ตอนที่ 135
ตอนที่ 135
“หยุนเซียวคือใคร?” ศิษย์คนหนึ่งถามอย่างสงสัยขณะมองดูชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองที่ถือดาบอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“แท้จริงแล้วเขามีนามว่า หลินอี้เฟย ส่วนหยุนเซียวที่แปลว่าเมฆบนท้องฟ้านั้นเป็นชื่อดาบของเขา เมื่อนานมาแล้ว เขาเป็นศิษย์ที่มีความสามารถมากที่สุดของนิกายเทพศักดิ์สิทธิ์” คนที่อยู่ข้างๆก็อธิบายว่า “ในเวลานั้น เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะกลายเป็นบุตรแห่งสวรรค์
น่าเสียดายที่ซวนหยวนกลับกำเนิดขึ้นมาและอยู่เหนือเหล่ารุ่นเยาว์ของนิกายเทพศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน และแม้แต่หยุนเซียวก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับเขา
ต่อจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็เอาแต่ปิดด่านฝึกตน และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จำเขาได้ ด้วยความโดดเด่นของซวนหยวนนั้นส่องประกายมากเกินไป ชื่อของเขาจึงค่อยๆถูกลืมเลือน "
บนเวทีการแข่งขัน หลินอี้เฟยค่อยๆดึงดาบหยุนเซียวออกมา ดาบของเขามีพลังราวกับพายุ และเสื้อคลุมของเขาก็โบกสะบัดอย่างรุนแรงทั้งๆที่ไม่มีลม เขาพูดช้าๆ: "ดาบของข้า ไร้ เทียม ทาน "
ทุกครั้งที่เขาพูดคำหนึ่ง ดาบในมือของเขาก็จะทรงพลังมากขึ้น
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแพ้ให้กับซวนหยวนไม่ใช่รึ?” เต๋าซุน ถามด้วยรอยยิ้ม
แรงกดดันจากหลินอี้เฟ้ยก็หยุดลงชั่วคราว เขาเหลือบมองเต๋าซุนเบาๆและพูดต่อ "ดาบของข้าเฉียบคมไร้ที่ติ ข้ายอมหักมากกว่ายอมงอ ไม่ยอมอ่อนข้อมากกว่าให้อภัย และไร้ซึ่งความกลัว"
“เจ้าก็ยังแพ้ให้กับซวนหยวนไม่ใช่รึ?” เต๋าซุนถามต่อไป
“แม้ว่าดาบของข้าจะพบเจอสิ่งกีดขวาง แต่ข้าก็ยังเชื่อมั่นในดาบของข้า ด้วยดาบในมือ ข้าย่อมสามารถเอาชนะอุปสรรคได้อย่างอาจหาญ ข้าจะก้าวเดินต่อไปจวบจนถึงอีกฝากของเส้นทางแห่งดาบและกลายเป็นเทพแห่งดาบ ”
“แต่เจ้าก็ยังแพ้ให้กับซวนหยวนอยู่ดี?”
“ไปลงนรกซะไอ่เวร !!” หลินอี้เฟยคำรามด้วยความโกรธ เส้นเลือดปูดขึ้นบนหน้าผากของเขา และเขาก็เริ่มลงมืออย่างเกรี้ยวกราด
เต๋าซุน ส่ายหัวและถอนหายใจ "น่าเสียดายที่เจ้ามีเพียงคำพูดเท่านั้น หัวใจของเจ้าสับสน และดาบของเจ้าก็ไม่มั่นคง"
เขาดึงทลายโลกาออกมาและฟันออกไป จากนั้นแม่น้ำสายยาวก็ตัดผ่านลงมาจากท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องสนั่นไปทั่ว ผสมกับเปลวไฟลุกโชนที่เต็มไปด้วยพลังแผดเผา และพายุลูกใหญ่ก็ส่งเสียงคำรามออกมาเมื่อมันปะทะเข้ากับสายน้ำ
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของหลินอี้เฟยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ดาบหยุนเซียวในมือของเขากระเด็นออกไปทันที และเขาก็ร่วงหล่นลงที่ข้างใต้เวทีประลอง
หลินอี้เฟยมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างว่างเปล่า เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ก้าวเดียว
“นี่คือดาบของเจ้ารึ ?” เสียงถอนหายใจอย่างผิดหวังดังมาจากด้านข้าง
หลินอี้เฟยรีบหันกลับไปและเห็นคังซงหลิน ผู้นำนิกายเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ข้างๆ
“เจ้ายังไม่อาจหลุดพ้นจากฝันร้ายที่ซวนหยวนสร้างให้เจ้าอีกรึ ?” คังซงหลินส่ายหัวและถอนหายใจ จากนั้นหันหลังเดินจากไป
หลินอี้เฟยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาหยิบดาบหยุนเซียวที่ตกอยู่ข้างๆขึ้นมาอย่างเงียบๆ และหันหลังเดินจากไป
เขาลืมไปแล้วหลายสิ่งหลายอย่าง เหตุผลที่เขาฝึกดาบคืออะไร? และเส้นทางแห่งดาบของเขาคืออะไร ?
เขาจำได้เพียงว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเด็กหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในนิกาย ซึ่งเป็นผู้ที่คู่ควรกับตำแหน่งบุตรแห่งสวรรค์มากที่สุด
จนกระทั่งต่อมา ชายหนุ่มชื่อซวนหยวนได้ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า ชายหนุ่มคนนั้นได้ทำลายความฝันของเขาทั้งหมด และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่อาจรุ่งโรจน์ได้ดั่งในอดีตอีกเลย
“ศิษย์น้องเต๋าแข็งแกร่งเพียงนั้นเชียวรึ ? ดาบหยุนเซียวคนนั้นถึงกับพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย ” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวด้วยความไม่เชื่อ
“ก็เกินคาดอยู่ แต่สภาวะของหลินอี้เฟยในวันนี้เองก็ดูผิดแปลกไปเล็กน้อยเช่นกัน ” ศิษย์บางคนก็กล่าวด้วยความสับสน
เต๋าซุนก้าวลงจากสังเวียนและพบว่าการแข่งขันของบุตรแห่งสวรรค์ของแต่ละนิกายนั้นเป็นการลงมือฝ่ายเดียวจริงๆ
สำหรับศิษย์คนอื่นๆ พวกเขาเป็นได้เพียงคนโง่เขลาและอ่อนแอเท่านั้น
เมื่อการประลองถูกคัดเหลือ 15 คน ทุกคนก็เริ่มจับฉลากรอบต่อไป
เต๋าซุน มองไปยังแผ่นเลขในมือและตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้หมายเลข 8 ซึ่งก็คือหมายเลขโชคดีที่ผ่านเข้ารอบต่อไปได้เลย
เขามองไปยังทิศทางของผู้อาวุโสสาม และเห็นว่าผู้อาวุโสสามมีสีหน้าปกติ ราวกับไม่รู้เรื่องอะไร
เต๋าซุนเองก็ไม่เชื่อว่าจะไม่มีการโกงในการจับฉลาก
คงจะสนุกดีถ้าบุตรแห่งสวรรค์ของทั้งสองนิกายถูกจับมาเจอกันในรอบนี้
ท้ายที่สุดแล้วงานประลองนี้ก็เป็นนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จัดขึ้น
ด้วยความโชคดีของเขา….มั้ง เต๋าซุนก็ทำเพียงยืนอยู่ในกลุ่มผู้ชมและมองดูคนอื่นๆประลองกัน
สิ่งที่ เต๋าซุน สนใจคือเซียนหลิงเอ๋อจากนิกายวิญญาณอมตะ นางสวมชุดสีขาวและถือดาบสีเขียวอ่อน
ตลอดมานางไม่ได้ใช้วิชาที่ทรงพลังแม้แต่น้อย เพียงใช้ทักษะดาบขั้นพื้นฐานสองสามอย่างเท่านั้น แต่มันก็ราวกับว่านางได้ฝึกฝนวิชานั้นมาแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปี จนทำให้การใช้พวกมันออกมาดูเป็นธรรมชาติและเป็นหนึ่งเดียวกับนางเป็นอย่างยิ่ง
เงาดาบที่ผนึกแน่นทำให้เกิดเป็นลวดลายดาบหลายชั้นในอากาศ และคู่ต่อสู้ของนางก็ถูกส่งลงจากเวทีประลองโดยตรง
การแข่งขันในรอบนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และหลายเวทีก็ได้ผู้ชนะ
และผู้ที่เขารอบต่อไปก็ได้แก่ เต๋าซุน เซียนหลิงเอ๋อ คังไป๋หลี่ เย่เฉิน เทียนโม่จื้อ และซวนหยวน
เหลือเวทีประลองที่ยังไม่ได้ผู้ชนะอีกเพียงสองแห่งเท่านั้น หนึ่งในนั้นไม่น่าสนใจ และการต่อสู้ของพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งพอกัน
แต่สิ่งที่ทุกคนสนใจก็คืออีกเวทีหนึ่ง ทั้งสองคนที่อยู่บนเวทีนั้นเป็นฝาแฝดกันและพวกเขาก็หน้าตาเหมือนกันทุกประการ
สองคนนี้ คนหนึ่งชื่อ เจียงหยู และอีกคนชื่อ เจียงเหิง พวกเขาทั้งสองแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มศิษย์จากนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ตำแหน่งบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์รุ่นนี้ก็ย่อมเป็นของทั้งสองคนนี้
สองพี่น้องกำลังต่อสู้กัน และศิษย์บางคนข้างล่างก็เริ่มพูดคุยกัน
“ข้าคิดว่าศิษย์พี่เจียงทั้งสองจะผ่านเข้าสู่รอบแปดคนได้เสียอีก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาต้องมาพบกันเร็วเช่นนี้ ” ศิษย์จากนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ก็กล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“ยังไงก็ตาม ข้าสนับสนุนศิษย์พี่เจียงหยู ” ศิษย์ที่อยู่ข้างๆก็ตอบ
“ก็แล้วแต่เจ้า ทั้งสองต่างก็ต่อสู้กันมานานกว่าสิบปีแล้ว และศิษย์พี่เจียงเหิงก็มักเป็นฝ่ายชนะเสมอมา ”
เมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างศิษย์ทั้งสอง ศิษย์จากนิกายอื่นๆก็เริ่มสงสัยและถามเรื่องราว
“เรื่องราวของทั้งสองนั้นช่างน่าเศร้า เจียงหยูเป็นพี่ชาย และเจียงเหิงเป็นน้องชาย
ว่ากันว่าเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ทั้งสองเคยช่วยเหลือชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
น่าเสียดายที่ชายที่แข็งแกร่งคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป และโอสถของพวกเขาทั้งสองก็ไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บของชายที่แข็งแกร่งได้เลย
ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ชายผู้แข็งแกร่งได้ถ่ายทอดวิชาของเขาให้กับคนทั้งสอง เขาได้มอบวิชาสุดยอดทั้งสองแขนงให้กับพวกเขาทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน
อันหนึ่งเป็นวิชาที่มีพลังโจมตีสูงสุด ส่วนอีกอันเป็นวิชาป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด เขาได้ถามเด็กหนุ่มทั้งสองว่าใครต้องการฝึกวิชาใด
ตอนนั้นเจียงหยูได้เลือกวิชาป้องกัน ส่วนเจียงเหิงนั้นเลือกวิชาโจมตี "
เรื่องนี้ฟังดูเหมือนกับเรื่องของหอกที่แหลมคมที่สุด กับ โล่ที่แข็งแกร่งที่สุด ชายคนหนึ่งบอกว่าหอกของเขาคมมากจนแทงทะลุทุกสิ่งในโลกได้
ส่วนอีกคนก็บอกว่าโล่ของเขาแข็งแกร่งที่สุด มันสามารถต้านทานการโจมตีทุกอย่างในโลกได้
จากนั้นก็มีคนถามเขา แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากโล่นี้ถูกโจมตีด้วยหอก ?
และคำตอบนี้ก็ถูกหยอกล้อกันระหว่างสองพี่น้องเสมอมา และพวกเขาก็แข่งขันกันตลอดสิบปีหลังจากได้สืบทอดวิชา พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าวิชาที่ตนเลือกนั้นแข็งแกร่งกว่า
แต่ในการต่อสู้มากกว่าสิบปี การโจมตีของเจียงเหิงกลับไม่เคยทำลายการป้องกันของเจียงหยูได้เลย และเขาก็พ่ายแพ้เสมอมาโดยตลอด
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นฝาแฝดและมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่ร่างกายของพวกเขาค่อนข้างแตกต่างกัน
เจียงเหิงดูผอมเล็กน้อย ในขณะที่กล้ามเนื้อของเจียงหยูนั้นนูนสูงจนทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึง
“พี่ชาย ยอมแพ้เถอะ ข้าไม่ใช่เหมือนเช่นเคยอีกแล้ว” เจียงเหิงยกหมัดขึ้น และออร่าสีทองบนหมัดของเขาก็กลายเป็นกระแสพลังกระจายไปทั่วรอบๆ
“น้องชายผู้โง่เขลาของข้า เจ้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ ” เจียงหยูหัวเราะเบา ๆ “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เจ้าเองก็ไม่เคยเอาชนะข้าได้เลยสักครั้งหนึ่ง”