CD บทที่ 499 เลเวลอัพ
การเดินออกไปของจ้าวหยู่ มันดูไม่ต่างจากการตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเลย เพราะตัวเขาเป็นพยานซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาชญากรที่เสียชีวิต นั่นหมายความว่าเขาต้องได้รับอนุญาตเสียก่อนถึงจะเดินออกไปได้
ในความเป็นจริง เหตุผลที่แท้จริงที่เสี่ยวจางบอกจินเหม่ยให้ดูแลเขา จริง ๆ แล้วก็เพื่อคอยจับตาดูเขาไม่ให้ไปไหน อย่างไรก็ตาม จินเหม่ยไม่กล้าพอที่จะห้ามปรามจ้าวหยู่
นอกจากนี้ จากสิ่งที่จ้าวหยู่ได้วิเคราะห์กับเธอก่อนหน้านี้ ทำให้หญิงสาวตกตะลึงอย่างมาก ในสายตาของเธอ จ้าวหยู่เป็นนักสืบที่ยอดเยี่ยม แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตัวเธอที่ชื่นชมเขามากขนาดนี้ เธอจะกล้าขัดความตั้งใจของจ้าวหยู่ได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้าวหยู่มาถึงโถงส่วนกลางของสถานีรุ่ยหยาง เขาก็เดินเข้าไปเจอเหมาเว่ย
"เฮ้? จ้าวหยู่?“เหมาเว่ยเห็นจ้าวหยู่ก็ผ่อนคลายลงทันที เขารีบเดินเข้ามาถามด้วยความกังวลว่า”เป็นยังไงบ้าง? คุณสบายดีไหม? ฉันได้ยินมาว่าคุณเกือบตายจากการตกตึก!”
“เหมา? ทำไมคุณถึงมาที่นี่?” จ้าวหยู่รู้สึกประหลาดใจ
“มันเป็นเรื่องร้ายแรง ฉันจะไม่มาได้อย่างไร? อันที่จริง ไม่ใช่แค่ฉันหรอกนะ ผู้การหลันก็กำลังจะมาด้วยเหมือนกัน” เหมาเว่ยรีบพูด “เร็วเข้า บอกฉันหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น? คนที่คุณไล่ตาม เขาเป็นฆาตกรหรือเปล่า? แล้วคนสองคนที่ตกลงมาจากโรงพยาบาลทันตกรรม พวกเธอเป็นใคร?”
“อืม…” จ้าวหยู่ต้องการอธิบาย แต่ถูกขัดจังหวะเมื่อประตูทางเข้าหลักถูกผลักออก เผยให้เห็นกลุ่มคนจำนวนมากมาจากด้านนอก
เมื่อมองดูคนกลุ่มคนผู้มาใหม่ จ้าวหยู่ก็จำได้ว่าพวกเขามาจากแผนกสืบสวนของเทศบาล ซึ่งหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ รองผู้กอง หวังเซินเหยา!
“จ้าวหยู่!? คุณอีกแล้วเหรอ!?” เมื่อเห็นจ้าวหยู่ยืนคู่กับเหมาเว่ย หวังเซินเหยาก็ทักทายเขาด้วยถ้อยคำหยาบคาย “ทำไมคุณถึงโผล่มาทุกที่อย่างนี้นะ? คุณควรจะไปหาหมอดูนะ เพราะเวลาคุณไปที่ไหนก็จะมีแต่คนตาย ไม่ต่างหากจากตัวซวยเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จ้าวหยู่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการรับมือคนที่เขาเกลียดอยู่แล้ว แม้เขาจะพูดถากถางด้วยคำพูดที่รุนแรงจากหวังเซินเหยา เขาก็ยังคงสงบและพูดตอบกลับไปว่า
“ใช่แล้ว รองผู้กองหวัง คุณพูดถูกทุกอย่างเลย มันเลยทำให้ฉันคิดจะไปเยี่ยมคุณที่บ้านของคุณทุกวี่ทุกวันเลย เพื่อดูว่าคนในครอบครัวของคุณจะตายโหงไปตอนไหน!”
“หนอย! ว่าไงนะ!”
ไม่ว่าหวังเซินเหยาจะใจเย็นมากแค่ไหน แต่เขาก็ถูกยั่วยุจากจ้าวหยู่อย่างง่ายดาย เขาถึงกับเลือดขึ้นหน้า และอยากจะชกต่อยจ้าวหยู่ให้รู้แล้วรู้รอด
เหมาเหว่ยกับหวังเซินเหยาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานของจ้าวหยู่ที่แผนกสืบสวนด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถยืนอยู่เฉย ๆ ได้ เขาเห็นว่าหวังเซินเหยากำลังเดือดพล่านด้วยความโกรธ ดังนั้นเขาจึงรีบเข้ามาหยุดเขา
“จ้าวหยู่! เจ้าสารเลว! ฉันจะรอดูว่าน้ำหน้าอย่างแกจะทำตัวเย่อหยิ่งแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน! เมื่อวันนั้นมาถึงฉันจะเป็นคนแรกที่มาสมน้ำหน้าแก!”
หวังเซินเหยาโกรธมาก
หวังเซินเหยาได้นำทีมของเขาเองไปด้วย คนเหล่านี้มีความถือตัวสูงมาก และทันทีที่พวกเขาเห็นว่าหัวหน้าของพวกเขาถูกจ้าวหยู่เยาะเย้ย พวกเขาทุกคนก็ถูกำปั้นของตนพร้อมที่จะต่อยจ้าวหยู่ พวกเขารอแค่คำสั่งของหวังเซินเหยาเท่านั้น
แต่หวังเซินเหยาไม่มีเหตุผลที่จะเรียกใช้กำลังเสริม หากพวกเขาจะโจมตีเพื่อนร่วมงานโดยไม่มีเหตุผล มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะหาคำอธิบายมาแก้ตัว
อย่างไรก็ตาม เขาถูกจ้าวหยู่เยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมความโกรธของเขาไว้
“มัวรออะไรอยู่! แน่จริงก็เข้ามาเส่!” จ้าวหยู่ยิ้มอย่างดูถูกและพูดว่า “คุณอยากต่อสู้กับฉันแบบตัวต่อตัวเหรอ? ได้ ฉัน จ้าวหยู่ ยอมรับคำท้า! แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ คุณต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของคุณเอง! และก็อย่าไปงอแงร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างพวกหน้าไม่อายด้วยล่ะ!”
"หยุด! พวกคุณอย่าทะเลาะกันเลย!" เหมาเว่ยยืนอย่างงุ่มง่ามอยู่ระหว่างชายสองคน เขาดึงหวังเซินเหยาออกไป ขณะที่พยายามโน้มน้าวจ้าวหยู่
“จ้าว เรามาถอยกันคนละก้าวดีกว่านะ เราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน แล้วทำไมเราถึงต้องสู้กันด้วยล่ะ?” จากนั้น เขาก็หันกลับมาและบอกหวังเซินเหยาว่า “การสืบสวนคดีนี้สำคัญมาก ค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จากันดีกว่า”
"ได้สิ!" จ้าวหยู่เห็นด้วย แล้วเขาก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย “เหมาว่าไง ฉันก็ว่าตามนั้น!”
แม้ว่าจ้าวหยู่จะพูดอย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาคิด มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
‘ไร้สาระ! ฉันไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ทำไมฉันต้องถอยด้วย!’?
เมื่อฟังคำโน้มน้าวของเหมาเว่ย หวังเซินเหยาก็ระงับความโกรธและกัดฟันแน่น จากนั้นพูดกับจ้าวหยูว่า
“ก็ได้ ไว้ฉันจะจัดการกับแกทีหลัง หวังว่าพอถึงเวลานั้นแกคงไม่วิ่งหนีหางจุกตูดไปไหนนะ!”
"ก็ได้! ฉันจะรอ! วะฮ่าฮ่า!” จ้าวหยู่ตะโกนขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นเดินผ่านกลุ่มหวังเซินเหยาอย่างหยิ่งผยอง
แม้ว่าพวกเขาจะถูกยั่วยุด้วยความเย่อหยิ่งของจ้าวหยู่ แต่พวกเขาก็ยังเคยได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมในอดีตของจ้าวหยู่มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อสู้กับนักสืบในตำนานคนนี้ได้หรือไม่?
จากนั้น เมื่อเห็นจ้าวหยู่กำลังเดินออกจากทางเข้าหลัก หวังเซินเหยาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมา
"เฮ้!? เดี๋ยวนะ! จ้าวหยู่เป็นพยานคนสำคัญไม่ใช่เหรอ!? เขากำลังจะไปไหน!? เขาไปจากที่นี่ไม่ได้! เร็วเข้า! รีบตามเขากลับมา!”
ขณะที่กลุ่มนักสืบกำลังจะไปไล่ตามเขา เหมาเว่ยก็ตะโกนออกมา
"หยุดก่อน!" เหมาเว่ยหยุดพวกเขาทันที “อย่าตามเขาไป ฉันไปเอง ฉันไปเอง! หวัง คุณทำหน้าที่ของคุณต่อไป ส่วนฉันจะคุยกับจ้าวให้…”
ขณะที่พวกเขาพูด เหมาเว่ยส่งสัญญาณตาให้หวังเซินเหยา โดยบอกว่าอย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่!
หวังเซินเหยาทำได้เพียงอดกลั้นและกัดฟันเท่านั้น จากนั้นเขาก็นำทีมของเขาออกไป แม้ว่าจะค่อนข้างจะไม่เต็มใจก็ตาม
เหมาเว่ยแสดงความปรารถนาดีต่อพวกเขาจริง ๆ เพราะเขารู้ดีว่าด้วยนิสัยของจ้าวหยู่ ใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างหยาบคาย มันจะไม่จบลงด้วยดีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาต้องมาเป็นคนกลางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สักพักเหมาเว่ยก็ตามจ้าวหยู่ทัน โดยจ้าวหยู่กำลังเดินผ่านลานจอดรถ เขารีบคว้าแขนของจ้าวหยู่และโน้มน้าวว่า
"จ้าว ฟังฉันนะ ไม่เพียงแต่ผู้การหลันของเราจะมาเท่านั้น แต่ผู้นำระดับสูงจากเทศบาลก็จะมาที่นี่เช่นกัน! คดีนี้เป็นคดีใหญ่! ตอนนี้คุณเป็นคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงแล้ว ถ้าคุณไม่อยู่ที่นี่ มันจะทำให้ผู้การหลัน และสถานีหรงหยางทั้งหมดต้องอับอาย”
"ฉันรู้" จ้าวหยู่รู้ว่าเหมาเว่ยเจตนาดี นอกจากนี้ เขายังต้องการรอจนกว่าเสี่ยวจางและทีมของเขาจะจับกุมอ้ายหลี่หลี่เพื่อที่เขาจะได้สอบปากคำเธอเกี่ยวกับเฟิงกั๋ว
ดังนั้น จ้าวหยู่พยักหน้าและพูดว่า
"เหมา ฉันไล่ตามฆาตกรมาตลอดทั้งเย็นและเกือบเอาตัวไม่รอด พอดีฉันเห็นว่ามีโรงอาบน้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม ขอให้ฉันไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อย และฉันจะรีบกลับมา ขอให้คุณวางใจได้เลย!”
“เยี่ยมมาก!” ในที่สุด เหมาเว่ยก็ผ่อนคลายลง
“เฮ้ เหมา หวังเซินเหยาและลูกน้องของเขามาทำอะไรที่นี่?” จ้าวหยู่ถาม
“ที่นี่เป็นสถานีเล็ก ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่จะจัดการกับคดีดังกล่าวด้วยตัวเอง” เหมาเว่ยตอบ “และเนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง ทางเทศบาลจึงแสดงความกังวลออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหน่วยสืบสวนของเทศบาลมาช่วยในการสืบคดีนี้”
เหมาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกให้จ้าวหยู่ไปทำธุระของเขาต่อ
"ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวล คุณรีบไปล้างเนื้อล้างตัวเถอะ และกลับมาให้เร็วที่สุดด้วยนะ ฉันช่วยคุณได้ไม่มากหรอกนะ ฉันจะบอกพวกเขาว่าคุณได้รับบาดเจ็บ และคุณต้องไปทำแผล”
"ตกลง! งั้นฉันไปล่ะ” จ้าวหยู่ยกมือขึ้นบนกำปั้นอีกข้างหนึ่งแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยให้เหมาเว่ย จากนั้น เขาก็ขับรถแลนด์โรเวอร์ไปยังโรงอาบน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ
...
ไม่กี่นาทีต่อมา จ้าวหยู่ก็ก้าวย่างก้าวใหญ่เข้าไปในสระน้ำ ซึ่งปล่อยไอน้ำอุ่นอันแสนวิเศษกระจายไปทั่ว
“อา…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำในสระที่อุ่นและสบายมาก จ้าวหยู่จึงยืดคอของเขาแล้วถอนหายใจยาว
‘ในที่สุดก็ได้พักซะที!’
‘ระบบ คุณกำลังพยายามทำอะไรอยู่? คุณทำให้ฉันกลัวแทบตาย ถ้าไม่ใช่เพราะฉันใช้งานเครื่องบินล่องหนทันเวลา ฉันคงตายไปแล้ว!’
เมื่อพูดถึงเครื่องบินล่องหน จ้าวหยู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย เครื่องบินลำนั้นถูกมอบให้เขาหลังจากที่เขาไขคดีเทวรูปทองคำ กว่าเขาจะไขคดีสำเร็จ เขาต้องเสี่ยงตายตลอดเวลา
‘ฉันอยากจะเก็บมันไว้ใช้ในโอกาสพิเศษ แต่สุดท้ายฉันก็ต้องใช้มันเพื่อเอาตัวรอดจากการตกจากที่สูงเท่านั้น! แถมฉันยังไม่ได้อวดมันให้คนอื่นเห็นด้วย! โธ่เอ๊ย! น่าเสียดายจริง ๆ!’
จ้าวหยู่รู้สึกขมขื่นจริง ๆ แต่ในระหว่างนั้น เขารู้สึกแปลก ๆ ในหัวของเขา เมื่อเขามองอย่างระมัดระวัง เขาก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่าแต้มที่เขาสะสมไว้ห้าสิบแต้มก่อนหน้านี้ ณ ตอนนี้ มันเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดแต้ม!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในระหว่างภารกิจรอง เขาได้รับแต้มสะสมหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดแต้ม!
ไม่เพียงเท่านั้น แต้มหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดนั้น มันกำลังกระพริบอยู่!
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้าวหยู่จึงกดไปที่มันโดยตรง จากนั้นก็มีป๊อปอัปจากระบบแจ้งว่า
“การเลื่อนระดับจะต้องมีแต้มสะสม 100 แต้ม คุณต้องการที่จะเพิ่มเลเวลเป็นเวอร์ชั่น 1.0 หรือไม่?”
มีแม้กระทั่งปุ่ม ‘ใช่/ไม่ใช่’ เพื่อยืนยัน
จ้าวหยู่ตะลึงพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง!