ตอนที่ 110
ตอนที่ 110
การปิดด่านฝึกตนครั้งนี้กินเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน แน่นอน การเปลี่ยนแปลงของไข่มุกโกลาหลนั้นค่อนข้างเกินความคาดหมายของเต๋าซุน
การพัฒนาครั้งนี้เกือบจะเป็นการเพิ่มความสามารถในเชิงคุณภาพ และเต๋าซุนก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่อัดแน่นอยู่ทั่วร่างของเขา
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากเข้าสู่ระดับ 4 เขาจะมีความสามารถในการเดินเหินอากาศได้
หลังจากที่เต๋าซุนออกจากการปิดด่าน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าโลกภายนอกเปลี่ยนไป ทุกสิ่งกลายเป็นชัดเจนและแม้แต่อากาศก็ยังรู้สึกสะอาดขึ้นเป็นพิเศษ
สมุนไพรจิตวิญญาณทั้งสองด้านบนยอดเขาเดียวดายเองก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับว่าพวกมันได้รับความก้าวหน้า
พวกมันแฝงไปด้วยคลื่นพลังจิตวิญญาณที่คล้ายกับตอนที่เขาดูดซับพลังขณะกำลังควบแน่นแก่นชีวิต
“พี่ใหญ่” เสี่ยวกุ้ยจื่อก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อทักทายเขา
“มีอะไรเกิดขึ้นบ้างขณะที่ข้าปิดด่านฝึกตนอยู่บนยอดเขาเดียวดาย ?” เต๋าซุนพยักหน้าและถาม
“ท่านรองผู้นำนิกายมาที่นี่ก่อนหน้านี้ และฝากให้ข้าตามท่านไปพบหลังจากที่ออกจากการปิดด่าน” เสี่ยวกุ้ยจื่อตอบ: “และข้ายังได้ยินมาจากศิษย์ในนิกายอีกด้วยว่า อาคมป้องกันของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานั้นถูกเปิดใช้งานมาแล้วระยะหนึ่งก่อนหน้านี้ .”
“อาคมป้องกันนิกายรึ?” เต๋าซุนขมวดคิ้ว ไม่นานเขาก็ได้คำตอบในใจ
ดูเหมือนความก้าวหน้าของเขาจะดึงดูดความสนใจของท่านพ่อไม่น้อย ในเวลานั้น ด้วยการขาดแคลนพลังจิตวิญญาณของยอดเขาเดียวดาย พ่อของเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดใช้งานอาคมป้องกันนิกายเพื่อรวบรวมพลังจิตวิญญาณมหาศาลมาให้กับเขา
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเหล่าสมุนไพรในสวนของข้าถึงได้เติบโตเพียงนี้ ปรากฏว่าพวกมันได้รับผลประโยชน์จากคลื่นพลังจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
“ข้าเข้าใจแล้ว” เต๋าซุน พยักหน้า
“ยังไงก็เถอะ พี่ใหญ่ พี่ปิงมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่เพราะท่านปิดด่านฝึกตนอยู่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป” เสี่ยวกุ้ยจื่อกล่าว
"ปางซูรึ?" เต๋าซุนพยักหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เจ้าปลาน้อยคงมีคำตอบในใจแล้ว
…………
หลังจากออกจากยอดเขาเดียวดาย เต๋าซุนก็ตรงไปยังยอดเขาเมฆาที่พ่อของเขาอาศัยอยู่
เต๋าเสี่ยวโม่ดูเหมือนจะสวมชุดสีเขียวอยู่เสมอ แต่เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่เต๋าซุนได้พบกับท่านพ่อของเขาแล้ว ตัวเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“ท่านพ่อ” เต๋าซุนทักทาย
“เมื่อเห็นว่าเจ้าไม่เกียจคร้านที่จะฝึกฝน พูดตามตรงว่าในฐานะพ่อแล้ว ข้ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง” เต๋าเสี่ยวโม่ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นข้าจะฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม ท่านคือคนเปิดอาคมป้องกันนิกายก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ?” เต๋าซุน ถาม
เต๋าเสี่ยวโม่พยักหน้าและกล่าวว่า: "ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่อะไรมา แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าสูญเสียโอกาสอันดีนั้นไป
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อทุกคนเติบโตขึ้น ก็ล้วนแต่ต้องมีความลับของตัวเอง
เจ้าเพียงแค่รู้ไว้ว่าพ่อจะคอยอยู่ข้างเจ้าเสมอ และหากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็ให้มาหาได้ตลอดเวลา "
“ข้าทราบแล้วท่านพ่อ ข้าทราบมาตลอด ” เต๋าซุนพยักหน้าอย่างเคารพ
เขารู้ดีว่าเขาหาใช่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหวไม่
แต่บางครั้งมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง จริงๆแล้วการที่น้ำตาไหลหยดลงมานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะความดีใจหรือเสียใจเสมอไป
บางครั้งมันก็ไหลลงมาเพราะตระหนักได้ถึงความห่วงใยของใครสักคนที่มอบให้ สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ว่าผู้ใดที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง
เต๋าซุนรู้สึกว่าปลายจมูกของเขาเริ่มแสบเล็กน้อย ช่วงแรกของชาติที่แล้วเขามักคิดอยู่เสมอว่าท่านพ่อนั้นไม่สนใจเขา
เขาคิดมาเสมอมาว่าสำหรับพ่อของเขาแล้วนิกายมีความสำคัญมากกว่าตัวเขา
แต่หลังจากที่เขาถูกทุบตีที่สายธารมังกร และพ่อของเขาใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อล้างแค้นให้กับเขา ตอนนั้นเขาจึงได้เข้าใจ
บางครั้งเจ้าจะพบกับคนที่บอกว่าตัวเขาสามารถบุกน้ำลุยไฟเพื่อเจ้าได้ แต่แท้จริงแล้วจะมีเพียงสักกี่คนกันที่สามารถทำได้จริง
ในขณะเดียวกัน บางคนนั้นแม้ไม่เคยพูดสิ่งใด แต่เขากลับเป็นฝ่ายที่อยู่เคียงข้างและสนับสนุนเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มี นี่เป็นความเงียบที่อยู่เหนือกว่าคำพูดอย่างแท้จริง และยังเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้ที่สุด
………
“นี่พวกท่านพ่อลูกช่วยคุยกันเรื่องอื่นบ้างได้หรือไม่เวลาอยู่ด้วยกัน ? นี่ทั้งชีวิตของพวกท่านจะเอาแต่คุยเรื่อง ฝึกฝน ฝึกฝน ทั้งวันเลยรึ” เหวินเทียนหยุนแม่ของเต๋าซุนก็พูดขึ้นอย่างไม่พอใจขณะที่มองดูจากด้านข้าง
“เจ้าพูดอะไรกัน สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในวัยนี้ก็คือการฝึกฝนไม่ใช่รึ” เต๋าเสี่ยวโม่ตอบ
“ซุนเอ๋อ ปีนี้เจ้าอายุสิบห้าปีแล้ว เจ้าได้พบเจอหญิงสาวที่ชมชอบบ้างแล้วหรือไม่ ? แม่ของเจ้ายังเฝ้ารอที่จะอุ้มหลานอยู่นะ” เหวินเทียนหยุนจ้องมองไปที่เต๋าเสี่ยวโม่ และหันไปมอง เต๋าซุน และถาม
“ท่านแม่ ข้าเพิ่งอายุสิบห้าปีเอง เหตุใดท่านต้องรีบร้อนเช่นนี้เล่า” เต๋าซุนส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“ดูหลานของผู้อาวุโสสี่สิ ตอนนี้เขาคนเดียวมีหญิงสาวไปแล้วกว่าโหล
แล้วดูตัวเจ้า เจ้าไม่แม้แต่จะแตะต้องสาวใช้ทั้งสองคนที่แม่ส่งให้ไปด้วยซ้ำ ” เหวินเทียนหยุนกล่าวอย่างไม่พอใจ
ในฐานะผู้หญิง บางครั้งคำพูดก็เป็นสิ่งที่กระทำออกมาได้ง่าย
เหวินเทียนหยุนนั้นไม่ได้พบหน้าเต๋าซุนมานานแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่นางจะพูดมากขึ้นเมื่ออยู่กับเขา
“สำหรับพ่อของเจ้า ในชีวิตนี้คงไม่มีสิ่งใดสำคัญไปมากกว่าการฝึกตนแล้วกระมัง ด้วยการบ่มเพาะระดับ 7 แล้ว
เมื่อองค์จักรพรรดิจากไป ภาระอันหนักหน่วงของการขึ้นเป็นจักรพรรดิก็ยิ่งตกมาที่ตัวเขาอีก
ดูสิตอนนี้เจ้านั้นไม่ต่างจากพ่อของเจ้าสมัยยังหนุ่มแม้แต่น้อย สนใจแต่การฝึกฝนเท่านั้น
ส่วนแม่ของเจ้านั้นคงไม่มีเวลาไปสนใจการฝึกฝนอีกแล้วในชีวิตนี้ ทุกวันหวังเพียงให้เจ้ากับพ่อของเจ้าปลอดภัยก็เหนื่อยแล้ว และยิ่งเมื่อใดที่เจ้าแต่งงานและมีลูกในอนาคตอีก ก็ดูเหมือนจะมีแต่แม่นี่แหละที่จะเป็นคนดูแลหลานตัวน้อยๆ
หากแม่ต้องรอไปอีกสองสามร้อยปี นั่นไม่เท่ากับว่าแม่สิ้นสุดอายุขัยไปแล้วหรอกรึ ถึงตอนนั้นแม่จะมีโอกาสได้เลี้ยงหลานได้อย่างไร "
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรต่อหน้าลูกกัน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าจะไม่มีปล่อยให้เจ้าหายไปจากข้าอย่างแน่นอน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้ายังอยู่กับข้า แม้ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งใดไปก็ตาม” เต๋าเสี่ยวโม่ พูดอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเป็นอย่างที่ท่านพูดจริงท่านก็คงแบ่งเวลามาสนใจข้าบ้างแล้ว ทุกวันนี้ก็เห็นเอาแต่ฝึกฝน ฝึกฝน แล้วก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องนิกาย” เหวินเทียนหยุนเริ่มแสดงอาการน้อยใจหลังจากได้ยินคำพูดของเต๋าเสี่ยวโม่
เมื่อเต๋าซุนเห็นว่าทั้งสองคนกำลังเริ่มพลอดรักกันมากขึ้น เขาที่ไม่อยากเป็นสุนัขขวางทางจึงรีบกล่าวคำอำลาทันที
“หากท่านทั้งสองไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน ”
“ถ้าเจ้าพบเจอหญิงสาวที่ชมชอบเมื่อใด อย่าได้ลืมบอกแม่ของเจ้าเด็ดขาดนะ ข้าจะเป็นคนช่วยสู่ขอนางแต่งงานเอง” เหวินเทียนหยุนพูดอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำพูดของท่านแม่ เต๋าซุนก็อดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าจากไปเร็วกว่าเดิม
“อาณาจักรลับอสูรโลหิตของนิกายจะถูกเปิดในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว ข้าได้จองสิทธิ์นั้นไว้ให้กับเจ้าแล้วเช่นกัน ฉะนั้นจงเตรียมตัวให้ดี ”
เสียงของเต๋าเสี่ยวโม่ก็ดังไล่ตามหลังเขามามาจากด้านหลัง และ เต๋าซุน ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง "อาณาจักรลับอสูรโลหิต"
อาณาจักรลับอสูรโลหิตเป็นอาณาจักรลับพิเศษภายในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ มันเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอาศัยอยู่
“อสูรโลหิต!”
แม้ว่า เต๋าซุน จะไม่เคยไปที่อาณาจักรลับอสูรโลหิตมาก่อน แต่เขาก็ได้ยินข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมันมาบ้าง
แม้ว่าดินแดนลี้ลับแห่งนี้จะอันตราย แต่มันก็เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย
ว่ากันว่าตราบใดที่เจ้าสังหารอสูรเลือดที่อยู่ข้างในได้ เจ้าก็จะได้รับผลึกอสูรโลหิตมาครอง
ผลึกอสูรโลหิตนั้นเป็นสมบัติที่สามารถเสริมพลังปราณและเลือดในร่างกายของมนุษย์ได้ ความแข็งแกร่งของพลังปราณและเลือดนั้นไม่เพียงแต่จะเพิ่มพลังในการต่อสู้เท่านั้น แต่มันยังเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งทนทานมากยิ่งขึ้นด้วย
ในการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกบ่มเพาะระดับเดียวกัน หากความแข็งแกร่งของพลังปราณและเลือดฝ่ายไหนสูงส่งกว่า ฝ่ายนั่นก็ย่อมอยู่เหนือกว่าระดับหนึ่ง และสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
เมื่อนึกถึงผลึกอสูรโลหิตที่กำลังจะเปิดออก เต๋าซุนก็ยิ้มออกมา ในแม่น้ำแห่งโชคชะตาก่อนหน้านี้ เขาได้พบกับบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เดิมทีเขาวางแผนที่จะไปยังอาณาจักรเทพจันทราบริสุทธิ์หลังจากนี้ เพราะที่นั่นมีบางสิ่งที่เขาต้องการ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนคงต้องพักไว้ก่อน เพราะยังไงเสียที่อาณาจักรลับอสูรโลหิตเองก็มีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเขาอยู่เช่นกัน
หลังจากออกจากยอดเขาเมฆา เต๋าซุนก็ไปหาปางซูทันทีที่เขากลับมาถึงยอดเขาเดียวดาย