ตอนที่ 100: ตราบใดที่เจ้าทำแบบเดียวกันกับพี่สาว เจ้าจะเอ่ยถูก!
เมื่อเห็นหลินซวนก้าวเข้าประตูมา สาวกห้าหมื่นคนที่จัตุรัสก็รีบก้าวตามเข้ามา
คำจารึกของตี้ฟู่คือส่วนสำคัญที่สุดในพิธีเปิดสถาบันสามก๊ก
เพราะศิลาจารึกนี้จะเป็นจิตวิญญาณของสถาบัน.
นอกจากนี้ยังเป็นจรรยาบรรณให้ลูกศิษย์ทุกคนของสถานศึกษาปฏิบัติตามด้วย
นี่แสดงให้เห็นว่าศิลาจารึกของสถาบันสามก๊กนั้นสำคัญเพียงใด.
และในบรรดาผู้คนทั้งหมดในเวลานี้ ตี้ฟู่คือปราชญ์วรรณกรรม ย่อมเหมาะสมที่สุดในการจารึกแผ่นศิลา.
“ได้เห็นการจารึกอักษรของตี้ฟู่ นี้คือประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดในเต๋าวรรณกรรมของข้า!”
“พรสวรรค์ที่เลิศล้ำของตี้ฟู่ จะต้องมอบความกระจ่างแก่ข้า ในการศึกษาเต๋าวรรณกรรมอย่างแน่นอน!”
ดวงตาของสาวกหลายคนที่เป็นประกายเต็มไปด้วยความคาดหวังบูชา รอคอยด้วยความตื่นเต้น เพื่อรอคอยหลินซวนจารึกอักษร.
หลินซวนได้มาถึงศิลาขนาดใหญ่ด้านหน้าแล้ว.
เมื่อมองขึ้นไป ก็จะพบว่า อนุสาวรีย์หินนี้ ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงามและมีความสง่าเป็นพิเศษ.
ไป๋จุนเฉียนและกวนฮั่นชุนก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยออกมาว่า "เชิญตี้ฟู่!"
หลินซวน พยักหน้า และค้นหาคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ในตำราสวรรค์เสวียนเจี่ย
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบประโยคที่โด่งดังมากสองประโยค
แก่นแท้ในร่างกายของเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที.
ขณะเขาใช้นิ้วแทนกระบี่ ทิ้งรอยลงไปบนแผ่นหินจารึก.
หลังจากนั้น ทั้งสองประโยคก็เสร็จสิ้น.
หากมิสมถะก็มิอาจแจ้งในปณิธาน
หากมิสงบก็จะมิอาจตรองการณ์ไกล
หลังจากที่ไป๋จุนเฉียน กวนฮั่นชุน และสาวก 50,000 คนอ่านเงียบ ๆ สองครั้ง จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกชื่นชมอย่างลึกซึ้งในทันที.
“หากมิสมถะก็มิอาจแจ้งในปณิธาน หากมิสงบก็จะมิอาจตรองการณ์ไกล นี่คือสิ่งที่ข้ารอคอยมาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้ ช่างเป็นประโยคที่ดีจริง ๆ!”
"ตี้ฟู่ ไม่เพียงแต่จารึกอักขระที่ยอดเยี่ยมสง่างาม แต่ยังมีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งอีกด้วย คู่ควรกับการเป็นปราชญ์วรรณกรรม น่าทึ่งจริง ๆ!"
"คำสองประโยคของตี้ฟู่ จะนำพาสถาบันของเราก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ได้อย่างแน่นอน!"
ในช่วงเวลานั้น
ในที่สุดทุกคนในสถาบันสามก๊กก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า พรสวรรค์ไร้คู่เปรียบ.
สองประโยคสั้น ๆ ของหลินซวน ราวกับทำให้พวกเขาตรัสรู้ ราวกับได้พบกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ.
“ว้าว~ เสด็จพ่อสุดยอดไปเลย!”
เมื่อเห็นผู้คนมากมายชื่นชมพรสวรรค์ของ หลินซวนเสวียนจู่ และธิดาคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะปรบมืออย่างมีความสุข
ประโยคที่เขียนด้วยลายมือของเสด็จพ่อทำให้คนเหล่านี้ตื่นเต้นและชื่นชมเป็นอย่างมาก ช่างน่าทึ่งจริง ๆ!
“ว่าแต่ มันหมายถึงอะไรล่ะ”
เสวียนจู เป็นคนแรกที่ดึงมุมเสื้อผ้าของหลินซวน.
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ รู้สึกว่าเนื่องจาก นี่เป็นประโยคที่จะสอนให้ผู้คนเรียนรู้ นางจึงต้องเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
เสวียนซี และ เสวียนหาน ก็เงยหน้าขึ้นและมองหลินซวน อย่างคาดหวังเช่นกัน
เดิมทีเสวียนหยูมองไปรอบ ๆ ฝูงชน แต่ทันใดนั้นก็พบว่าพี่สาวของนางกำลังมองเสด็จพ่ออยู่
ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลินซวนด้วย
ตราบใดที่เจ้าทำแบบเดียวกันกับพี่สาว เจ้าต้องพูดถูก!
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คิดว่านางฉลาดมากและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
หลินซวนมองดูบุตรสาวของเขาอย่างงง ๆ แล้วเอ่ยออกมาว่า:
“สองประโยคนี้บอกเราว่าอย่าสับสนกับประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ให้สงบสติอารมณ์ในการเรียนรู้”
"โอ้โอ้ว!"
เสวียนจู่และคนอื่น ๆ เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เสด็จพ่อเอ่ยนั้นสมเหตุสมผลจริง ๆ
ฟ่านเซิงโจวและหวู่เหวินอี้ที่เพิ่งมาถึงลานหน้าสถาบันก็เห็นคำที่หลินซวนแกะสลักลงบนแผ่นหินเช่นกัน
ทันใดนั้นทั้งสองก็แสดงความชื่นชมออกมา
ฟ่านเซิ่งโจวปรบมือด้วยความตื่นเต้น แอบชื่นชม:
“ประโยคดี! ประโยคดีจริง ๆ! สมควรแก่การเป็นปราชญ์วรรณกรรม ช่างเป็นประโยคสบาย ๆ แต่กับหายากในโลกหล้า!”
“ฟานเซิ่งโจว ข้ามีชีวิตอยู่มานานกว่า 5,000 ปีแล้ว และในที่สุดข้าก็ได้พบกับผู้สูงศักดิ์ในวันนี้!”
เขารีบก้าวไปข้างหน้าและแสดงความเคารพต่อหลินซวนด้วยความเคารพ: "ชายชราแสดงความเคารพต่อตี้ฟู่!"
ไป๋จุนเฉียนเอ่ยแนะนำ: "เรียนตี้ฟู่ นี่คืออาจารย์ของพวกเราสามคน นักวิชาการฟ่านเซิ่งโจว"
หวู่เหวินอี้เอ่ยเสริม"อาจารย์ได้ยินว่าตี้ฟู่ คือปราชญ์วรรณกรรมในปัจจุบัน จึงได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาพบกับท่านโดยเฉพาะ"
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ย สาวกทั้ง 50,000 คนที่อยู่ตรงนั้นก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึง!
นักวิชาการฟ่าน ฟ่านเซิ่งโจวเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์และเต๋าวรรณกรรมของทวีปคังหลง.
ตามตำนานเล่าว่า เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม
เมื่ออายุได้ 16 ปี พรสวรรค์ด้านวรรณกรรมของเขาได้ครอบงำไปทั้งอาณาจักรแห่งหนึ่งเลย.
นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังทรงได้รับเชิญอย่างนอบน้อมจากกษัตริย์แห่งหลางหยา ให้เข้าสู่ราชวงศ์ในฐานะสมาชิกอย่างทางการ
เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาเดินทางไปทั่วโลก แสดงความสามารถทางวรรณกรรมของเขาไปทั่วทั้งทวีปคังหลง
มีปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ประลองกับเขา
ซั่งจูเหริน,จินซือ นักวิชาการมากมายล้วนแต่พ่ายแพ้ต่อเขา.
เมื่ออายุได้หนึ่งพันปี เขาได้กลายเป็นนักวิชาการขงจื๊อสามอันดับแรกในทวีปคังหลง.
โดยไม่คาดคิดแม้แต่ตัวตนเช่นนี้ยังต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อต้องเข้าเฝ้าตี้ฟู่ นี่ถือเป็นการแสดงความจริงใจและเคารพเป็นล้นพ้น.
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่าความสามารถและสถานะของตี้ฟู่ เองก็สมควรที่จะได้รับความเคารพจากฟ่านเซิ่งโจวอย่างแท้จริง.
หลินซวน พยักหน้าเล็กน้อย: "ฟ่านเหล่า ไม่จำเป็นต้องสุภาพ"
ฟ่านเซิ่งโจวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น.
ในฐานะปราชญ์วรรณกรรมผู้สง่างาม เขากับได้รับการเรียกขานว่าฟ่านเหล่า ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างภาคภูมิใจ.
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฟานเซิ่งโจวก็เอ่ยออกมาว่า: "เรียนตี้ฟู่ ชายชรามาในวันนี้ มีบางอย่างต้องการขอความช่วยเหลือจากท่าน.”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ของ หลินซวน เขายิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่า หลินซวนจะช่วยให้เขาก้าวหน้าในเส้นทางเต๋าวรรณกรรมได้.
หลินซวน เอ่ยอย่างไม่เป็นทางการ: "มาพูดคุยและฟังกันเถอะ"
ฟานเซิงโจว: "เมื่อชายชราอายุสิบหกปี ก็ได้เข้าสู่ราชวงศ์ในฐานะข้าราชการแล้ว และเดินทางไปทั่วโลก ต้องการฝึกฝนหลักวรรณกรรมของตนเองด้วยความช่วยเหลือจากลาภทางสังคม"
“แต่หลังจากเป็นข้าราชการมาประมาณสามพันปี ชายชรามักจะอยู่จมในขอบเขตนักวิชาการ ไม่สามารถไปถึงอาณาจักรกึ่งปราชญ์ได้เลย”
"ต่อมา ชายชราทำงานหนักเพื่อฝึกฝนและอยู่ใต้รูปปั้นเหวินเซิง(เทพวรรณกรรม) ในสวนหลังบ้านของภูเขาลูกนี้เป็นเวลาสองพันปี แต่ก็ยัง..."
เขาถอนหายใจยาว
เห็นได้ชัดว่าหลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี เขาก็ไม่สามารถบรรลุความก้าวหน้าได้ ซึ่งทำให้เขาทุกข์ใจมาก
หลินซวน ได้ยินคำบกเล่าของเขา และเผยยิ้มเล็กน้อย: "เจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ในราชสำนัก และเจ้าต้องการที่จะฝึกฝนด้วยความช่วยเหลือจากลาภทางสังคม"
“แต่เจ้ายังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้ ดังนั้นเจ้าจึงหยุดก้าวต่อไป”
ฟานเซิงโจวได้ยิน แววตาของเขาก็เผยความตกใจ คำเอ่ยของหลินซวนกระทบจิตใจของเขาเล็กน้อย
หลินซวน กล่าวต่อ “ผู้ที่เป็นข้าราชการจะสร้างสะสมบุญเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประชาชน การสะสมจึงขึ้นอยู่กับวิถีของผู้คน”
“เจ้าเข้าสู่ เต๋าวรรณกรรมในฐานะข้าราชการ แต่กลับไม่คิดที่จะยึดติดกับประชาชน ไม่ว่าเจ้าจะเดินทางไปกี่ประเทศ เจ้าก็ยังไปผิดทาง เจ้าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร”
หลังจากที่ฟ่านเซิงโจวฟังจบ ดวงตาของเขาก็สั่นไหวทันที
ไป๋จุนเฉียนและคนอื่น ๆ ไม่เคยเห็นอาจารย์ของพวกเขาตกใจขนาดนี้มาก่อน
“มุ่งเน้นผู้คน…” ฟานเซิงโจว เอ่ยคำดังกล่าวซ้ำ ๆ.
“ประชาชนคือรากฐานของประเทศ!”
“ผู้เฒ่าคิดอยู่เสมอว่าโชคข้าราชการนั้นคืออะไร ดูเหมือนว่ามันควรจะมาจากประชาชน!”
หลังจากที่เขาเอ่ยจบ ทุกคนก็เห็นแสงสีทองจาง ๆ กะพริบที่กลางหน้าผากของเขา
ทันใดนั้นลมและเมฆบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป ปรากฏแสงสีม่วงตกลงมาจากทิศตะวันออกและยังคงอยู่รอบ ๆ ร่างกายของเขา
“พลังปราณสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออก! อาจารย์มีคุณสมบัติเสมือนปราชญ์แล้ว!”
ไป๋จุนเฉียน, หวู่เหวินอี้ และกวนฮั่นชุน ต่างก็ตื่นตะลึง!
ปราณสีม่วงที่มาจากทิศตะวันออกหมายความว่าเขามีคุณสมบัติเสมือนปราชญ์ของเส้นทางเต๋าวรรณกรรมแล้ว.
ในไม่ช้าเขาก็จะกลายเป็นเสมือนปราชญ์ที่แท้จริง
ด้วยถ้อยคำจากตี้ฟู่ ทำให้นักวิชาการขงจื่อได้รับความรู้จนสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเสมือนปราชญ์ได้ เรื่องเช่นนี้...
“ตี้ฟู่ยังเป็นมนุษย์จริง ๆ รึ?!”
ในใจของทุกคน เผยความชื่นชมต่อหลินซวนถึงจุดสูงสุดในทันที
**************
诫子篇 หรือ 诫子书
คำสอนขงเบ้ง หรือ โอวาทสอนบุตร
诫子书 เป็นงานเขียนของขงเบ้ง (จูเก่อเลี่ยง 诸葛亮) ที่เขียนถึงจูกัดเจี๋ยม (จูเก่อจาน 诸葛瞻) บุตรชาย เนื้อความงานเขียนชิ้นนี้ อธิบายความจริงที่ลึกซึ้งของการฝึกฝนตนเอง การศึกษา และชีวิต จากบทความที่แสดงให้เห็นถึงบุคลิกอันสูงส่งและความรู้อันลึกซึ้งของขงเบ้ง คำสอนที่จริงจังและความคาดหวังอันกว้างไกล มีการใช้ภาษาที่ไพเราะสละสลวยงดงาม มีเหตุผลเข้าถึงได้ง่าย ผู้เขียนใช้คำที่ชาญฉลาด มีเหตุผล กระชับ และเข้มงวด สามารถสื่อให้เห็นถึงความรักของพ่อทั่วโลก จากความสำคัญนี้ประเทศจีนยังได้บรรจุงานเขียนนี้ไว้ในหนังสือเรียนภาษาจีนภาคบังคับอีกด้วย
ในวรรณกรรมสามก๊ก 《三国演义》ตอนที่ 37 ก็ระบุถึงข้อความ “淡泊以明志。宁静而致远。” ปรากฏอยู่ที่กระท่อมขงเบ้งด้วย
เเละในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง สามก๊ก 1994 ฉากกระท่อมขงเบ้ง ก็ใส่รายละเอียดนี้ลงไปด้วยเช่นกัน (ชมภาพในลิงก์)
https://www.facebook.com/.../a.7737310194.../530673427068992
夫君子之行,
อันวัตรแห่งวิญญูชนนั้น
静以修身,
พึงใช้ความสงบในการบำเพ็ญตน
俭以养德。
ใช้ความประหยัดในการเสริมคุณธรรม
非淡泊无以明志,
ด้วยหากมิสมถะก็จะมิอาจแจ้งในปณิธาน
非宁静无以致远。
หากมิสงบก็จะมิอาจตรองการณ์ไกล
夫学须静也,
ดังนั้นในด้านการศึกษาพึงมีความสงบ
才须学也,
ในด้านความสามารถพึงมีการศึกษา
非学无以广才,
หากมิศึกษาก็จะมิเพียบพร้อมซึ่งความสามารถ
非志无以成学。
หากไร้ปณิธานก็จะมิอาจสำเร็จในการศึกษา
淫慢则不能励精,
หากเลื่อนลอยก็จะไร้ความวิริยะ
险躁则不能治性。
และหากรุ่มร้อนก็จะมิอาจขัดเกลาจิต
年与时驰,
ด้วยอายุจะหมดไปตามกาล
意与日去,
ส่วนจิตใจจะร่อยหลอไปตามวาร
遂成枯落,
สุดท้ายก็จะมีแต่ความเหี่ยวเฉา
多不接世,
มิอาจตามทันยุคสมัยจนไร้ค่า
悲守穷庐,
และต้องมาเฝ้ากระท่อมโทรมระทมใจ
将复何及!
ถึงเพลานั้นก็คงสายเกินไปแล้วแล
ผู้เขียน จูเก่อเลี่ยง (ขงเบ้ง)
แปลและเรียบเรียงโดย อมร ทองสุก
ที่มา https://www.facebook.com/sanguo.1994/posts/1147343448735317/?paipv=0&eav=AfYsg8pYJGgYxqFsVmJ3TppW0IwqUJKqxvvTdBY-i-SayDAEBAmfIbhxmFWv82Ei34U&_rdr