ตอนที่ 2 จางเฟิง
ตอนที่ 2 จางเฟิง
ภายหลังเดินผ่านเส้นทางภูเขามาหลายลี้ ในที่สุดจี้เตี๋ยก็มาถึงเมืองที่อยู่ไกลห่างจากหมู่บ้าน สุดท้ายเขาจึงมุ่งตรงไปยังร้านโอสถเจ็ดลึกล้ำภายในเมือง
เท่าที่เขาทราบ วัตถุดิบใช้ทำยาซึ่งรวบรวมจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะถูกนำมาส่งยังที่ร้านแห่งนี้
หน้าประตูร้านมีธงประดับซึ่งปักคำว่า “เจ็ดลึกล้ำ” ที่พลิ้วไหวไปกับสายลมจนโดดเด่นสะดุดตา
เด็กหนุ่มสวมรองเท้าฟางยืนที่บริเวณหน้าประตู พลางเช็ดถูพื้นรองเท้ากับหินสีครามก่อนจะเดินเข้าร้านไป
โสมป่าที่ได้รับมามีค่าอย่างล้นเหลือ มันขายได้ถึงสองตำลึงเงิน เรียกได้ว่าแทบจะเป็นค่าใช้จ่ายตลอดสองปีของเขาเลยด้วยซ้ำ
จี้เตี๋ยที่ได้รับเงินก้อนใหญ่ จึงเริ่มซื้อหาวัตถุดิบทำยาจากภายในร้าน รวมถึงซื้อข้าวและบะหมี่ที่อยากทานกลับไปบ้าน
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะซื้อรองเท้าปักเย็บน่ารักน่าชังคู่หนึ่งกลับไปให้ผิงผิง มันมีราคาราวสิบเหวิน*
*เหวินเป็นหน่วยเงินย่อย / 1 ตำลึงเงิน มีค่า 1,000 เหวิน*
“ออกมา”
ระหว่างทางกลับ จี้เตี๋ยเรียกหม้อทองแดงออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ถัดจากนั้นเขาจึงนำเอาโสมที่เพิ่งซื้อมาจากร้านยาใส่ลงหม้อก่อนจะจ้องมองตาไม่กะพริบ
วูบ! แสงสีเขียวสาดส่องสว่างออกมาจากตัวหม้อ
เหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้น โสมที่เดิมขนาดราวนิ้วมือเริ่มเติบโตจนใหญ่ราวแขนเด็ก
“มีเจ้านี่อยู่ด้วย เราคงไม่ต้องกังวลว่าจะหิวตายอีกต่อไปแล้ว!” จี้เตี๋ยเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีและคาดหวัง กระทั่งว่าอดไม่ได้จนต้องก้มลงจูบหม้อทองแดง
แต่แล้วขณะกำลังจะนำเอาวัตถุดิบทำยาอีกสองอย่างออกมาทดลอง ทันใดนี้เองที่ลำแสงสีแดงพาดผ่านท้องฟ้าจนร่วงหล่นลงสู่พื้นซึ่งไม่ได้อยู่ไกลห่าง
“อะไรตกลงมาจากฟ้า?”
จี้เตี๋ยชะงักและมองตาม พร้อมกับรู้สึกว่าเหมือนจะพบเห็นร่างคนที่ลุกไหม้ในกองเพลิง
คนร่วงหล่นลงมาจากฟ้าได้เช่นไร?
หรือจะเป็นผู้ฝึกตนเซียน?
หัวใจของจี้เตี๋ยเต้นรัวเร็ว ความสงสัยเริ่มท่วมท้นออกมาขณะขยับเท้าก้าวเดินเข้าไปสำรวจ
เพียงไม่ช้า ในระยะสายตามองเห็นของเขา พบว่าหลุมขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางราวหนึ่งจ้างที่ตรงหน้า
*จ้าง เป็นหน่วยวัดความยาว เทียบเท่าประมาณ 3.33 เมตร
แม้มองจากระยะไกลยังได้เห็นร่างที่นอนอยู่ภายในหลุม มันคือข้อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เห็นคือคนจริง ๆ!
“ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น คงไม่รอดแล้วมั้ง” จี้เตี๋ยหยุดมองขณะอยู่ห่างจากหลุมหลายจ้าง
จากตำแหน่งที่ยืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นสภาพภายในหลุม
ร่างที่พบเห็นเป็นชายชราคนหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นและเต็มไปด้วยคราบเลือด กระทั่งว่าใต้ร่างนั้นปรากฏแอ่งเลือดเจิ่งนอง ดวงตาหลับแน่น ทำให้ยากทราบได้ว่ายังมีชีวิตรอดอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
ตอนนี้เองที่เขาได้เห็นถุงผ้าแพรสีสดงดงามห้อยอยู่บริเวณเอวของอีกฝ่าย
“ในเมื่อน่าจะเป็นผู้ฝึกตนเซียน ก็คงมีเคล็ดวิชาฝึกฝนของเซียนบ้างกระมัง?” ใจของจี้เตี๋ยเต้นรัวเร็วและดัง สุดท้ายจึงรวบรวมความกล้าก่อนจะวางข้าวและบะหมี่ในมือลง
ถัดจากนั้นเขาจึงหากิ่งไม้ยาว ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ชายชราด้วยความระแวดระวัง
เขาเข้าไปใกล้จนกระทั่งห่างเพียงระยะสามก้าว และมันเป็นระยะที่ไม้สามารถยื่นไปถึงถุงใบน้อยได้แล้ว
จี้เตี๋ยยื่นไม้ออกไปด้วยความระแวดระวัง เขาคิดอยากเกี่ยวเอาถุงใบนั้นมาเพื่อดูว่าภายในมีอะไรอยู่
แต่แล้วเรื่องราวเกินคาดได้บังเกิด ชายชราที่เดิมนอนนิ่งไม่ไหวติงกับพื้นพลันขยับมือคว้ากิ่งไม้เอาไว้ สุดท้ายจึงออกแรงมหาศาลดึงหมายกระชากร่างของเขาเข้าไปหา
“แกล้งตายหรือ?”
จี้เตี๋ยหนาวเย็นเยือกถึงไขกระดูกสันหลัง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่บาดเจ็บปางตายตรงหน้าจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลถึงขนาดนี้ มันเกือบจะดึงเขาเข้าไปหาได้เลยด้วยซ้ำ
โชคดีที่เขาตอบสนองรวดเร็วและระมัดระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงปล่อยมือจากไม้พร้อมถอยเท้าเว้นระยะออกมาได้ทัน
แต่แม้แบบนั้นร่างเขาก็ยังต้องโชกด้วยเหงื่อกาฬ มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับเพิ่งผ่านปากทางเข้านรกมาอย่างไรอย่างนั้น
“สหายน้อย ข้าชื่อว่าจางเฟิง เป็นศิษย์สำนักเจ็ดลึกล้ำ ก่อนหน้านี้ถูกพวกวายร้ายตามไล่ล่าจนบาดเจ็บหนัก หนักขนาดว่าใกล้ตายแล้ว”
“ข้ามีวิชาฝึกฝนของเซียนติดตัวอยู่และมอบมันให้กับเจ้าได้ แต่ขอแค่เจ้าช่วยให้ร่างของข้ามีที่กลบฝังหน่อย” พบเห็นการลอบโจมตีล้มเหลว ชายชราในชุดดำจึงพูดเชื่องช้าออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
พบเห็นอีกฝ่ายคล้ายไม่อาจขยับเคลื่อนไหว ตอนนี้เองที่จี้เตี๋ยเริ่มผ่อนคลายความระวัง
“ก็ได้ วันพรุ่งนี้เช้าข้าจะมาใหม่และช่วยกลบฝังท่านให้”
เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเหตุให้จี้เตี๋ยระแวงชายชราตรงหน้า อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ขอเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย
เพราะหากว่าอีกฝ่ายมีเพียงแค่ข้อร้องขอเหล่านี้ ไฉนเลยจะต้องแกล้งตายเพื่อล่อหลอกเขาด้วย!
“สหายน้อย วิธีการฝึกฝนของเซียนนี้สอนได้โดยการบอกปากเปล่า หากข้าตาย เจ้าก็ไม่ได้รับสิ่งใด” ชายชราส่งเสียงตอบกลับ และเพียงได้ฟังก็ทราบว่ากำลังร้อนรน
‘เมื่อครู่บอกว่ามีอยู่กับตัว ตอนนี้บอกว่าสอนได้โดยการบอกเล่างั้นหรือ’ จี้เตี๋ยแค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ภายในใจ พร้อมคาดเดาไปว่าอีกฝ่ายคงกำลังเร่งร้อน และบางทีคงไม่มีทางรอดพ้นค่ำคืนนี้ไปได้
ดังนั้นเขาจึงเลือกอยู่ให้ห่าง รอคอยอีกฝ่ายกลับบ้านเก่าเมื่อไหร่ค่อยเข้าไปตรวจสอบก็ยังไม่สาย
ฟ้าเริ่มหม่นแสง ยามค่ำคืนมาเยือน เพราะเป็นช่วงปลายเดือนสิบเอ็ดจึงมีลมค่อนข้างหนาวเย็น
ตอนแรกนั้นชายชราก็ยังคงส่งเสียงดังให้ได้ยิน กระทั่งพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าไปใกล้ แต่สุดท้าย ไม่ทราบว่าเพราะยอมแพ้หรือว่าตายแล้วกันแน่ ปัจจุบันร่างนั้นไม่ได้ส่งเสียงใดออกมาอีก
จี้เตี๋ยยังคงความอดกลั้นเอาไว้ เขาไม่กล้าเสี่ยง ดังนั้นจึงรอคอยท่ามกลางสายลมเย็นเยือกโดยไม่หลับไม่นอน
ความเงียบสงัดยังคงดำเนิน ถนนเส้นนี้ไม่มีผู้คนสัญจร ต่อให้ผ่านไปสักสามหรือห้าวันก็ยังไม่มีแม้สักคนด้วยซ้ำ เวลาเช่นตอนนี้จึงยิ่งไม่มีคน
จนกระทั่งเกือบรุ่งสาง เขาจึงวางข้าวและบะหมี่ในมือลง ก่อนจะเริ่มเข้าไปใกล้ชายชราด้วยความระแวดระวัง
ภายใต้ดวงจันทร์และดวงดาว แสงจันทร์จากฟากฟ้ายังคงส่องสว่างจนมองเห็นผ่านความมืดได้ไม่ยาก
จี้เตี๋ยก้าวเท้าพลางหยุดอยู่หลายครั้ง สายตาของเขาสำรวจมอง ราวกำลังกังวลว่าชายชราจะตอบสนองอะไรออกมา
ใต้ร่างของอีกฝ่ายคือแอ่งเลือดที่แผ่กระจายออก ปัจจุบันมันเริ่มแข็งตัว ร่างกายของชายชรานิ่งไม่ไหวติง ดวงตาเบิกกว้าง คล้ายว่าจะตายแล้วจริง
จี้เตี๋ยไม่กล้าผ่อนคลายความระวัง เมื่อห่างเพียงระยะสองก้าวเท้า เขาจึงหาไม้แท่งใหม่เพื่อพยายามเกี่ยวคว้าถุงผ้าจากอีกฝ่ายมา
และครั้งนี้ชายชรายังไม่มีอาการตอบสนอง รวมถึงไม่แม้แต่จะกะพริบตา
จี้เตี๋ยผ่อนลมหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็ยืนยันได้แล้วว่าอีกฝ่ายตายจริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงโยนแท่งไม้ในมือและนั่งยองลงด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะคว้าเอาถุงผ้าของอีกฝ่ายมาตรวจสอบ
เพียงแต่ภายหลังพยายาม กลับได้พบว่าถุงนี้ไม่อาจเปิดออกได้ กระทั่งใช้ฟันกัดก็ไม่ขาดหรือเป็นรอย
“เหมือนว่าหม้อทองแดงนั่นจะต้องใช้เลือดเพื่อยอมรับความเป็นเจ้าของหรือเปล่านะ?” จี้เตี๋ยขมวดคิ้วขณะครุ่นคิด สุดท้ายจึงกัดปลายนิ้วตนเองเพื่อหยดเลือดลงบนถุงผ้า
วูบ! แสงสลัวส่องสว่างผ่านพื้นผิวของถุงผ้า คราบเลือดที่หยดลงไปหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ใช่จริงด้วย!” จี้เตี๋ยลอบนึกยินดี ขณะเดียวกันจิตสำนึกของเขาก็รับรู้ได้ถึงความเชื่อมโยงกับมิติที่มีขนาดราวครึ่งตัวคน
ภายในมีเสื้อผ้าหลากหลายชุด ตำราเล่มสีฟ้าคราม ป้ายสีดำ พืชพรรณอีกหลายชนิดที่คล้ายจะเป็นสมุนไพร รวมถึงก้อนหินสีขาวอีกนับสิบก้อน
“นี่คือของทั้งหมดในถุงงั้นหรือ? จะบอกว่ามันเป็นมิติเก็บของส่วนตัวของเซียนงั้นหรือนี่!” จี้เตี๋ยแสดงความตื่นเต้นยินดีออกมา เพราะเขาเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ว่าเซียนจะมีมิติเก็บของไว้ใช้ส่วนตัว และดูเหมือนถุงใบน้อยนี้จะเป็นของวิเศษดังกล่าว
เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าภายในมีวิชาฝึกฝนของเซียนอยู่หรือไม่!
ภายใต้ความรู้สึกกดดันและตื่นเต้น จี้เตี๋ยทราบดีว่าปัจจุบันไม่ใช่เวลามาตรวจสอบผลการเก็บเกี่ยว
ก่อนรุ่งสาง เขาหาแท่งไม้มาจัดการปักเป็นป้ายและขุดหลุมเอาไว้ข้างเคียง
“ไม่ว่าท่านเป็นใคร แต่ในเมื่อข้ารับของต่อมาจากท่าน ดังนั้นจึงไม่คิดปล่อยให้ตายอย่างไร้ที่กลบฝังในป่าเขาอย่างแน่นอน”
“โชคดีที่ดินแถบนี้ไม่ได้แข็งมากนัก” จี้เตี๋ยพึมพำกับตนเองขณะหลั่งเหงื่อโทรมกาย ขณะนี้แม้ถูกสายลมเย็นเยือกพัดผ่าน ก็ไม่ได้ทำให้เขาต้องตัวสั่นแต่อย่างใด
โชคดีที่ก่อนรุ่งสางมาถึง เขาก็ขุดหลุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเขาจึงลากร่างชายชราเข้าไปด้านในหลุม กลบฝังด้วยดิน กลับไปหยิบข้าวและบะหมี่ของตนเองมาและรีบเดินทางกลับหมู่บ้าน
ภายหลังผ่านพ้นหนึ่งคืนอันตึงเครียด รวมถึงใช้เรี่ยวแรงที่มีขุดหลุม จี้เตี๋ยแทบจะหมดแรงทำอะไรต่อ พอกลับถึงบ้าน เขาแทบไม่สนแล้วว่าร่างกายหิวโหยแค่ไหน เพราะเขาเลือกทิ้งร่างล้มลงนอนกับที่นอนแล้ว
จนกระทั่งช่วงกลางวัน จี้เตี๋ยจึงตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง
เพราะท้องร้องหิวประท้วง จี้เตี๋ยจึงหุงข้าวกิน ถัดจากนั้นจึงปิดประตูบ้านไปนั่งบนที่นอน พร้อมกับนำเอาถุงน้อยออกมามองด้วยท่าทีตื่นเต้น
“สงสัยจริงว่าในนี้จะมีวิชาฝึกฝนของเซียนอยู่หรือไม่!” จี้เตี๋ยใจเต้นรัวขณะครุ่นคิดว่าจะเอาของที่อยู่ด้านในออกมายังไง
เพียงในใจครุ่นคิดว่าต้องการอะไรจากภายใน มันก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาเอง
เพราะประสบการณ์จากหม้อทองแดงก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่ประหลาดใจ กระทั่งว่าเวลานี้ตื่นเต้นยินดีด้วยซ้ำ
และเพียงแค่คิด เขาจึงนำเอาก้อนหินสีขาว สมุนไพร และสมุดตำราที่อยู่ในมิติออกมา
จี้เตี๋ยไม่ทราบว่าสมุนไพรและก้อนหินเหล่านี้มีไว้ใช้ทำอะไร ดังนั้นเขาจึงพยายามตรวจสอบ แต่จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ออก สุดท้ายจึงต้องเก็บพวกมันไป
ความสนใจของเขาจึงหันเหไปยังสิ่งสุดท้าย
มันคือสมุดตำราเล่มบาง บางขนาดว่ามีกระดาษแค่สามแผ่น
เพียงเปิดออก จึงได้เห็นว่าหน้าแรกมีตัวอักษรเขียนเอาไว้
“คัมภีร์วิชากลั่นลมปราณมหาลึกล้ำ”