ตอนที่ 115
ตอนที่ 115
เมื่อดาบระเบิดขึ้นต่อหน้าเขา จงหวินก็ยกดาบขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพื่อเผชิญหน้ากับการโจมตี
จากนั้นพลังก็ระเบิดขึ้นในความว่างเปล่าและกระจายออกมาจากดาบ ทำให้จงหวินถูกกระแทกออกไป
“เป็นไปได้ยังไง?” เขารู้สึกสะเทือนใจ พลังของดาบเล่มนี้เขาไม่อาจต้านทานได้
และมันยังส่งเขาปลิวมาทางที่สัตว์อสูรยักษ์อยู่อีกด้วย
สัตว์อสูรต่อยลงมาที่จงหวิน เขาที่ไม่มีเวลาตอบสนองได้ทันก็ถูกชกกระแทกเข้ากับพื้นโดยตรง
เขากระอักเลือดออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของสัตว์อสูรตัวนี้แทบจะไม่ถึงระดับ 6 และมีจิตสำนึกที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก
แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ และพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของมันก็สามารถกำหราบได้ทุกสิ่ง
พลังศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนคลื่นยักษ์สึนามิที่ซัดคลื่นขนาดใหญ่หลายพันลูกมารวมกัน หากตรงหน้านี้เป็นสัตว์อสูร พวกมันคงไม่อาจขยับตัวได้แม้แต่น้อย
โชคดีที่จงหวินนั้นเป็นมนุษย์ และแม้ว่าสายเลือดของเขาจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่พลังนี้ก็เพียงทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลงเล็กน้อยเท่านั้น
พลังของสัตว์อสูรตัวนี้เป็นเหมือนกับแรงโน้มถ่วง จงหวินไม่อาจต่อต้านมันได้ และที่สำคัญ เต๋าซุนยังคงจับตาดูเขาอยู่จากระยะไกล
ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กดดันอยู่ จงหวินรู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสหนีพ้นอย่างแน่นอนหากไม่กำจัดสัตว์อสูรตนนี้ก่อน
เขาพยายามหลีกเลี่ยงการโจมตีของสัตว์อสูร และทำจิตใจให้สงบลง ก่อนจะค่อยๆ ยกดาบในมือขึ้น
ในตอนนี้เอง เขาก็หลับตาแน่น และแสงสีทองไม่มีสิ้นสุดก็ส่องออกมาจากดาบยาวของเขา
ดาบยาวนั้นเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่แผดจ้าเข้าครอบงำ มันส่องสว่างออกมาจากดาบ
…………
ทุกคนต่างก็มีตำนานที่ตนเคารพนับถือ และผู้คนก็มักจะยกย่องวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในโลก
เรื่องราวของพวกเขาได้รับการสืบทอดมานับพันปีและมีการบันทึกไว้หลายร้อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ ไม่ใช่แค่วีรบุรุษเท่านั้นที่มีตำนานและเรื่องราว
ผู้คนมากมายที่ไม่โด่งดังเองก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของตน
ไม่ว่าจะทั้งเจ้า หรือข้าก็ตาม
บางทีอาจจะทุกคนด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ไม่ว่าจะเกิดมาสูงหรือต่ำ ทุกคนล้วนแต่มีเรื่องราวของตนเอง
จงหวิน ชายที่อยู่อันดับ 48 ในรายชื่อผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกาย เขาเป็นที่รู้จักในนาม "นักดาบประกายแสง"
จงหวินนั้นตาบอดตั้งแต่เกิด
เขาไม่สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ และเนื่องจากนิสัยพิเศษของเขา จึงไม่มีใครอยากผูกมิตรกับเขา
ทุกสิ่งที่เขารู้นั้นล้วนแต่มาจากคำบอกเล่าของผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และเมฆเป็นสีขาว
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังบอกเขาว่า ตัวเขานั้นหน้าตาดีเป็นอย่างมากและมีใบหน้าที่เข้ารูปชัดเจน แต่ก็มีรอยยิ้มที่ดูงี่เง่าเล็กน้อย
ต่อมาหญิงสาวที่เล่าเรื่องให้เขาฟังก็จากไปและได้ยินว่านางนั้นถูกงูพิษกัดขณะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาสมุนไพร
ในเวลานั้น เขารู้สึกโหยหาแสงสว่างและอยากมองดูโลก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายชราคนหนึ่งก็มาที่เมืองที่เขาอาศัยอยู่
วันนั้น เขาก็ได้สัมผัสกับโลกใบใหม่ที่ไม่อาจคาดเดาได้จากปากของชายชรา และได้รู้จักคำว่า "การบ่มเพาะ" คำนี้ได้ปรากฏขึ้นในใจของเขาครั้งแรกตั้งแต่ตอนนั้น
……………
“ข้าได้ยินมาจากคนในเมืองว่าท่านมีพลังเหนือธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังสามารถสังหารเสือขาวได้ในนิ้วเดียว ท่านคือผู้เป็นอมตะใช่หรือไม่”
ชายชรามองเขาแล้วยิ้ม โบกมือต่อหน้าต่อตาสองสามครั้งแล้วถามว่า "เจ้ามองไม่เห็นใช่หรือไม่"
“ใช่ ท่านช่วยข้าได้หรือไม่”
“จำไว้เด็กน้อย ไม่มีใครในโลกนี้สามารถช่วยเจ้าโดยปราศจากสิ่งตอบแทน หรือบางครั้งแม้แต่กับพ่อหรือแม่ของเจ้าเองก็ตาม
สิ่งเดียวที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้ก็คือตัวเจ้าเอง "
“แล้วข้าควรทำอย่างไร?”
“ในความคิดของข้า จริงๆแล้วทุกคนมีดวงตาแท้จริงอยู่สองคู่ หนึ่งดวงตาที่หัวใจหนึ่งคู่ และอีกหนึ่งคู่คือดวงตาที่ใช้มองเห็น
ดวงตาที่มองเห็นช่วยให้เจ้าเข้าใจโลกและเห็นเปลือกนอกของโลก
ส่วนดวงตาที่หัวใจนั้นสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจความลึกล้ำของโลกได้
แม้ตาจะบอด แต่จิตใจก็ยังแจ่มใส "
“แล้วข้าจะเปิดตาที่หัวใจได้อย่างไร” เขาถามอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“จงสัมผัสกับโลกนี้อย่างจริงจัง” ชายชราเพียงตอบและมอบเหรียญตราให้เขาก่อนจะเดินจากไป
ชายชราบอกเขาว่าหากวันหนึ่งเขาสามารถเปิดคู่ดวงตาที่หัวใจได้ ให้มาที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาเขา
ตั้งแต่นั้นมา จงหวินก็มีเป้าหมายในชีวิต และเขาเริ่มพยายามสัมผัสกับโลก
การไหลของแม่น้ำ ความร้อนของไฟ เสียงของลม หินที่เย็น
เขาเรียนรู้ที่จะรู้สึกถึงโลกและการเปลี่ยนแปลงของการดำรงอยู่ของทุกสิ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้เห็นแสงหนึ่ง ซึ่งเป็นแสงแรกที่เขาเคยเห็นในชีวิต
ท่ามกลางความมืดมิดอันน่าเบื่อตลอดทั้งชีวิต ในที่สุดเขาก็ได้เห็นแสงสว่างแรก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลำแสงนั้นก็อยู่กับเขามาโดยตลอด แม้ตาของเขาจะมองไม่เห็น แต่เขาก็คุ้นเคยกับการมองโลกด้วยหัวใจ
ต่อมาเขายังพบว่าชายชราที่ให้คำชี้แนะแก่เขานั้นคือผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
…………
จงหวินหลับตาลง และแสงก็ส่องประกายบนปลายดาบของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเรียกว่า "นักดาบประกายแสง"
เหตุผลพื้นฐานก็คือดาบของเขาเร็วเป็นอย่างยิ่ง มันรวดเร็วจนเทียบเท่าได้กับแสง
จงหวินโบกดาบยาวของเขาช้าๆ ดาบนี้ดูช้ามากสำหรับเจ้าปลาน้อยและเสี่ยวกุ้ยจื่อ ช้าจนกระทั่งพวกเขารู้สึกว่าสามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย
แต่วินาทีต่อมา จงหวินก็ได้ไปปรากฏตัวขึ้นที่คอของสัตว์อสูร
รอยดาบที่เห็นได้ชัดเจนปรากฏขึ้นบนร่างอันใหญ่โตของสัตว์อสูร
หัวที่ดุร้ายของมันหล่นลงมาจากคอโดยตรง และสัตว์อสูรก็ไม่ตอบสนองอีกต่อไป
จงหวินยืนถือดาบอยู่ในมือ และเสื้อคลุมสีแดงของเขาดูดุร้ายเป็นพิเศษภายใต้เงาสะท้อนของเลือดที่พวยพุ่งออกมาจากหัวของสัตว์อสูร
จงหวินที่สะบั้นหัวของสัตว์อสูรเสร็จก็ชี้ดาบไปที่เต๋าซุน
เขาไม่ค่อยได้ใช้ดาบประกายแสงมากนัก เพราะเขามีลางสังหรณ์ในใจว่าหากเขาใช้มันมากไป การมองโลกด้วยจิตใจของเขาจะย่ำแย่ลง
แม้ว่าเขาจะอยากเห็นโลกด้วยตาแห่งหัวใจ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จิตใจของเขานี้กลับมืดมนยิ่งกว่าเดิมไม่น้อยหากเทียบกับตอนแรกที่เขาฝึกบ่มเพาะ
เขายังรู้สึกได้ชัดเจนว่าความไวของเขาที่มีต่อลำแสงนี้กำลังเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ
จงหวินมีลางสังหรณ์ว่าถ้าเขาใช้ลำแสงนี้อีกสองสามครั้ง เขาคงไม่อาจสัมผัสถึงมันได้อีกแล้ว
ตอนนี้เขาไม่ค่อยได้ใช้มัน และมันก็คือไพ่ตายของเขา
จงหวินมองไปที่เต๋าซุนด้วยสีหน้าไม่แยแส เมื่อเขากำลังจะแกว่งดาบไปที่เต๋าซุน จู่ๆก็มีมือใหญ่โผล่ขึ้นมาจากพื้นและบีบเขาไว้ในฝ่ามือ
จงหวินตกใจเป็นอย่างมาก เขาหันกลับไปด้วยความยากลำบากและเห็นสัตว์อสูรไร้หัวยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง
ราวกับว่าการมีอยู่ของหัวไม่สำคัญสำหรับสัตว์อสูรตนนี้เลย สัตว์อสูรพยายามจะบีบเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี
จงหวินรู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่กดทับมาจากทุกทิศทาง เขาหายใจไม่ออก และร่างกายของเขาก็ราวกับว่ากำลังจะแหลกเป็นชิ้นๆ
เขาโบกดาบในมืออย่างยากลำบาก และด้วยดาบแสงสว่างที่เจิดจ้าออกมา แขนขวาของสัตว์อสูรก็ถูกตัดออก
เมื่อแขนขวาของมันหลุดออกจากร่าง จงหวินก็รีบหลบเลี่ยงออกอย่างรวดเร็ว
เขาขมวดคิ้วและมองดูสัตว์อสูร จากนั้นก็เหวี่ยงดาบยาวในมืออีกครั้ง ด้วยการโจมตีหลายครั้งติดต่อกัน สัตว์อสูรที่กำลังดิ้นรนก็ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ
แต่ในตอนนี้เอง พลังดาบที่หนักอึ้งก็พุ่งเข้ามาจากด้านหลังของเขา