บทที่ 141 ไฉนเจ้าไม่ร่ำเพลงกระบี่ให้เราได้เห็น
เมื่อเผิงจื้อกังเห็นว่า แขกที่เขาได้ส่งคำเชิญมากันเกือบจะครบแล้ว เขาก็พลันประกาศเริ่มงานเลี้ยงฉลองทันที
เขายกจอกสุราในมือขึ้น แล้วกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วม พร้อมกับยื่นมือแสดงความใจกว้าง โดยให้ทุกคนกินดื่มได้อย่างเต็มที่ในคืนนี้
หลังกินดื่มแล้วสนทนากันไปได้สักพัก เผิงจื้อกังก็ยกจอกสุราขึ้นอีกครั้งแล้วหันไปยิ้มให้กับหยางเสี่ยวเทียนอย่างจริงใจ
เขากล่าวว่า “ด้วยพรสวรรค์ด้านกระบี่อันโดดเด่นของคุณชายหยางนั้น ยากจะหาผู้ใดเทียบได้ ข้าเผิงจื้อกังรู้สึกประทับใจยิ่งนัก มาๆ ข้าขอดื่มอวยพรให้กับท่านหนึ่งจอก”
เหตุผลที่เขากล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า ทุกครั้งที่หยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่ เขาจะคอยเฝ้าดูมันอยู่ที่จวนจากระยะไกลเสมอ
อาจกล่าวได้ว่า เขาคลั่งไคล้ในตัวของหยางเสี่ยวเทียนมากก็ได้
“มิกล้าๆ ท่านเจ้าเมืองชมกันเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็ขอดื่มอวยพรให้กับท่านเช่นกัน” หยางเสี่ยวเทียนยกจอกสุราขึ้น แล้วดื่มพร้อมกับเจ้าเมืองอย่างสุภาพ
เติ้งอี้ชุนถึงกับตะโกนขึ้นในใจอย่างลับๆ เมื่อเขาเห็นเผิงจื้อกังยกย่องหยางเสี่ยวเทียน เรื่องพรสวรรค์ด้านกระบี่ที่ไม่มีผู้ใดเทียบ
ในระหว่างการสนทนา จู่ๆ หลัวจวิ้นเผิงก็กล่าวขึ้นว่า “ทุกท่าน ข้าสงสัยว่าพวกท่านได้ยินถึงข่าวนี้กันหรือยัง เรื่องที่ว่านักปรุงโอสถลึกลับคนนั้น ขายโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์ยี่สิบหกเม็ด ให้กับทางสมาคมการค้าเฟิงยวินไม่นานมานี้”
“ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้อยู่บ้าง แม้แต่อาณาจักรโดยรอบกระทั่งมหาอำนาจหลายจักรวรรดิที่ทราบข่าวนี้ ก็ต่างต้องการตัวของบุคคลนี้เช่นกัน ทั้งยังเสนอราคาค่าตัวที่สูงลิ่วอีกด้วย!” หูซิงกล่าวตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เผิงจื้อกังทอดถอนใจกล่าวว่า “ผู้ประเมินคุณภาพโอสถของสมาคมการค้าเฟิงยวินกล่าวไว้ว่า โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์ทั้งยี่สิบหกเม็ด ล้วนได้รับการหลอมขึ้นมาภายในเดือนนี้”
จากนั้นเผิงจื้อกังกล่าวเสริม “เนื่องจากโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์ทั้งยี่สิบหกเม็ด ถูกล้อมขึ้นใหม่ในหนึ่งเดือน ข้าคิดว่าทักษะการหลอมของบุคคลนี้ต้องสูงส่งอย่างแน่นอน!”
ทุกคนในโถงกลางจวนเจ้าเมือง ต่างสนทนาถึงเรื่องนี้กันอย่างโกลาหล เนื่องจากโอสถเหล่านั้น ล้วนเป็นโอสถขั้นเซียนเทียน แถมยังหลอมขึ้นได้ ในขั้นระดับสวรรค์อีกต่างหาก
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขากลับสามารถหลอมมันได้ตั้งยี่สิบหกเม็ด แม้นจะนำนักปรุงโอสถจากทั่วทั้งอาณาจักรเสินไห่ ก็หามีบุคคลที่สามารถทำเช่นนี้ได้ไม่
เสียงฮือฮาของทุกคนในโถง ต่างสนทนาไปในทิศทางเดียวกัน
อีกเหตุผลที่ทำให้เติ้งอี้ชุน หลัวจวิ้นเผิง และคนอื่นๆ มายังเมืองแห่งนี้ ก็คือเรื่องโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์เหล่านี้นั่นเอง
สำหรับนักปรุงโอสถแล้ว มันจะถือเป็นเกียรติอันสูงสุด หากได้พบปะและแลกเปลี่ยนความรู้ กับปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้มีทักษะการหลอมที่น่ากลัวเช่นนี้
“ข้าเคยได้ยินมาว่า นักปรุงโอสถลึกลับคนนี้แทนนามตนเองว่าใต้เท้าหลง” เฉินจื่อหานเปิดริมฝีปากอวบอิ่มขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ
“เป็นไปได้ไหมว่า บุคคลนี้อาจเป็นปรมาจารย์จากเผ่ามังกร!” นางกล่าวเสริมพร้อมความสงสัยประกายอยู่ในดวงตาอันงดงาม
“ข้าก็คิดเช่นนั้น มีความเป็นไปได้ที่บุคคลนี้อาจเป็นปรมาจารย์ของเผ่ามังกร เนื่องจากเขาสวมหน้ากากมังกร อีกทั้งยังมีทักษะการล่องหนที่ไม่ธรรมดา” จางตงหัวหน้าตระกูลจางกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่า เขาสามารถอำพรางกายในเงามืดแล้วหายตัวไปได้ในพริบตาเช่นกัน ความสามารถนี้นับว่าน่ากลัวยิ่งนัก” เขากล่าวเสริม
ตระกูลจางเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่แห่งเมืองเสินเจี้ยน และตัวจางตงเอง ยังถือเป็นหนึ่งในวิญญาจารย์ผู้แข็งแกร่งสุด ของเมืองเสินเจี้ยนอีกต่างหาก
ทุกคนในโถงหลักยามนี้ ต่างกำลังสนทนาถึงนักปรุงโอสถลึกลับนามใต้เท้าหลง อย่างมิอาจสงบปากสงบคำลงได้
บ้างก็เอ่ยขึ้นว่าใต้เท้าหลงเป็นปรมาจารย์นักปรุงโอสถผู้ไม่มีใครเทียบได้
บ้างก็บอกว่าใต้เท้าหลงเป็นชายแก่ เนื่องจากทุกครั้งที่เขาสนทนากับเหวินจิงอวี๋ น้ำเสียงของเขาแหบแห้งฟังดูคล้ายกับคนชรา
ท่ามกลางเสียงสนทนาอย่างอึกทึก หยางเสี่ยวเทียนที่ได้ฟังความเห็นต่างๆ จากผู้คนรอบข้าง ก็สายศีรษะพลางยิ้มกริ่ม
หลังจากยกจอกสุราดื่มไปแล้วสามรอบ จู่ๆ เติ้งอี้ชุนก็นึกสนุกอะไรได้บางอย่าง
“ข้าได้ยินมาว่า พรสวรรค์ด้านกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนนั้น ยากจะหาผู้ใดเปรียบ ความสามารถเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งในอาณาจักรเสินไห่เรา อาจเรียกได้ว่าพันปีจะมีสักคน แม้แต่ศิลากระบี่ของสำนักเสินเจี้ยน ก็สามารถหยั่งรู้เมื่อใดก็ได้ดั่งใจนึก” เขากล่าวขึ้นอย่างเสแสร้ง
จากนั้นเติ้งอี้ชุนจึงหันกล่าวกับหยางเสี่ยวเทียนด้วยรอยยิ้ม แล้วชี้ไปยังกลางโถง “วันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองนับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่ง ไฉนเจ้าไม่ร่ำเพลงกระบี่ให้เราได้เห็นสักเพลงสองเพลง ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาให้พวกเราทุกคน เจ้าเห็นเป็นอย่างไรเล่า”
วาจานั้นของเติ้งอี้ชุน ถึงกับทำให้ผู้คนในงานเฉลิมฉลองต่างหยุดชะงัก พร้อมส่งสายตาเหลียวมองด้วยความสนใจเป็นที่สุด
ฉากที่มีชีวิตชีวา ผู้คนร่ำสุราสนทนาอย่างสนุกสนานแต่เดิม ยามนี้นั้นเงียบสงัดไร้ซึ่งซุ่มเสียงผู้ใด
ร่ำเพลงกระบี่สักเพลงสองเพลงงั้นรึ?
เมื่อเห็นเติ้งอี้ชุนใช้น้ำเสียงสุภาพขอให้เขาร่ายรำกระบี่ แต่คำเหล่านี้ล้วนแฝงไปด้วยความหยาบคาย ราวกับเห็นเขาเป็นเพียงผู้ให้ความเพลิดเพลินในงานเลี้ยงฉลอง หยางเสี่ยวเทียนจึงกล่าวถามออกไปอย่างเฉยเมย
“มิทราบว่า คุณชายท่านนี้เป็นใคร”
คุณชายท่านนี้เป็นใครงั้นหรือ?
วาจาของหยางเสี่ยวเทียนทำเอาผู้คนถึงกลับตกตะลึง เนื่องจากไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเติ้งอี้ชุนที่กล่าวเมื่อครู่
ยามนี้ ใบหน้าของเติ้งอี้ชุนดูบูดบึ้งน่าเกลียดเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ เพราะสิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนกล่าวทำให้เขาต้องอับอาย
หลัวจวิ้นเผิง รองประธานสำนักหยุนไห่กล่าวทันที “นี่คือคุณชายเติ้งอี้ชุน หัวหน้าศิษย์ประจำสำนักยวินฮุยของเรา และเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสอู๋ฉี นักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่”
“เช่นนี้นี่เอง แท้จริงแล้วคุณชายเป็นถึงศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสอู๋ฉี นักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่แห่งอาณาจักรเสินไห่ของเรานี่เอง” หยางเสี่ยวเทียนกล่าวน้ำคำสุภาพ
จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ทักษะการหลอมโอสถของคุณชายเติ้งต้องสูงส่งแลเก่งกาจมากทีเดียว และคุณชาย คงต้องสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ได้แน่ ไฉนไม่ลองแสดงทักษะการหลอมโอสถเพื่อเปิดหูเปิดตาพวกเราหน่อยเป็นอย่างไร”
เติ้งอี้ชุนแทบสำลัก ไม่คิดว่าเขาผู้ที่ไล่ต้อนก่อนหน้า จะกลายเป็นผู้ถูกต้อนเสียเอง
แม้แต่อาจารย์ของเขา ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ได้สิบส่วนทุกครั้งไป ยิ่งเป็นเขาด้วยแล้วไม่ต้องกล่าวถึงเลย