ตอนที่ 105
ตอนที่ 105
ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือภาพวาดหัวชิงชิง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยโด่งดั่งไปทัวทวีปตะวันออก
เต๋าซุน ไม่รู้มากนักเกี่ยวกับการวาดภาพที่เกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของหัวชิงชิง แต่เขารู้ว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเพียงภาพวาดของหัวชิงชิงเท่านั้น
เมื่อพูดถึงหัวชิงชิง เขาถือว่าเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ
หลายคนต่างก็ประสบปัญหาในการหลบหนีคำว่า "ความรัก" ในชีวิต
หัวชิงชิงเองครั้งหนึ่งก็เคยตกหลุมรักเฟิงจู่ หรือจักรพรรดินีเฟิงมาระยะหนึ่งเช่นกัน แต่เต๋าซุนนั้นไม่ได้รู้สถานการณ์ชัดเจนนัก
เขารู้เพียงว่าเฟิงจู่กับจักรพรรดิหวู่เชินนั้นเป็นคนรักกันตั้งแต่ยังเด็ก และทั้งสองก็แต่งงานกันในเวลาต่อมา
ในเวลานั้น ตอนที่จักรพรรดิหวู่เชินยังไม่ได้แบกรับโชคชะตาสวรรค์ ก็มีคนต้องการคุกคามจักรพรรดิหวู่เชินด้วยการใช้ชีวิตของเฟิงจู่เป็นตัวประกัน
ในระหว่างการไล่ล่า เฟิงจู่ก็ได้ตัดสินกระโดดหน้าผาและฆ่าตายตัวไปก่อนที่จะลากจักรพรรดิหวู่เชินให้มาประสบเคราะห์ด้วย
แต่น้อยคนนักที่รู้ว่าเฟิงจู่ไม่ได้ตกตายไปหลังจากกระโดดหน้าผา เป็นหัวชิงชิงที่ช่วยนางไว้
เนื่องจากเฟิงจู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวชิงชิงจึงดูแลนางเป็นอย่างดีตั้งแต่นนั้นมา
และในช่วงเวลานั้น พวกเขาทั้งสองก็ได้ตกหลุมรักกันหลังจากดูแลกันมาเป็นเวลานาน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาถูกพัฒนาเป็นความประทับใจต่อกัน
อย่างไรก็ตาม เฟิงจู่ไม่อาจตัดใจจากจักรพรรดิหวู่เชินไปจากหัวใจได้ และในบรรดาคนทั้งสอง เฟิงจู่ก็เลือกจักรพรรดิหวู่เชินมากกว่า
จากคำพูดของนาง นางปวดใจอย่างยิ่งเมื่อตัดสินใจที่จะจากหัวชิงชิงไป
แต่เมื่อจักรพรรดิหวู่เชินจากไป เฟิงจู่ก็รู้สึกว่าหัวใจของนางนั้นได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว
นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างความชอบและความรัก
เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงจู่จะครอบครองชายทั้งสองไว้ในเวลาเดียวกันได้ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะจากหัวชิงชิงไป ว่ากันว่าในวันที่พวกเขาแยกจากกัน หัวชิงชิงได้มอบภาพวาดเหมือนของเฟิงจู่ที่ถูกวาดขึ้นมาเป็นพิเศษให้นางไว้
และสัญญากับนางว่าหากในอนาคตมีคนมาหาเขาพร้อมกับภาพวาดเสมือนของนาง เขาจะทำอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบสนองสิ่งที่ผู้นำภาพมาต้องการ
แต่เฟิงจู่ไม่เคยคิดที่จะขอความช่วยเหลือจากหัวชิงชิงแม้แต่น้อย ยอมเก็บภาพนี้ไว้ และถือเสียว่ามันเป็นเพียงของที่ระลึกเท่านั้น
แม้กระทั่งตอนที่นางจากไปและทิ้งภาพวาดนี้ไว้ให้เป็นมรดก นางก็ไม่เคยบอกใครเลยว่าภาพนี้มีที่มาเป็นอย่างไร และมีวิธีใช้เช่นไร
เพราะในใจของนาง ภาพนี้เป็นสิ่งเดียวก็คือภาพความทรงจำที่สวยงามในชีวิตของนาง
นางไม่ต้องการให้ผู้สืบทอดของนางรุ่นต่อๆไปหยิบกภาพวาดนี้ไปขอความช่วยเหลือจากหัวชิงชิงแต่อย่างใด
แต่ในรุ่นต่อๆ มา ก็มีคำพูดเกิดขึ้นมากมาย โดยกล่าวกันว่าเมื่อตอนที่หัวชิงชิงกับจักรพรรดิหวู่เชินกำลังแข่งขันแย่งชิงแบกรับโชคชะตาสวรรค์กันอยู่นั้น ตอนนั้นหัวชิงชิงก็เป็นฝ่ายยอมแพ้โดยตัวเอง และก็ว่ากันว่านั่นเป็นเพราะเฟิงจู่
แน่นอนว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้
…………
หัวชิงชิงหยิบภาพวาดจากมือของ เต๋าซุน และยิ้มสองสามครั้ง ราวกับว่าฉากในอดีตได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
เขามีเพียงภาพวาดและตัวอักษรเท่านั้นที่เป็นสหายทั้งชีวิตของเขา เขาไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกเลย
แต่เมื่อเขาหยิบแผ่นภาพวาดนี้ขึ้นมา เขาก็ราวกับว่าได้พบเจอกับเฟิงจู่และตกหลุมรักอีกครั้ง
นางคือรักแรกของเขาและยังเป็นรักสุดท้ายของเขา
“เจ้าต้องการไข่มุกโลกใช่หรือไม่?” หัวชิงชิงมองเต๋าซุนและถาม
“ใช่” เต๋าซุนพยักหน้า
หัวชิงชิงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็โบกมือไปในอากาศเล็กน้อย และอากาศที่อยู่ข้างหน้าเขาก็เริ่มผันผวน
เขาถือพู่กันวิเศษไว้ในมือแล้ววาดมันไปในอากาศ พื้นที่ตรงนั้นแตกออกเป็นชิ้น ๆ และไข่มุกก็ลอยออกมาจากรอยแยกมิติ
ไข่มุกนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์และโครงสร้างภายในของมันก็โปร่งใสเป็นอย่างมาก เมื่อมองดู เจ้าจะรู้สึกว่ามันมีทุกสิ่งที่เหมือนกับโลกจริงๆ
มีกวางมงคลวิ่งไปมา ม้าป่าส่งเสียงร้อง ดอกไม้เบ่งบาน และแม่น้ำสายยาวไหลผ่านพาดออกไปไกล
หัวชิงชิงนำภาพของเฟิงจู่เก็บกลับไป จากนั้นก็มอบไข่มุกโลกให้กับเต๋าซุน
จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า: “ข้าหวังว่ามันจะส่องประกายมากขึ้นเมื่ออยู่ในมือของเจ้า”
“ข้ารับปาก” เต๋าซุนยิ้มและพยักหน้า
หลังจากได้รับไข่มุกโลกแล้ว เต๋าซุนที่กำลังจะจากไปก็พบว่าพื้นที่ข้างๆนั้นเกิดความผันผวนขึ้นอย่างกะทันหัน
ชายหนุ่มสวมชุดสีขาวเดินออกมา
“ดูเหมือนว่าผู้สืบทอดอีกคนจะมาถึงแล้วสินะ ” หัวชิงชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มในชุดสีขาวมองไปรอบ ๆ เมื่อเขาเห็นเต๋าซุน สีหน้าของเขาก็ตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาถึงเร็วกว่าเขา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เห็นภาพวาดหัวชิงชิง ชายหนุ่มก็เริ่มตื่นเต้นและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและคำนับ: "ซ่งเชียนชิว ศิษย์รุ่นที่สิบเจ็ดของตระกูลซ่ง แสดงความเคารพต่อท่านบรรพบุรุษ"
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทอะไร ” หัวชิงชิงยิ้มและส่ายหัว
เต๋าซุน เหลือบมองชายหนุ่ม เขารู้ว่าชื่อจริงของหัวชิงชิงนั้นไม่ใช่แซ่หัว แต่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกันว่าแซ่ของผู้อาวุโสหัวนั้นคือแซ่ซ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองดูใบหน้าของชายหนุ่ม เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิตที่แล้วของเขา
ทันใดนั้น ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในใจของเขา เต๋าซุน มองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายหนุ่มแล้วพูดว่า " ชายคนนี้คือคนที่จะเปลี่ยนไปใช้ชื่อหัวเชียนชิวในอนาคตใช่หรือไม่ ?"
ในชีวิตก่อนหน้านี้ หลายคนกล่าวว่าหัวเชียนชิวนั้นเปลี่ยนเป็นแซ่หัวก็หลังจากที่ได้รับสืบทอดมรดกของหัวชิงชิง
ดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองน่าจะมาจากตระกูลเดียวกันสินะ
“ตระกูลซ่งสบายดีหรือไม่ ” หัวชิงชิงเหลือบมองชายหนุ่มแล้วถามด้วยอารมณ์บางอย่าง
อันที่จริง สำหรับหัวชิงชิงแล้ว ตระกูลซ่งหาได้สำคัญอีกต่อไปไม่
ไม่ว่ายังไงหลังจากประเมินแล้ว ทั้งสหาย บิดา มารดา ของเขาก็สมควรสิ้นสุดอายุขัยไปนานแล้วในตอนนี้ นอกเหนือจากความเกี่ยวข้องทางสายเลือดแล้ว ปัจจุบันตระกูลซ่งหาได้มีคนที่เขารู้จักไม่
แต่ไม่ว่าจะยังไง มันก็ยังคงเป็นตระกูลของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่อาจปฏิเสธได้
“ท่านบรรพบุรุษขอรับ ท่านได้ทิ้งมรดกและวิชามากมายไว้ให้กับตระกูล แม้ว่าจะไม่มีใครในตระกูลซ่งของเราที่สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นท่าน แต่เราก็มีพัฒนาการที่รวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้เราก็กลายเป็นตระกูลชั้นนำในเมืองจื่อหยางแล้วขอรับ” ซ่งเชียนชิวตอบอย่างรวดเร็ว : "เหตุผลที่ข้าสามารถผ่านการทดสอบทั้งสามมาได้อย่างรวดเร็วในครั้งนี้ก็เป็นเพราะข้าบังเอิญได้พบกับสิ่งที่ท่านทิ้งไว้ และได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับวังภาพวาดมาจากพวกมัน"
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นสมาชิกตระกูลเดียวกับข้า แต่ถ้าเจ้าต้องการจะสืบทอดพู่กันวิเศษ เจ้าก็ยังต้องผ่านการทดสอบที่สี่ไปให้ได้ ” หัวชิงชิงกล่าว: “พู่กันวิเศษนี้อยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว และข้าก็ต้องคัดเลือกผู้ครอบครองที่เหมาะสมให้กับมัน”
“ข้าเข้าใจขอรับ” ซ่งเชียนชิวตอบอย่างจริงใจ
“ถ้าเจ้าสามารถวาดภาพที่ประกอบไปด้วยเต๋าแห่งศิลปะได้ เจ้าก็จะถือว่าผ่านการทดสอบที่ 4 ” หัวชิงชิงพยักหน้าและพูด
…………
ซ่งเชียนชิวเดินมาที่โต๊ะยาวแล้วหยิบพู่กันออกมาจากใต้แขนเสื้อของเขา
เห็นได้ว่าเขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว และดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบการวาดภาพเช่นกัน
ซ่งเชียนชิววางกระดาษสีขาวลงและใช้พู่กันเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วบนกระดาษ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือขณะที่เขาขยับมือ ตาของเขากลับหลับสนิทอยู่
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เมื่อภาพวาดเสร็จสมบูรณ์ มือของซ่งเชียนชิวก็กลายเป็นมีด และเขาก็สับเบาๆ ไปยังคลื่นใหญ่ที่กองสูงทั้งสองด้านของเส้นทางหิน
น้ำทะเลบางส่วนกระเด็นลงบนกระดาษสีขาว และเต๋าแห่งศิลปะก็หลอมรวมเข้ากับภาพวาดเล็กน้อย
หมึกด้านในดูเหมือนจะจางลง และด้วยการไหลของน้ำทะเล มันก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น มันไม่ได้ถูกจำกัดหรือตีกรอบไว้เป็นเพียงแค่ภาพวาดธรรมดาอีกต่อไป
ฉากในภาพนี้คือยอดเขา มีต้นสนที่งอกงามเติบโตอย่างโดดเดี่ยวบนขอบหน้าผา
แม้ภาพวาดนี้จะไม่ได้ตระการตาแต่อย่างใด และดูไม่ต่างจากภาพวาดทั่วไป แต่มันกลับทำให้ผู้ที่จ้องมองอยู่รู้สึกได้ถึงความชันของหน้าผา และจิตวิญญาณอันหนาแน่นที่อัดอยู่ในต้นสนเดียวดายอันสูงโย่งนี้