บทที่ 145 หยางเสิน เรารักเจ้า
เนื่องจากเมื่อเช้า หยางเสี่ยวเทียนได้หลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เตรียมไว้ชุดหนึ่งจนไร้ซึ่งความกังวล และพอมีเวลากลับมาเยือนยังจัตุรัสร้อยกระบี่อีกครั้ง
ระหว่างที่เขากำลังเดินถึงจุดหมายนั้น โดยรอบจัตุรัสก็ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มเงาของอาจารย์และศิษย์ ผู้มาเฝ้ารอเขากันอย่างหนาแน่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ซึ่งทันทีที่พวกเขาเห็นหยางเสี่ยวเทียนมาถึง เสียงฮือฮาของผู้คนก็เริ่มดังขึ้น ต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“หยางเสินมาถึงแล้ว!”
หนึ่งในนั้นส่งเสียงดังลั่น ชวนให้ผู้คนโดยรอบต่างหันมองหยางเสี่ยวเทียนเป็นตาเดียว ด้วยจดจ่อรอเขากลับมา แม้ต้องแหกตาตื่นก่อนไก่โห่ก็ตามที
เสียงร้องเรียกขานนามเขาพลันดังขึ้น หยางเสิน! หยางเสิน! หยางเสิน!
ภาพความตื่นเต้นเบื้องหน้าช่างตระการตานัก พานให้หยางเสี่ยวเทียนถึงกับเหงื่อตก
เมื่อรับรู้ถึงความกระตือรือร้นของฝูงชนที่มาคอยให้กำลังใจ หยางเสี่ยวเทียนจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับขณะเผยแย้มยิ้มเจื่อนๆ ด้วยไม่รู้จะต้องปฏิบัติตนเช่นไร
“หยางเสิน เรารักเจ้า!” ศิษย์หญิงหลายคนของสำนักตะโกนลั่น ขณะน้ำเสียงที่ได้ยินดูใสลื่นหูน่าฟังยิ่ง
หยางเสี่ยวเทียนแอบลอบยิ้มลับๆ ด้วยความเคอะเขินกระทั่งหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่ทันไรก็พลันได้ยินอีกกลุ่มเสียงหนึ่ง ที่ทำเขาถึงกับขนตั้งชันไปทั้งตัว หุบยิ้มแทบไม่ทัน
“หยางเสิน เราก็รักเจ้าเหมือนกัน!” ศิษย์หนุ่มหลายคนในสำนักก็ตะโกนเช่นกัน แต่น้ำเสียงนั้นช่างห้าวหาญสมชายชาตรีโดยแท้
ด้วยน้ำเสียงนี้ หยางเสี่ยวเทียนกลับหูร้อนฉ่า รู้สึกขนลุกพิกล ทำเขาต้องเร่งฝีเท้าให้ถึงจุดหมายอย่างเร็ว
ไม่กี่ลมหายใจ เขาก็มาถึงหน้าศิลากระบี่เล่มที่ห้าสิบหก แล้วนั่งขัดสมาธิลงพร้อมปิดกั้นเสียงภายนอก ก่อนเริ่มจมสู่ห้วงพิภพแห่งศิลากระบี่
เฉกเช่นเดียวกับวานนี้ หยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้เพียงห้าเล่มก็จำต้องหยุดลง
เพราะวันนี้ เขามัวยุ่งอยู่กับการหลอมโอสถจนมาถึงช้า หลังเขาหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้เพียงห้าเล่ม ฟ้าก็มืดแล้ว
หยางเสี่ยวเทียนแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าที่มืดสนิท ก่อนคร่ำครวญอีกครั้งว่าตนนั้นมีเวลามิเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม หากวันใดเขาสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบหนึ่งร้อยเล่มเมื่อไร เขาคงจะเหลือเวลาเพิ่มมากขึ้นทีเดียว
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะมีเวลาหลอมโอสถ หลอมอาวุธ อ่านเคล็ดวิชา และศึกษาคัมภีร์ต่างๆ
หลังกลับถึงจวน หยางเสี่ยวเทียนก็หลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์อีกสองเม็ด ก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
ด้วยการหมั่นฝึกฝนอย่างหนักอยู่สม่ำเสมอ กระทั่งถึงทุกวันนี้ พลังยุทธ์ของเขาก็เพิ่มขึ้นจนทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ระดับหกขั้นกลางได้สำเร็จแล้ว
เวลานี้ของตลอดหลายวันที่ผ่านมา ก่อนที่เขาจะบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม เขาจะต้องกลืนธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์หนึ่งคำทุกครั้ง
หลังเปลี่ยนแปลงเส้นเอ็นและตัดต่อไขกระดูกอย่างต่อเนื่อง ด้วยธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ ความแข็งแกร่งทางกายและการป้องกันของหยางเสี่ยวเทียน ก็เหมือนจะทรงพลัง แม้แต่ความยืดหยุ่นทางร่างกายของเขาก็ทวีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
เมื่อเขาตื่นลืมตาจากการเข้าฌาน รุ่งขึ้น หยางเสี่ยวเทียนก็หลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์อีกชุดหนึ่ง ให้กับทาสอีกกลุ่มที่เขาเพิ่งให้คนซื้อมาวานนี้ กลืนมันเพื่อฝึกฝน
พอเสร็จสิ้นกิจวัตรในยามเช้า หยางเสี่ยวเทียนก้าวออกจากจวน มุ่งหน้าไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ พร้อมหยั่งรู้ศิลากระบี่เช่นเคย
ไม่กี่วันถัดมาเขาก็ปฏิบัติเช่นนี้ นั่งสมาธิหน้าศิลากระบี่ห้าเล่มทุกวัน
หยั่งรู้ศิลากระบี่จนสำเร็จทุกห้าเล่ม เขาก็จะกลับจวนเพื่อหลอมโอสถและบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
ผ่านไปไม่กี่วัน ที่สุดเขาก็หยั่งรู้ศิลากระบี่ได้แปดสิบเล่ม
เมื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่แปดสิบจนแตกฉาน ความกดดันในใจของหยางเสี่ยวเทียนก็ผ่อนคลายลงมาก
ซึ่งยังเหลือศิลากระบี่อีกยี่สิบเล่ม ที่เขายังต้องหยั่งรู้ให้สำเร็จ
แม้ศิลากระบี่จะเข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่จำนวนเล่มเพิ่มขึ้น แต่หยางเสี่ยวเทียนก็มั่นใจว่าเขาสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่อีกยี่สิบเล่มที่เหลือได้ภายในห้าวัน
อีกเพียงห้าวันเท่านั้น!
จากนี้อีกห้าวัน เขาจะกลายเป็นเจ้าตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน
รับสืบทอดสมบัติจากตำหนักกระบี่ และยังได้พิชิตเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ!
ไม่นานจากนั้นเขาก็กลับถึงจวนหลัก แต่เพียงไม่ถึงอึดใจอัตและอาลี่ก็มาหาหยางเสี่ยวเทียน เพื่ออธิบายปัญหาที่พบเจอ ทั้งสองเล่าว่า ขณะพวกเขากำลังทำการผสานจวนทั้งสองหลังเข้าด้วยกัน สมาคมผังเมืองได้ส่งคนมาแจ้งให้พักการรื้อถอนสิ่งต่างๆ
“ให้ยุติงั้นรึ?” หยางเสี่ยวเทียน รู้สึกประหลาดใจ “วิธีการของพวกเราผิดกฎสมาคมผังเมืองหรือไม่”
“วิธีการของพวกเรานั้นมิผิด” อัตกล่าว
เขากล่าวเสริมว่า “เพียงแต่ พวกเขาอ้างว่าการทุบกำแพงจวน จะสร้างความรำคาญให้กับผู้คนโดยรอบ ทั้งยังมีขยะสร้างความสกปรกตามท้องถนนอีก อย่างไรก็ตาม พวกเขายังอ้างเหตุผลอีกหลายประการเพื่อยุติการทำงานของพวกเรา”
ใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียนพลันมืดลงด้วยโทสะ
ความจริงเขารู้ดี เพราะมันแสดงให้เห็นชัดเจน ว่าคนเหล่านี้เพียงต้องการเงินไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาแค่หาวิธีคิดเอาเปรียบคนอย่างเขาเท่านั้น
“หากครั้งหน้าพวกเขามาอีก ก็มอบเงินให้พวกเขาหนึ่งร้อยเหรียญทอง” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว
อัตและอาลี่ก็คิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับหยางเสี่ยวเทียน เพียงไม่รู้จะปฏิบัติเช่นไรในตอนนี้นอกจากประนีประนอมให้พวกเขาไปก่อน
ต่อจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ให้ทั้งสองรวบรวมทาสทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วตรวจสอบระดับการฝึกฝนของพวกเขา
หลังได้รับโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เป็นตัวช่วยในการบ่มเพาะ ทาสทุกคนจึงสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้สำเร็จ
หากไม่รวมอัตและอาลี่พร้อมกลุ่มของเลี่ยวคุน ตอนนี้เขาจะมีทาสที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้ทั้งหมดเก้าสิบคนภายใต้การบัญชาของเขา