ตอนที่ 130
ตอนที่ 130
จากนั้นทุกคนก็เริ่มดูดซับเลือดสะอาดที่อยู่ในทะเลเลือด กระบวนการนี้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก หากมีข้อผิดพลาด อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รักษาได้ยากหรือถึงแก่ชีวิตได้
แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ยังมีผู้อาวุโสระดับ 7 คอยปกป้องอยู่
…………
ภายในแท่นบูชา เต๋าซุนก็กระซิบกับ เหรินปิงเซิง: "ถึงเวลาแล้วใช้ขวานกลืนตะวันโจมตีไปที่แท่นบูชาด้วยพลังทั้งหมดที่มีซะ ขัดขวางแสงชำระล้างนั่น หลังจากนั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของข้าเอง "
เหรินปิงเซิงพยักหน้า เขามั่นใจว่าเต๋าซุนอาจกำลังทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่
“จำไว้ว่าเจ้าต้องโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มี และเจ้าก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว ” เต๋าซุนเตือนอย่างไม่สบายใจ: “การโจมตีธรรมดาไม่อาจทำอะไรกับแท่นบูชาได้ ”
ในขณะที่ทุกคนถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และเริ่มดูดซับเลือดโลหิต
เหรินปิงเซิงก็หายใจเข้าลึก แล้วหยิบขวานกลืนตะวันออกมา
ในตอนนี้ อากาศสีดำก็ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา และเขาได้ปลุกวิญญาณอาวุธจักรพรรดิแท้จริงออกมาอีกครั้ง
พลังของจักรพรรดิและพลังแห่งโชคชะตาก็ไหลทะลักออกมา และพื้นที่รอบตัวเขาก็พังทลายลงด้วยแรงกดดันนี้
มีหมอกดำคำรามอยู่บนขวานยักษ์เป็นรูปใบหน้าบิดเบี้ยว จากนั้นมันก็ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าและฟันไปทางแท่นบูชาด้วยพลังทั้งหมด
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งในขณะนี้ และเหรินปิงเซิงก็ไม่เคยรู้สึกจดจ่อกับสิ่งใดมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
นับตั้งแต่วันที่เขาเกิด ตระกูลเหรินก็ได้ล่มสลายลงแล้ว สิ่งที่พวกเขายังเหลือในฐานะลูกหลานจักรพรรดินั้นหาใช่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นความรับผิดชอบ
แต่วันนี้
เขากำลังชูขวานขึ้น
และกำลังทำบางอย่างที่ทำให้นิกายชั้นหนึ่งสั่นสะเทือน
เขาจะเผชิญกับสายตาที่ตื่นตระหนกของผู้คนเกือบหมื่นคน โดยไม่สนว่าคนเหล่านั้นมีสายเลือดหรือระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งเพียงใด
เขาจะส่องแสงเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ที่แผดเผา
เขาฟันขวานลงมา
เมื่อขวานยักษ์สะบั้นลง ท้องฟ้าก็คำราม กลายเป็นมืดมน และใบหน้าที่น่ากลัวของหมอกสีดำก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
เพียงเสียงระเบิดดังกระแทกหูของทุกคน ท้องฟ้าก็แยกออก
ขวานยักษ์ฟาดอย่างแรงลงบนแท่นบูชา แต่แท่นบูชานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่ขวานยักษ์ก็ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้บนมันได้
แต่แสงศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ที่ส่องลงมาจากแท่นบูชาก็ถูกขัดจังหวะ
เมื่อเหรินปิงเซิงฟันขวานออกไป ผู้อาวุโสระดับ 7 ที่อยู่ด้านข้างก็สังเกตเห็น
“ซูจื่อ , เอ้อต้า” ผู้อาวุโสคำรามด้วยความโกรธ พลังวิญญาณพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า และมือใหญ่คู่หนึ่งก็ตบไปที่เหรินปิงเซิงโดยตรง
มือใหญ่ทำลายทุกสิ่งแม้กระทั่งความว่างเปล่า แต่ทว่าร่างกายของเหรินปิงเซิงตอนนี้เต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายอันมืดมน ตราบเท่าที่ขวานกลืนตะวันยังอยู่ในมือ เขาก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัวได้
ขวานฟาดไปที่มือใหญ่ และในตอนนี้ก็ราวกับว่ามันกำลังต่อต้านฟ้าดิน
ด้วยการตบฝ่ามือเพียงครั้งเดียว เหรินปิงเซิงก็ถูกส่งออกไปจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด
เมื่อเห็น เหรินปิงเซิง ยืนขึ้นและต้องการโจมตีแท่นบูชาอีกครั้ง ผู้อาวุโสระดับ 7 ก็พ่นล่มหายใจออกมาอย่างเย็นชาและเดินขึ้นมาในอากาศโดยตรง เขาโบกมือเบาๆและกักขังเหรินปิงเซิงไว้ด้วยพลังของเขา
ในตอนนี้เอง ขณะที่ทุกคนในสระเลือดอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของการเปลี่ยนถ่ายเลือด เต๋าซุนก็ลอยออกมาจากภายในแท่นบูชาและหยดเลือดลงในสระโลหิต
เลือดหยดนี้เป็นแก่นโลหิตชั่วร้ายที่เขาแยกออกมาจากโลหิตสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าก่อนหน้านี้ โลหิตชั่วร้ายนี้เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า กล่าวได้ว่ามันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายที่ยากจะหยั่งถึง
โดยปราศจากแสงอันบริสุทธิ์จากแท่นบูชา โลหิตชั่วร้ายก็หยดลงจากมือของเต๋าซุน และละลายลงสู่สระเลือด
เหตุผลที่ เต๋าซุน บอกให้เหรินปิงเซิงหยุดแสงชำระล้างของแท่นบูชานั้นก็เพราะว่าเขาต้องการทำให้สระเลือดแห่งนี้ปนเปื้อน หากไม่หยุดแสงชำระล้างไว้ การกระทำนี้ก็จะไม่เกิดผลใด
การเปลี่ยนถ่ายโลหิตของทุกคนนั้นได้อยู่ในช่วงเวลาสำคัญแล้ว ตอนนี้พวกเขาทำเพียงทุ่มเททั้งกายและใจให้กับขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายโดยไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกแม้แต่น้อย
เมื่อสระเลือดผสมเข้ากับโลหิตชั่วร้าย เลือดที่ปนเปื้อนในสระก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของพวกเขานับหมื่นคน ศิษย์บางคนที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำก็ถึงกลับเริ่มกรีดร้องออกมา
ในความเป็นจริง หลังจากที่เลือดชั่วร้ายกระจายออกไป เลือดในสระก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ด้วยลัษณะที่พิเศษของผู้คนจากนิกายหมื่นอสูร เพียงแค่เลือดชั่วร้ายหยดเดียว มันก็สามารถทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสได้
ในตอนนี้ เสียงกรีดร้องของผู้คนนับหมื่นก็ดังไปทั่วสระเลือดผู้อาวุโสระดับ 7 และหัวหน้านิกายหมื่นอสูรที่อยู่ด้านหน้าก็มีสีหน้ามืดมน และพวกเขาก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป
ผู้อาวุโสระดับ 7 ที่เพิ่งลงมือกับเหรินปิงเซิงไปก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาคำรามออกมาอย่างรุนแรง และพุ่งตรงไปที่เต๋าซุนด้วยแรงกดดันมหาศาลราวกับว่าจะฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้นๆ
เต๋าซุน บดขยี้จี้หยกที่พ่อของเขามอบให้อย่างรวดเร็ว
จากนั้นพลังจิตวิญญาณระหว่างโลกและสวรรค์ก็ม้วนตัวขึ้นเหมือนกับเมฆ และเงาสีน้ำเงินก็ปรากฏตรงหน้าเต๋าซุน
ทันทีที่เงาสีน้ำเงินนี้ปรากฏขึ้น พลังดาบนับพันก็รายล้อมรอบเขาไว้
เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินและดวงตาของเขาไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใดเลย เขามองเห็นได้เพียงเงาสีน้ำเงินชี้นิ้วออกมาเท่านั้น และพลังดาบทั้งหมดก็บินไปยังผู้อาวุโสระดับ 7
ผู้อาวุโสทุบพลังดาบนับไม่ถ้วนด้วยฝ่ามือเดียว แต่พลังดาบก็ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่สามารถหลบได้ และฝ่ามือของเขาก็ถูกพลังดาบสร้างบาดแผล
ผู้อาวุโสจ้องไปที่เงาสีน้ำเงินตรงหน้าเขา และเขาก็รู้ได้ทันทีว่านั้นคือจิตวิญญาณของยอดฝีมือระดับ 7
แต่แม้ว่าจิตวิญญาณนี้จะมีเพียงพลังครึ่งก้าวสู่ระดับ 7 มันกลับสามารถต่อกรกับเขาได้แล้ว ดังนั้นเขานึกไม่ออกเลยว่าหากกายหยาบของอีกฝ่ายมาด้วยตัวเอง มันจะทรงพลังเพียงใด
แม้ว่าวิญญาณนี้จะเป็นส่วนที่แยกออกจากเต๋าเสี่ยวโม่ แต่มันก็หาได้มีจิตสำนึกของเจ้าตัวไม่ แท้จริงแล้วมันถูกควบคุมโดยเต๋าซุนทั้งหมด
เหล่าศิษย์ในสระเลือดเริ่มกรีดร้องอย่างน่าสมเพชมากขึ้นเรื่อย ๆ และผู้อาวุโสระดับ 7 ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น เขาอยากจะจัดการพวกเต๋าซุนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้แท่นบูชากลับมาทำงานปกติอีกครั้ง
“วิ่ง” เต๋าซุน ปล่อยให้เงาสีน้ำเงินรั้งเหล่าผู้อาวุโสไว้และตะโกนบอก เหรินปิงเซิง ที่อยู่ด้านบน
เหรินปิงเซิงสูดหายใจเข้าลึกโดยมีเงาปีศาจปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาทำลายผนึกที่อยู่รอบตัวด้วยขวาน จากนั้นก็พุ่งออกไปนอกอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์
“การสร้างเรื่องและวิ่งหนีเช่นนี้ ทำให้ข้าสนุกจริงๆ ” เหรินปิงเซิงคิดในใจอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็น เต๋าซุน และทั้งสองพุ่งออกไปในอากาศ พวกเขาก็กำลังจะตามไป แต่ก็ถูกวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าขวางทางไว้
ผู้อาวุโสระดับ 7 ไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป พลังโชคชะตาแก่นชีวิตของเขาปรากฏขึ้น และเงาของสัตว์อสูรโบราณมังกรเขียวก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวของเขา
มังกรเขียวคำรามและพลังของสัตว์อสูรปกคลุมไปทั่วทุกที่ ผู้อาวุโสระดับ 7 ต้องการจะทำลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง
หลังจากต่อสู้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สามารถทำลายวิญญาณได้ จากนั้นจึงเปิดใช้งานแท่นบูชาขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
……………
เต๋าซุน และ เหรินปิงเซิง พุ่งอยู่ในอากาศ ออกมาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์จิงหยู และเมืองอสูร
ตอนนี้ ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่านิกายหมื่นอสูรที่มีชื่อเสียงไปทั่วแดนตะวันตกไกลกำลังเผชิญหน้าอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นตายอยู่ในขณะนี้
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของนิกายหมื่นอสูร มันยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขาจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของนิกายชนชั้นหนึ่งไว้ได้อีกหรือไม่ แต่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายย่อมไม่อาจสร้างปัญหาให้เขาได้อีกแล้ว
เต๋าซุน และ เหรินปิงเซิงไม่ได้หยุดเดินทางแต่อย่างใด พวกเขายังคงมุ่งหน้าไปยังนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
งานประลองระหว่างเจ็ดนิกายกำลังจะมาถึงแล้ว แต่คราวนี้เต๋าซุนก็ไม่รู้เหมือนกันว่านิกายหมื่นอสูรจะยังเข้าร่วมด้วยหรือไม่