บทที่ 143 ผู้อาวุโสตำหนักกระบี่ทำตัวไร้ยางอาย
เกิดเสียงฮือฮาตื่นตระหนกภายในโถงหลักเจ้าเมือง เมื่อผู้คนต่างได้ยินว่าหยางเสี่ยวเทียนแสร้งตนเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมนักปรุงโอสถ
แม้ตอนนี้ หยางเสี่ยวเทียนจะเป็นถึงผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยนจริง แต่หากเขาใช้ชื่อเสียงตรงนี้ หลอกลวงเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมนักปรุงโอสถด้วย มันจะไม่เป็นการดูหมิ่นแลทำตัวน่าเกลียดเกินไปหรือ
เหล่าผู้คนในโถงหลักเริ่มซุบซิบนินทา บ้างก็ส่ายศรีษะขณะสายตาพลางจ้องมองหยางเสี่ยวเทียนด้วยระอาใจ เพราะคำพูดของเฉินจื่อหาน อย่างไรก็ดูน่าเชื่อถือกว่าเด็กจากตระกูลธรรมดาๆ เยี่ยงหยางเสี่ยวเทียนแน่นอนอยู่แล้ว
พอเห็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เติ้งอี้ชุนผู้รอโอกาสแก้แค้นกับวาจาที่หยางเสี่ยวเทียนทำเขาอับอายครู่นั้น ก็พลันแสยะยิ้มเย้ยทันที
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสของตำหนักกระบี่ แต่ใช้ตำแหน่งแสร้งตนเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมนักปรุงโอสถ ข้าไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสตำหนักกระบี่แห่งสำนักเสินเจี้ยน จะทำตัวไร้ยางอายเช่นนี้”
เติ้งอี้ชุนพยักหน้าหาแนวร่วมอย่างหลัวจวิ้นเผิงผู้นั่งข้างมาตลอด และคงจะรอคอยเวลานี้มิต่างกัน
“กล้าหลอกลวงเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมอย่างหน้ามิอายเช่นนี้ ทางหอสมาคมนักปรุงโอสถต้องเอาผิดเขาได้แน่” หลัวจวิ้นเผิงส่งสายตาหาเติ้งอี้ชุนด้วยความยินดี
หยางเสี่ยวเทียนยังคงมีสีหน้านิ่งเงียบ เพิกเฉยต่อน้ำเสียงสบประมาทน่ารำคาญของเติ้งอี้ชุนและหลัวจวิ้นเผิง ประหนึ่งทั้งคู่เป็นเพียงอากาศธาตุ ทำให้รู้สึกราวกับถูกดูหมิ่นจนหน้าชาด้วยอับอายเสียเอง
พวกเขาที่ได้เห็นท่าทีเช่นนั้น ถึงกับเผลอกัดฟันกรอดด้วยวาจาปรามาสเหล่านี้ มิอาจทำอะไรเจ้าเด็กน้อยเหลือขอนั่นให้บันดาลโทสะหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ได้เลย นอกจากนิ่งเฉย
ขณะทั้งคู่เอาแต่กำหมัดแน่นมิสบอารมณ์กับผลลัพธ์ตน หยางเสี่ยวเทียนกลับเริ่มที่จะสนใจเฉินจื่อหาน สตรีผู้เปิดประเด็นให้คนอื่นวิจารณ์เขาอย่างเสียหาย โดยฟังน้ำคำนั้นจากนาง พวกผู้ดีแต่มีปัญญาเพียงน้อยนิดเหล่านี้ ก็ต่างเชื่อได้สนิทใจ
เขาละสายตาจากจองสุรา แล้วเหลือบมองไปที่เฉินจื่อหานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แสร้งเป็นนักปรุงโอสถ ของสมาคมนักปรุงโอสถอย่างนั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเอ่ยทวนคำกล่าวหาของนาง
เฉินจื่อหานได้ยินสิ่งนี้ ก็พลันเยาะเย้ยทันที “อะไรกัน เจ้าจะไม่ยอมรับเช่นนั้นหรือ ว่ากว่าหนึ่งเดือนที่แล้ว ยังทางเข้าหอสมาคมนักปรุงโอสถของเรา”
“เจ้าบอกเองมิใช่หรือ ว่าหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็ผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมนักปรุงโอสถเราแล้ว!”
“แบบนี้ ไม่เรียกว่าเจ้าแสร้งตนเป็นนักปรุงโอสถ ของสมาคมเราเช่นนั้นหรือ!”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินสิ่งน่าเหลือเชื่อดังนี้ ก็ต่างหันมองหน้ากันด้วยคิดตำหนิ กับคำกล่าวโอ้อวดของหยางเสี่ยวเทียน ซึ่งเพียงรับฟังจากเฉินจื่อหานเท่านั้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของอาณาจักรมังกรศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอัจฉริยะคนใดสามารถผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถทั้งที่มีอายุเพียงแปดขวบ ไม่ต้องกล่าวถึงการทดสอบโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเลย
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ต่างมิมีผู้ใดเชื่อ
“เพราะทักษะการหลอมโอสถของเจ้ามันขยะ จึงมิสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งถ้วยชา” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
จากนั้นเขาจึงกล่าวขณะมีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ต่อ “เพียงเพราะเจ้าเป็นขยะ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเป็นขยะเหมือนเจ้า สิ่งที่เจ้ามิอาจทำได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำไม่ได้เช่นกัน”
“เจ้า!” เฉินจื่อหานอุทานพรางชี้หน้า ใบหน้างามของนางยามนี้ถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ไฉนเด็กเหลือขอคนนี้กลับกล้ากล่าวว่าทักษะการหลอมโอสถของนางเป็นเพียงขยะ
ในฐานะอัจฉริยะนักปรุงโอสถวัยเยาว์แห่งอาณาจักรเสินไห่ เมื่อนางได้ยินวาจาเช่นนี้ของหยางเสี่ยวเทียน ก็พานให้นางรู้สึกไม่พอใจเป็นที่สุด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เผิงจื้อกังก็รีบเปิดปากกล่าว เพื่อห้ามปรามทั้งสอง “คุณหนูเฉิน คุณชายหยางเพียงกล่าวออกไปโดยไม่ได้เจตนา คุณหนูอย่าได้ถือสา เนื่องจากวันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองวันเกิดข้า ขอให้เรื่องนี้จบลงเท่านี้เถิด!”
ขณะเฉินจื่อหานยังคงใช้สายตาข่มขู่หยางเสี่ยวเทียนไม่ลดละ ระหว่างนั้นก็มีคนส่งเฉิงเป้ยเป้ยนำตัวกลับไปรับการรักษา
กล่าวออกไปโดยไม่ได้เจตนางั้นหรือ
ครั้นได้ยินสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองกล่าว หยางเสี่ยวเทียนผู้มิเคยแสดงอากัปกิริยาใดๆ ก็รับรู้จากน้ำเสียงนั้นในทันที ว่าเผิงจื้อกังก็เป็นอีกผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องเขาผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้เช่นกัน เนื่องจากเขาเป็นเพียงเด็กแปดขวบ กล่าวไปก็ยากจะเชื่อ
เผิงจื้อกังพยายามร้องขอเฉินจื่อหานว่าควรจบเรื่องนี้และเชิญกลับไปนั่งที่ เพราะนางยังคงไม่ยอมลดละสายตา เอาแต่ยืนจ้องมองหยางเสี่ยวเทียนผู้นั่งนิ่งอย่างใจเย็นอยู่กับที่ด้วยความเกลียดชัง ก่อนสุดท้ายนางจะยอมถอยหันกลับไปยังที่ของตนเอง
แม้ที่สุด หยางเสี่ยวเทียนจะไม่ได้หลอกลวงใครว่าเป็นนักปรุงโอสถ แต่มันก็เป็นเรื่องยากจะโต้แย้งใดๆ ถึงต้องยอมปล่อยให้นางกล่าวหาแลให้ผู้อื่นติฉินนินทาเขาได้สำเร็จในเรื่องเหล่านี้
งานเลี้ยงกินเวลาสักพักแล้วก็จบลง
หลังเรื่องทั้งหมดเริ่มซาลง เผิงจื้อกังก็ได้เดินออกมาส่งหยางเสี่ยวเทียนเป็นการส่วนตัว ก่อนกล่าวอำลาอย่างสุภาพ เขาก็ยังไม่ลืมเชิญเด็กน้อยอัจฉริยะผู้นี้ให้มาเยี่ยมเยือนจวนเจ้าเมืองด้วยไมตรี
หากวันใดที่หยางเสี่ยวเทียนพอมีเวลา หรือมีคำถามใดๆ ใคร่สงสัยก็มาหาเขาได้ตลอด จะเพื่อนั่งสนทนาขณะจิบชาคลายเครียดก็ย่อมได้
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้ม ยกมือประสานหมัดขอบคุณในความเป็นมิตรอย่างจริงใจของเขา แล้วจากไปพร้อมกับเลี่ยวคุนและจางจิงหรง
ขณะเดินออกมาไม่ไกลนัก เขาก็ได้พบกับเติ้งอี้ชุนและหลัวจวิ้นเผิง
ซึ่งทันทีที่เติ้งอี้ชุนเห็นหยางเสี่ยวเทียนเดินผ่านมา เขาก็แสร้งเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเชิงถากถาง
“ข้าไม่คิดเลยว่าทักษะการหลอมโอสถของคุณชายหยางจะน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ เขาผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถได้ในเวลาหนึ่งถ้วยชา ซึ่งนับเป็นเรื่องไม่เคยมีมาก่อนหรือเคยเกิดขึ้นที่ไหนเลย น่าทึ่ง น่าทึ่ง”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเสียดสีของอีกฝ่าย หยางเสี่ยวเทียนจึงหยุดเดินแล้วหันกลับมาหาเขาพร้อมเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าเข้าร่วมแข่งขันหลอมโอสถด้วยหรือไม่”