ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 จางเฟิง

ตอนที่ 1 หม้อทองแดง


ตอนที่ 1 หม้อทองแดง

“ผู้ดูแลจาง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้เป็นของไว้ใช้เพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิปีถัดไป จะเอาไปหมดไม่ได้!”

ภายในบ้านมุงจากหลังหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างผอมบางกำลังจับถุงเอาไว้แน่นไม่คิดปล่อย

“หยุดวาจาไร้สาระของเจ้า ในเมื่อเพาะปลูกในที่ดินตระกูลหยางก็ต้องจ่ายด้วยเมล็ดพันธุ์! ส่วนว่าฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงเจ้าจะมีหรือไม่มีเมล็ดพันธุ์นั้น มันไม่ใช่เรื่องของข้า!” ผู้ดูแลจางที่มีใบหน้าอ้วนกลมและดวงตาใหญ่ประหนึ่งระฆัง เท้าของร่างอันใหญ่โตพลันเตะเข้าที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม

อีกฝ่ายคือชายร่างใหญ่ ทั้งยังฝึกฝนวิทยายุทธ์มายาวนานหลายปี ดังนั้นลูกเตะนี้จึงแข็งแกร่ง ปากของเด็กหนุ่มปรากฏเลือดไหลนองขณะร่างล้มกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ

ผู้ดูแลจางเปรยสายตามองอย่างเย็นชา ถัดจากนั้นจึงคว้าเมล็ดพันธุ์ที่โต้เถียงกันเมื่อครู่ สุดท้ายจึงเดินฮัมเพลงจากไป

“ฮื้อ หื่อ ฮือ หื้อ ฮือ ลา ลั่น ล๊า~”

เด็กหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยสีหน้าท่าทีตื่นตระหนก ขณะที่ร่างกายยังคงสั่นเทา

ดวงตาของเขาแดงก่ำเพราะความโกรธ ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปยังก้อนหินที่หัวมุมหนึ่ง

ตึง

สายลมเย็นเยือกของเดือนสิบเอ็ดพัดผ่าน ประตูไม้ที่ทรุดโทรมแกว่งไกวสั่นไหว ตอนนี้เองที่ผู้ดูแลจางราวกับชะงักไปครู่หนึ่ง

ราวกับเวลาของเด็กหนุ่มหยุดนิ่งไปชั่วครู่ แต่ไม่นานเสียงฝีเท้าก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้งจนกระทั่งเสียงเริ่มไกลห่างออกไป

เด็กหนุ่มผู้ยังอยู่ภายในบ้านยังคงถือก้อนหินเอาไว้ สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าลงมือ

เพราะสภาวะขาดแคลนสารอาหารจึงเป็นเหตุให้ร่างกายของเขาผ่ายผอม ต่อให้ลงมือเขาก็ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่าย หรือหากทำขึ้นมาจริง เกรงว่าเขาจะเป็นฝ่ายถูกทุบตายอยู่ที่ตรงนี้

“พ่อ แม่ ข้าพยายามทำจนถึงที่สุดแล้ว” เด็กหนุ่มขยับริมฝีปากซีดเซียวเอื้อนเอ่ย สุดท้ายจึงคลานไปนั่งลงที่มุมห้อง

ชื่อของเขาคือจี้เตี๋ย ครอบครัวอยู่อาศัยที่หมู่บ้านเหวินเหอแห่งนี้มาหลายชั่วอายุคน ตลอดมามีอาชีพทำการเกษตร

ภายหลังตัวเขาถือกำเนิดได้ไม่นาน ผู้เป็นบิดาก็ล้มป่วยเพราะโรคร้ายและตายจาก เหลือไว้เพียงผู้เป็นมารดาที่เลี้ยงเดี่ยวจนกระทั่งเขาอายุได้ห้าขวบ

และด้วยวัยเพียงแค่ห้าขวบ มารดาได้จากเขาไปด้วยโรคไข้หวัด...

ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว...

ตระกูลคหบดีหยางผู้มั่งมีและอยู่ใกล้เคียง พบเห็นเด็กชายอยู่คนเดียวทั้งยังดูง่ายข่มเหง จึงฉวยโอกาสบีบบังคับกดราคาซื้อที่ดินผืนน้อยที่ครอบครัวของเด็กชายเหลือเอาไว้

ภายหลังจากนั้นจึงเรียกเก็บค่าเช่ารายปี

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นในทุกปี จนปัจจุบันสถานการณ์บีบบังคับจนเขาต้องนำเอาเมล็ดพันธุ์ที่มีมาจ่ายแทน

มันเป็นสถานการณ์ที่แทบไม่เหลือทางไป...

เขาพยายามแล้ว พยายามอย่างสุดตัว จนปัจจุบันก็ไม่ทราบแล้วว่าภายหน้าจะทำอย่างไรต่อ บางทีอาจต้องหิวโหยจนตายจาก เพราะในบ้านไม่เหลืออาหารอยู่อีกต่อไปแล้ว

แต่ยามนึกถึงมารดาที่เกาะกุมมือของตนเอาไว้แน่นก่อนตาย ทั้งยังพยายามกล่าวบอกให้เขามีชีวิตที่ดี จี้เตี๋ยจึงพยายามดิ้นรนลุกขึ้นอีกครั้ง

“แม่เคยพูดเอาไว้ ว่าขอเพียงยังมีชีวิตย่อมมีความหวัง จี้เตี๋ย จงมีชีวิตอยู่ต่อไป...”

เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าชีวิตที่อยู่ต่อเช่นนี้จะมีความหมายอะไร

บางทีอาจเป็นเพราะความคับแค้นที่ฝังลึกในใจต่อเหล่าคหบดีผู้มั่งมี จึงทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นได้!

เขาปรารถนาจะสังหารกลุ่มคนเหล่านั้นที่ข่มเหงกลั่นแกล้ง!

เพียงแต่ตระกูลหยางเพาะเลี้ยงผู้คนที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์เอาไว้มากมาย กระทั่งมีคนบอกเล่าว่าพวกเขามีความเกี่ยวพันกับผู้ฝึกตนเป็นเซียน สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีคนหนึ่งที่ผ่ายผอมเช่นเขา อย่างไรก็คงไม่อาจต่อกรได้

จี้เตี๋ยยกมือขึ้นมาปาดเช็ดคราบเลือดจากมุมปาก เพียงแต่มันกลายเป็นการทำให้ใบหน้ามีแต่คราบเลือดปกคลุมเสียแทน

ขณะเดียวกันเสียงท้องอันว่างเปล่าก็ร้องดังขึ้น

เขาหันสำรวจมอง พบว่าภายในบ้านของตนว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลือแม้แต่หนึ่งสิ่ง

เครื่องเรือนเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง และอื่น ๆ อีกหลากหลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกมันถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองจนหมดสิ้น สภาพปัจจุบันภายในบ้านจึงไม่เหลือสิ่งใด

ทันใดนี้เองที่มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านประตูบ้าน

“พี่จี้อยู่ไหม พาข้าไปจับปูได้หรือไม่?”

จี้เตี๋ยหันมองตามทิศทางต้นเสียง พบว่าเป็นเด็กหญิงอายุราวเจ็ดถึงแปดขวบผู้สวมใส่รองเท้าดอกหญ้า

เด็กหญิงมีชื่อว่าหลี่ผิงผิง เป็นผู้อยู่อาศัยภายในหมู่บ้านเดียวกัน

เพราะครั้งหนึ่งเคยเห็นว่าเขาจับปูตัวใหญ่ได้ เด็กหญิงจึงนับถือและติดตามเขาเรื่อยมา

ช่วงฤดูกาลว่างเว้นที่ไม่ได้ทำไร่ทำสวน จี้เตี๋ยมักจะพาเด็กหญิงไปจับปูในลำห้วยภายนอกหมู่บ้าน

เพียงแต่สิ่งที่เขาต้องกังวลในปัจจุบันคือจะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไร ด้วยเหตุนี้จึงไม่ว่างพอจะตอบรับคำขอของเด็กหญิง

“คงไม่ได้”

“อา...” ผิงผิงยืนตอบรับที่หน้าประตู สุดท้ายจึงหันกลับและวิ่งจากไปโดยไม่คิดรบกวนอีก

จี้เตี๋ยส่ายศีรษะเพื่อมองข้ามเรื่องราวนี้ สายตาของเขากำลังมองไปยังมุมหนึ่งในบ้าน

มันมีหม้อซึ่งคว่ำพลิกด้านเอาไว้พร้อมหูจับสองด้าน ขนาดของมันคล้ายจะประมาณหม้อทำอาหาร

มันคือสิ่งเดียวที่หลงเหลือในบ้านที่อาจพอแลกเป็นเงิน กล่าวกันว่ารุ่นปู่ทวดของจี้เตี๋ยขุดมันขึ้นมาจากผืนดิน

สภาพของมันดูค่อนข้างดำ บางทีอาจเป็นทองแดงและใช้เพื่อเก็บข้าวสาร เพียงแต่ปัจจุบันที่หิวแทบตาย จี้เตี๋ยไม่คิดสนใจอะไรอื่นอีกต่อไปแล้ว เขาก้าวเดินเข้าไปหามันเพื่อเตรียมนำหม้อนี้เข้าเมืองไปขายแลกเป็นเงิน

เรื่องราวเกินคาดคิดบังเกิดขึ้น เพียงคว้าจับหม้อขึ้นจากพื้นด้วยมือที่เปื้อนคราบเลือด หม้อที่เคยดำเมี่ยมพลันส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา

เพียงชั่วพริบตา คราบเลือดบนหม้อเลือนหายวับไปอย่างรวดเร็ว ถัดจากนั้นหม้อในมือพลันส่งลำแสงพุ่งทะยานเข้าหายังร่างของจี้เตี๋ย

มันคืออะไร หรือว่าตาฝาดไป?

จี้เตี๋ยสับสนและงุนงง กระทั่งว่าแทบขยี้ตาเพื่อมองให้ชัด ว่ามือของตนเองปัจจุบันว่างเปล่า หม้อสีดำที่เคยจับเมื่อครู่มันหายไปกับความว่างเปล่า

“หม้อล่ะ?”

ราวกับตอบรับคำเรียก หม้อทองแดงพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา

จี้เตี๋ยยิ่งสับสนและงงงัน ภาพฉากที่เห็นตรงหน้ามันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจ แต่อีกทางหนึ่งก็ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างจึงพึมพำออกมา

“เก็บ!”

เพียงสิ้นคำ หม้อทองแดงพลันหายวับไปจากมือ

“ออกมา!” จี้เตี๋ยตะโกนเรียกอีกครั้ง

และก็เป็นไปตามคาด หม้อทองแดงปรากฏขึ้นในมือของเขาอีกครั้ง

“ของวิเศษที่พวกเซียนใช้กันงั้นหรือนี่?”

พบเห็นของวิเศษเช่นนี้ จี้เตี๋ยพลันถือหม้อทองแดงเอาไว้ในมือแน่น บัดนี้เขาไม่คิดขายมันแลกเงินทองอีกต่อไป แต่เตรียมที่จะหาประโยชน์จากมันว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง

บางทีมันอาจทำให้เขาตั้งตัวได้!

และตอนนี้เองที่เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกตัวบ้าน

“พี่จี้ ข้ามอบให้นะ... ท่านเอาไปขายที่ร้านโอสถในเมืองได้ อย่างน้อยน่าจะพอได้เงินบ้าง แล้วก็นี่เป็นหมั่นโถวให้ท่านทาน...” เด็กหญิงที่เพิ่งหนีหายไปเมื่อครู่ เวลานี้กลับมาด้วยท่าทีเร่งร้อนพร้อมแบมือเล็กจ้อย

เด็กหญิงส่งโสมป่าและหมั่นโถวลงใส่หม้อทองแดงในมือของจี้เตี๋ย

จี้เตี๋ยชะงักไปชั่วครู่ สายตาทอดมองยังโสมและหมั่นโถวที่ยังแผ่ความร้อนออกมา ทันใดนี้เองที่เขาตอบคำกลับ

“ผิงผิง ข้ารับไว้ไม่ได้...”

แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค เด็กน้อยกลับฉีกยิ้มและวิ่งหนีหายไป

“พี่จี้ ในใจของผิงผิงน่ะนะ ท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครเลย ปูตัวใหญ่ขนาดนั้นท่านยังจับมาได้ ดังนั้นท่านจะต้องแข็งแกร่งและมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้นะ”

ยามได้ยินเสียงใสตอบกลับมา ดวงตาของจี้เตี๋ยพลันรื้นแฉะจนการมองเห็นพร่าเลือน

ทั้งพ่อและแม่ของเขาต่างก็จากไปตั้งแต่ยังวัยเด็ก ช่วงวัยเด็กจนถึงปัจจุบันจึงทำให้เขาได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์อันอบอุ่นและเย็นเยือกของมนุษย์ ทำให้เขาทราบว่าโลกใบนี้มันบิดเบี้ยวเช่นไร เพราะในยามที่เขาต้องการความช่วยเหลือ มันไม่เคยมาถึง

เพียงแต่ปัจจุบันที่เขากำลังเผชิญจุดตกต่ำที่สุดของชีวิต กลับมีคนหนึ่งที่ห่วงหาถึงตัวเขา มันเป็นความรู้สึกที่ยากบรรยาย...

ทันใดนี้เองที่แสงสว่างวาบสีเขียวสาดส่องออกจากหม้อทองแดงในมือ โสมที่เคยหนาราวขนาดนิ้วมือเมื่อครู่ ปัจจุบันมันขยายขนาดใหญ่ขึ้นไปอีกหลายเท่า

“มันเรื่องอะไรกันแน่? โสมเมื่อกี้... ทำไมมันใหญ่ขึ้นมาได้กัน...” ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นเหตุให้จี้เตี๋ยพูดจาตะกุกตะกักไปไม่เป็น

มูลค่าของโสมจะขึ้นอยู่กับอายุ ตามปกติแล้วยิ่งแก่ปีเท่าไหร่ ขนาดของโสมก็จะยิ่งใหญ่และมีมูลค่ามากขึ้น

เดิมโสมที่ขนาดราวนิ้วมือ มันแทบไม่มีค่าอะไรมากมาย หากขายก็คงได้ไม่กี่เหรียญทองแดง

เพียงแต่โสมที่เห็นกับตาตรงหน้า ขนาดของมันแทบจะเท่าแขนเด็กคนหนึ่ง เรียกได้ว่าใหญ่จนเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ถึงขนาดคาดเดาว่าต่อให้เป็นโสมที่เติบโตมาหลายสิบปีก็ไม่มีทางใหญ่เท่านี้! ดังนั้นราคาของมันจะต้องสูงล้ำมากแน่!

ขอแค่นำมันไปขาย อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหิวจนตาย!

เพียงแต่เพราะอะไรมันถึงใหญ่ขึ้น...

จี้เตี๋ยก้มลงมองยังหม้อทองแดงในอ้อมแขน ทันใดนี้เองที่เขาต้องเร่งร้อนปิดประตูบ้าน และเดินกลับเข้าไปเพื่อศึกษามัน

เขาเคยคิดว่าหม้อทองแดงนี้เป็นของวิเศษที่เซียนเคยใช้งาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันยิ่งทำให้เขามั่นใจ

เพราะโสมป่าที่เคยเล็กจ้อยกลับกลายเป็นใหญ่โต ทั้งหมดมันเกิดขึ้นในหม้อทองแดง!

“หรือว่าหม้อทองแดงนี่จะช่วยยกระดับและคุณภาพของสมุนไพรได้?”

คิดได้ดังนั้น จี้เตี๋ยจึงใส่โสมป่าลงหม้อทองแดงอีกครั้งหนึ่งและจ้องมองไม่วางตา ราวกับกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดใดไป

เพียงแต่จ้องมองจนกระทั่งตาแห้ง หม้อทองแดงก็ยังไม่ตอบสนอง

“หรือว่าของชิ้นหนึ่งรับการยกระดับได้หนึ่งครั้ง หรือว่าทั้งชีวิตของมันทำได้แค่ครั้งเดียว? หากว่าเป็นอย่างหลัง...”

จี้เตี๋ยกินหมั่นโถวที่ผิงผิงเพิ่งให้มาเพื่อประทังความหิว ขณะในใจก็กำลังครุ่นคิดและวางแผนเข้าเมืองเพื่อนำโสมป่าต้นนี้ไปขาย

ก่อนจะออกเดินทาง เขาแวะไปล้างหน้าเพื่อเอาคราบเลือดออก

เพียงแค่คิด หม้อทองแดงเลือนหายกลับเข้าไปในตัวเขา ถัดจากนั้นเขาจึงนำโสมป่าออกเดินทางจากหมู่บ้าน เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ไกลห่างออกไปหลายลี้

4.3 16 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด