บทที่ 142 ประลองหลอมโอสถกับข้าเป็นอย่างไร
ระหว่างนั้น เฉิงเป้ยเป้ยซึ่งทนไม่ได้กับวาจาของหยางเสี่ยวเทียน นางจึงอดสงบปากไม่ได้
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้ากล่าวราวกับว่าตัวเจ้าเองสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ได้ ตามความเห็นข้า ไม่ต้องกล่าวถึงระดับสวรรค์ แม้แต่โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับต่ำสุด เจ้าก็คงหลอมไม่ได้”
ขณะที่เผิงจื้อกังกำลังจะกล่าว จู่ๆ เฉิงเป้ยเป้ยก็กระโดดร่อนลงกลางโถง แล้วชี้กระบี่ไปที่หยางเสี่ยวเทียน
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้ามิได้อ้างว่าตนเป็นนักกระบี่ผู้มีฝีมือสูงส่งหรอกหรือ? เช่นนั้น ไม่ลงมาชี้แนะเพลงกระบี่ให้ข้าสักสองสามกระบวนเป็นอย่างไร”
หยางเสี่ยวเทียนขมวดคิ้ว ไม่คิดว่านางจะกล้าท้าทายเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
“มัวลังเลอะไรอยู่เล่า หรือว่าเจ้ามิกล้า” เฉิงเป้ยเป้ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
จากนั้นนางกล่าวว่า “เจ้าเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งตำหนักกระบี่ แต่ยามนี้กลับมิกล้าประมือกับศิษย์ปีหนึ่ง เช่นข้าหรืออย่างไร”
“ข้าหรือจะไม่กล้า” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวว่า “เพียงเพลานี้ เป็นงานเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านเจ้าเมืองเผิงจื้อ ข้าเกรงว่าหากทุบตีเจ้าจนกระอักเลือด จะทำให้โถงสกปรกก็เท่านั้นเอง”
ทันทีที่เฉิงเป้ยเป้ยได้ยินสิ่งนี้ นางก็พลันเดือดพล่านด้วยบันดาลโทสะ ปราณแท้ขั้นเซียนสวรรค์ของนางโคจรไปทั่วร่าง แล้วระเบิดออกมาทันใด
“ขั้นเซียนสวรรค์!”
“องค์หญิงสี่ ได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์แล้ว”
“องค์หญิงสี่ เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง แต่กลับทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์แล้ว พรสวรรค์เช่นนี้นับว่าน่าทึ่งทีเดียว”
สีหน้าและแววตาของผู้คนในโถง ต่างมองนางเป็นตาเดียวด้วยความประหลาดใจยิ่ง
ไม่ถึงอึดใจ เฉิงเป้ยเป้ยก็กระโจนขึ้นสูง แล้วแทงกระบี่ในมือเข้าหาหยางเสี่ยวเทียน ที่กำลังนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ทันที “หยางเสี่ยวเทียน รับกระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ของข้าไปเสีย”
ท่วงท่าและความรวดเร็วของเพลงกระบี่นั้นยอดเยี่ยมมาก มันแตกต่างจากการเคลื่อนไหวของขั้นนักยุทธ์อย่างสิ้นเชิง
หลังนางทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ ความแข็งแกร่งของเฉิงเป้ยเป้ยก็เพิ่มขึ้นอย่างทวี
เพลงกระบี่นี้ เป็นเพลงกระบี่ขั้นเซียนสวรรค์ที่นางเพิ่งฝึกฝนมาหมาดๆ
ด้วยเพลงกระบี่ผสานกับพลังยุทธ์ขั้นเซียนสวรรค์ นางจึงมาดมั่นว่ากระบี่นี้จะสามารถเอาชนะหยางเสี่ยวเทียนได้
ด้วยปลายกระบี่อันแหลมคม เฉิงเป้ยเป้ยต้องการจะแทงหยางเสี่ยวเทียนเข้าที่หน้า
หากกระบี่นี้ของนาง แทงเข้าที่ใบหน้าของหยางเสี่ยวเทียน ศีรษะของเขาจะต้องถูกทะลวงเป็นรูแน่นอน
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวนี้ เผิงจื้อกังก็พลันลุกปรี่หมายเข้าห้าม แต่มันก็สายไป เพราะปลายกระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ยอยู่ห่างจากใบหน้าหยางเสี่ยวเทียนไม่ถึงฉื่อ
ทันใดนั้น หยางเสี่ยวเทียนผู้กำลังนั่งนิ่งสนใจเพียงจอกสุราในมือ ก็ยกมืออีกข้างหยุดปลายกระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ยด้วยสองนิ้วทันที
ผู้คนโดยรอบที่เห็นฉากนี้ ต่างพากันตกตะลึง เมื่อเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนหยุดกระบี่ของเฉิงเป้ยเป้ยไว้ได้ โดยใช้เพียงสองนิ้วเท่านั้น
ไม่ถึงลมหายใจ หยางเสี่ยวเทียนก็ยืนขึ้นแล้ววาดเท้าไปด้านหลัง ก่อนเหวี่ยงกลับมาด้วยความเร็ว
“ระวัง!”
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวนี้ ใบหน้างามของเฉินจื่อหานก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียว พร้อมแผดเสียงตะโกนเตือนดังลั่น
สิ้นเสียง นางก็เห็นเพียงร่างเฉิงเป้ยเป้ย ถูกหยางเสี่ยวเทียนเตะลอยละล่องออกไปอีกครั้ง
มิเพียงร่างเล็กของนางเท่านั้น แม้แต่กระบี่ในมือนางก็กระเด็นหลุดออกมาด้วยเช่นกัน
เฉิงเป้ยเป้ยถูกเตะอย่างแรง จนลอยกระแทกลงกลางพื้นโถง ครั้นนางขยับตัวก็ถึงกับกระอักโลหิตออกมา
“องค์หญิง!”
“เป้ยเป้ย!”
บรรดาองครักษ์ที่อยู่ล้อมรอบเฉินจื่อหาน ต่างวิ่งกรูกันออกไปกลางโถงพยุงร่างเล็กของเฉิงเป้ยเป้ย กระทั่งมิเหลือเค้าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์
เหตุการณ์ไม่คาดคิดในครานี้ พานให้ทุกคนต่างรู้สึกตกใจกันถ้วนหน้า ยืนมองตัวแข็งทื่อราวกับไก่ไม้
ผู้ใดก็มิกล้าจินตนาการว่า นางผู้เป็นถึงองค์หญิงจะถูกเตะปลิวออกไปราวกับเศษผ้าเช่นนี้
แม้ผู้คนจะรับรู้ดี ว่าพรสวรรค์ด้านกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนสูงส่งเพียงใด หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามันจะสูงส่งแลแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
แม้แต่เผิงจื้อกังเอง ก็ยังลอบตระหนกใจ
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนลงมือเมื่อครู่ เขาสัมผัสได้อย่างถนัดชัดตา ว่านั้นเป็นพลังขั้นนักยุทธ์ระดับสิบอย่างแน่นอน แต่ไฉนกลับทำร้ายเฉิงเป้ยเป้ยผู้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ จนร่างละลิ่วออกไปได้ง่ายดายเช่นนี้
“ท่านเจ้าเมืองเผิง ข้าต้องขออภัยที่ทำให้โถงของท่านต้องสกปรก” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวกับเผิงจื้อกัง
แต่ทว่า ระหว่างที่เผิงจื้อกังกำลังจะเปิดปากกล่าว เฉินจื่อหานซึ่งอยู่ขณะตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเฉิงเป้ยเป้ย ก็ชี้นิ้วไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยความโกรธอย่างยิ่งยวด
“หยางเสี่ยวเทียน เจ้าเป็นบุรุษไฉนกลับทำร้ายสตรีได้อย่างหน้าไม่อาย เจ้าเป็นคนเช่นไรกัน!”
“หากเจ้ามั่นใจว่าตนนั้นมีความสามารถจริง ก็มาประลองหลอมโอสถกับข้าหน่อยเป็นอย่างไร!”
หยางเสี่ยวเทียนเหลือบมองยังเฉินจื่อหานด้วยแววตาอันเย็นยะเยียบ เห็นได้ชัดว่า เฉิงเป้ยเป้ยเป็นผู้ลงมือทำร้ายเขาก่อน แล้วเขาผู้นั่งอยู่อย่างสงบ ต้องปล่อยให้นางแทงกระบี่ใส่เขากระนั้นหรือ
เมื่อได้ยินเฉินจื่อหานท้าทายเขาประลองหลอมโอสถ สีหน้าหยางเสี่ยวเทียนก็พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเอ่ยถามขึ้นอย่างเย็นชาทันที
“เจ้าอยากประลองหลอมโอสถกับข้าเช่นนั้นหรือ”
“ถูกต้อง!” เฉินจื่อหานเผยยิ้มเยาะ
“หรือเจ้าไม่กล้า? ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่รู้วิธีการปรุงโอสถเสียด้วยซ้ำ ข้าได้ยินเป้ยเป้ยเล่าว่าก่อนหน้านี้ เจ้าแสร้งทำเป็นนักปรุงโอสถของหอสมาคมนักปรุงโอสถของเรามิใช่หรือ? หึ!”