่งวันที่สี่
กระแสความอบอุ่นจากช่องท้องส่วนล่างมันเกือบจะหนาเท่านิ้วมือแล้ว
จี้เตี๋ยผู้กำลังฝึกฝนอยู่ ทันใดนี้เองที่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปะทุอยู่ภายในร่างกาย มันเป็นกระแสความอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกสบาย มันทำให้ร่างกายของเขาสูงขึ้น และมีดวงตาที่สุกใสเป็นประกายมากขึ้น
“ตอนนี้เราน่าจะไปถึงการกลั่นลมปราณขั้นที่หนึ่งตามคัมภีร์กลั่นลมปราณมหาลึกล้ำแล้ว ก้อนหินนี่ก็เป็นของดีที่ช่วยเร่งความเร็วการฝึกฝนได้เกือบสองเท่า” จี้เตี๋ยลืมตาขณะเผยความเบิกบาน ในเมื่อการฝึกฝนก้าวหน้าขึ้นแล้ว เขาก็ไม่คิดเร่งร้อนรีบฝึกต่อ
ขณะนี้เขากำลังมองก้อนหินในมือที่สูญเสียปราณวิญญาณจนหมดสิ้น ที่สุดท้ายมันป่นกลายเป็นผง
“โชคไม่ดีที่ฝึกฝนได้เพียงไม่กี่วัน ก้อนหินพวกนี้ก็ถูกใช้ไปแล้วถึงห้าก้อน”
“เดิมมีก้อนหินนี่อยู่สิบเอ็ดก้อน ทั้งยังเป็นของสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วหมดไป…”
สุดท้ายจี้เตี๋ยจึงส่ายศีรษะ เขาทราบว่าไม่ควรกังวลเรื่องนี้มากจนเกินเหตุ เพราะหากไม่มีก้อนหินเหล่านี้ เขาก็คงไม่อาจฝึกฝนตนเองได้
สุดท้ายแล้วเขาจึงนำสมุนไพรออกจากถุงมาถือไว้ในมือและสำรวจตรวจสอบ
มันเป็นสมุนไพรที่มีสีม่วง สูงราวหนึ่งฉื่อ มีใบกลม และมีทั้งหมดสามต้นด้วยกัน
*ฉื่อ เป็นหน่วยวัดความยาว ประมาณ 33 เซนติเมตร หรือประมาณหนึ่งไม้บรรทัด
“สมุนไพรพวกนี้ไม่เหมือนสมุนไพรทั่วไป น่าจะมีไว้ใช้เพื่อการฝึกฝน ไม่แน่ใจเลยว่าจะยกระดับมันขึ้นอีกได้ไหม” จี้เตี๋ยเกิดความสงสัยพร้อมเรียกหม้อทองแดงออกมา สุดท้ายจึงวางสมุนไพรสีม่วงใส่ลงไป
ขณะจับจ้องไม่ละสายตา แสงสว่างสีเขียวมรกตพลันสาดส่องออกมาจากหม้อ ตามมาด้วยกลิ่นหอมอ่อนจางที่เริ่มฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง!
“กลิ่นที่ดี! แต่ไม่รู้เลยว่ากินแล้วจะอยู่รอดปลอดภัยไหม” จี้เตี๋ยเผยดวงตาเป็นประกายขณะได้พบ ว่าสมุนไพรที่เพิ่งวางใส่หม้อทองแดงไปเมื่อครู่ มันปรากฏใบและกิ่งก้านที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมกันนี้กลิ่นหอมที่น่าจะมีสรรพคุณทางยายังฟุ้งกระจายออกมาอย่างรุนแรง
กลิ่นของมันดีขนาดทำเขาอยากจะกินเข้าไปเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ!
เพียงแต่จี้เตี๋ยยังยับยั้งความอยากเอาไว้ได้
เนื่องจากยังไม่ทราบสรรพคุณของสมุนไพร เขาจึงไม่กล้ากินเข้าไปอย่างบุ่มบ่าม
ภายหลังนำสมุนไพรใส่หม้อทองแดงอีกครั้งหนึ่ง จี้เตี๋ยหยุดการฝึกฝนและมองไปยังรองเท้าที่ซื้อมาให้ผิงผิง
ไม่ทราบว่าเด็กหญิงหายหน้าหายตาไปไหน ช่วงสองสามวันมานี้ไม่โผล่หน้ามาหาเขาเลยแม้สักครั้ง
จี้เตี๋ยส่ายศีรษะ สุดท้ายจึงก้าวเดินออกจากบ้านไป
“นังเด็กเหม็นโฉ่ ถึงกับรู้วิธีลักขโมยเลยงั้นหรือ ใครสอนเจ้ากัน!” ตอนนี้เองที่บริเวณลานกว้าง มีชายวัยกลางคนใบหน้าตรงถือแท่งไม้เอาไว้ในมือ
และที่ตรงหน้าของอีกฝ่ายคือหลี่ผิงผิงที่ยื่นมือออกมาอย่างขลาดกลัว “ไม่มีใครสอนข้าทั้งนั้น ข้าก็แค่คิดว่าพี่จี้น่าสงสารก็เลยเอาไปให้ พ่อจะตีก็ตีข้า!”
พบเห็นนางร้องขอการลงโทษด้วยตนเอง ผู้เป็นบิดาสกุลหลี่ที่ไม่อาจตีลงถึงกับต้องรู้สึกปวดศีรษะ
เพราะวันนี้เขาเพิ่งได้ทราบว่าโสมป่าที่เก็บเอาไว้ในตู้หายไป ภายหลังสอบถามจึงได้ทราบ ว่าลูกสาวของตนเองนำไปให้กับเด็กหนุ่มจากตระกูลจี้
และก็เป็นตอนนี้เองที่เขาได้เห็นจี้เตี๋ยเดินออกมา
“ไสหัวไป!” บิดาสกุลหลี่คล้ายไม่อยากเห็นหน้าจี้เตี๋ย
กับเด็กหนุ่มตรงหน้า สำหรับเขามันเกินกว่าคำว่ารังเกียจไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้อยากจะไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน
ลำพังแค่เลี้ยงดูหลี่ผิงผิงจนเติบใหญ่ก็ลำบากแล้ว เขาไม่คิดอยากได้ภาระเข้ามาเพิ่ม
“ลุงหลี่ หลายวันก่อนผิงผิงเอาโสมป่ามาให้และข้านำไปขาย นี่สิบเหรียญทองแดง เดิมข้าก็คิดบอกให้นางนำกลับไปให้ท่านอยู่แล้ว เพียงแต่สองสามวันที่ผ่านมากลับไม่เห็นผิงผิงแวะมา ข้าก็เลยคิดจะเอาไปให้ด้วยตนเองอยู่พอดี” จี้เตี๋ยเร่งร้อนนำเอาเหรียญทองแดงสิบเหรียญออกมาวางลงบนโต๊ะ
“และนี่ ของขวัญที่ข้าซื้อมาให้ผิงผิง”
“ขอบคุณพี่จี้เจ้าค่ะ” ผิงผิงรับรองเท้าปักสีแดงไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ลองใส่ดู ข้าซื้อมาแต่ก็อาศัยเดาขนาดเท้าเจ้าเอา” จี้เตี๋ยยิ้มตอบขณะลูบศีรษะป้อย
“หากว่าไม่พอดี ข้าจะได้นำกลับไปเปลี่ยน”
“เจ้าค่ะ” หลี่ผิงผิงรีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปพร้อมรองเท้าด้วยอาการตื่นเต้นยินดี เพราะนางสวมใส่แต่รองเท้าฟางมาโดยตลอด จนวันนี้เองถึงได้มีโอกาสใส่รองเท้าผ้าปักลาย
“เดี๋ยวก่อน วางรอยเท้านั่นลง” หลี่อี้คิดห้ามบุตรสาว เพียงแต่สายเกินไป
เด็กนั้นทั้งใสซื่อและไม่เคยคิดอะไรมาก แต่เขาทราบสถานการณ์ของจี้เตี๋ยดี ไฉนเลยอีกฝ่ายจะมีเงินไปซื้อของเช่นนี้มาได้? หรือว่าจะไปก่อเรื่องชั่วหาเงินมา?
“ลุงหลี่วางใจได้ เงินนี้ได้รับมาอย่างถูกต้อง พอดีข้าไปเจอของที่พ่อกับแม่เหลือเอาไว้” จี้เตี๋ยทราบดีว่าอีกฝ่ายกังวลอะไร เวลานี้จึงอธิบายเรื่องราวไปตามที่เตรียมเอาไว้
“งั้นหรือ แต่เจ้าก็ไม่ควรใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอยู่ดี เอากลับคืนไปเสีย ภายหน้าเจ้ายังต้องลำบากอีกมาก” หลี่อี้ถอนหายใจ เขาทราบดีว่าโสมป่าไม่มีทางขายได้ราคามากมาย นับประสาอะไรกับรองเท้าคู่หนึ่ง
“ไม่เป็นไรขอรับ ข้ายังมีอยู่” จี้เตี๋ยโบกมือเป็นการบอกลา
และเขาค่อนข้างมั่นใจว่ารองเท้าจะขนาดพอดีกับเด็กหญิง ดังนั้นเขาจึงแทบไม่กังวลว่ามันจะใส่ไม่พอดี
อีกหลายวันผ่านพ้น ชีวิตของเขายังดำเนินไปตามปกติ จี้เตี๋ยฝึกฝนพลางกินดื่มไปตามประสา สุดท้ายศิลาวิญญาณอีกหกก้อนที่เหลืออยู่จึงถูกใช้จนหมด
เพียงแต่ระดับการฝึกตนของเขาใกล้ข้ามผ่านสู่การกลั่นลมปราณขั้นที่สองแล้ว
จนวันนี้เองที่หลี่ผิงผิงเปิดประตูบ้านของเขาเข้ามา พร้อมกระโจนร่างที่ราวกับไร้เรี่ยวแรงพร้อมใบหน้าซีดเผือดเข้าหาอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม
“พี่จี้ พ่อ พ่อ... พ่อโดนพวกคนไม่ดีพาตัวไปแล้ว...”
จี้เตี๋ยพบเห็นเด็กสาวพูดตะกุกตะกัก เวลานี้จึงกอดร่างน้อยเอาไว้เป็นการปลอบ “ผิงผิง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พูดช้า ๆ เกิดอะไรขึ้น”
ขณะเวลานี้เองที่ชายร่างใหญ่สองคนในชุดแปลกตาปรากฏตัวที่บริเวณประตูบ้าน “อยู่ตรงนี้อีกคน มากับพวกเรา!”
“คนพวกนี้แหละที่พาพ่อของข้าไป” หลี่ผิงผิงหดตัวเข้ากับอ้อมแขนของเด็กหนุ่ม