บทที่ 140 ข้าจะสะสางความแค้นนี้ด้วยตัวเอง
หยางเสี่ยวเทียนโบกมือกล่าว “อย่าได้ใส่ใจ ท่านเจ้าเมืองเผิงถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
“คุณชายหยางช่างใจกว้างยิ่งนัก” เผิงจื้อกังรู้สึกโล่งใจขณะผายมือต้อนรับหยางเสี่ยวเทียนเข้ายังจวนอย่างสุภาพมาก
ด้วยการกระทำเช่นนั้นของท่านเจ้าเมือง ยิ่งพานให้เฉิงเป้ยเป้ยโกรธมากขึ้น เมื่อนางเห็นว่าเผิงจื้อกัง เมินเฉยไม่เอาความต่อหญิงสาวผู้ติดตามของหยางเสี่ยวเทียน
ทั้งที่องครักษ์คนหนึ่งของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส เขากลับไม่ให้ความเป็นธรรมต่อนาง แต่กลับเชิญหยางเสี่ยวเทียนเข้าไปในจวนอย่างสุภาพ และยังเพิกเฉยต่อผู้เป็นองค์หญิงอย่างนาง สิ่งนี้จะมิทำให้นางยิ่งรู้สึกคุกรุ่นด้วยความแค้นเคืองได้อย่างไร
“หยางเสี่ยวเทียน ฝากไว้ก่อน ข้าไม่จบกับเจ้าเพียงเท่านี้แน่!” เฉิงเป้ยเป้ยมองหยางเสี่ยวเทียน ผู้กำลังเดินเข้าไปยังจวนเจ้าเมืองด้วยความเกลียดชังเป็นที่สุด
ครั้นเห็นสีหน้านางเป็นเช่นนั้น หูซิงจึงกล่าวปรามขึ้น “วันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองเนื่องในวันเกิดของท่านเจ้าเมืองเผิง องค์หญิงไว้เราค่อยคิดบัญชีกับหยางเสี่ยวเทียนทีหลัง”
ในฐานะเจ้าเมืองเสินเจี้ยน เผิงจื้อกังหาใช่เจ้าเมืองธรรมดาทั่วไป บางครั้งแม้แต่จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเสินไห่ ก็ยังต้องแสดงไมตรีต่อเขา
หากพวกเขาก่อความวุ่นวายในงานเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านเจ้าเมือง อาจทำให้เผิงจื้อกังไม่พอใจและจงเกลียดจงชังพวกเขาก็เป็นได้
หลังได้ฟังวาจาของหูซิง เฉิงเป้ยเป้ยก็พลันตะคอกใส่อย่างเย็นชา “นี่มันความแค้นส่วนตัวข้า หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องยื่นมือเข้ามาแส่ไม่!” จากนั้นนางก็เข้าไปในจวนเจ้าเมืองพร้อมกับกลุ่มฝูงชน
แม้นคำพูดอันหยิ่งผยองของนางเมื่อครู่ จะทำให้หูซิงรู้สึกมิพอใจจนต้องกำหมัดแน่นก็ตาม แต่เขาก็ทำได้เพียงสงบปากสงบคำเท่านั้น
อีกด้านหนึ่ง เผิงจื้อกังผู้เดินนำทางหยางเสี่ยวเทียนเข้ามาในจวน และพาไปยังที่นั่งที่เขาได้ตระเตรียมไว้ให้ แล้วขอให้หยางเสี่ยวเทียนนั่งลงตรงนั้นด้วยความสุภาพ
เวลาเดียวกันนี้ หลายคนก็ได้เข้ามานั่งรอยังกลางโถงจวนเจ้าเมืองแล้วเช่นกัน
ครั้นพวกเขาเห็นว่าเผิงจื้อกังถึงกับออกตัวไปต้อนรับเด็กน้อยนั่นเข้ามา ทั้งยังพาไปนั่งที่ที่ได้ตระเตรียมไว้ด้วยตนเองอีก จึงทำให้พวกเขาหลายคนรู้สึกไม่พอใจอยู่มิน้อย
เนื่องในวันนี้เป็นงานเฉลิมฉลองวันเกิดของเจ้าเมืองเผิงจื้อกัง ดังนั้นแขกที่เขาได้เชิญมาแต่ละคนล้วนมีสถานะทางสังคมสูงส่ง มิใช่สามัญชนคนธรรมดาทั่วไป
บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีเขียว ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ลำดับที่สี่ทางด้านขวา จ้องตาเขม็งไปยังหยางเสี่ยวเทียน แล้วกัดฟันถามอย่างไม่พอใจ
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน”
“อี้ชุน เด็กคนนี้คือหยางเสี่ยวเทียนผู้โด่งดังอย่างไรเล่า เขาน่าทึ่งมากใช่หรือไม่” นั่งถัดจากชายอาภรณ์เขียว คือหลัวจวิ้นเผิงรองเจ้าสำนักยวินฮุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สำนักยวินฮุย ก็มีสถานะทัดเทียมกับสำนักเสินเจี้ยน เป็นหนึ่งในสี่สำนักหลักแห่งอาณาจักรเสินไห่เช่นกัน
แต่ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักยวินฮุยและสำนักเสินเจี้ยนนั้น มิค่อยจะลงรอยกันมากนัก
“นั่นคือเขางั้นหรือ” เติ้งอี้ชุนกล่าวด้วยท่าทางประหลาดใจ
จากนั้นเติ้งอี้ชุนก็แสยะยิ้มเยาะพลางกล่าวว่า “เขาน่าทึ่งตรงไหนกัน ข้ากลับคิดว่ามีคนโง่เขลาจงใจกล่าวเกินจริง ที่ยกย่องเขาว่าหาได้ยากในสวรรค์และไม่มีผู้ใดเทียบได้บนโลก”
เติ้งอี้ชุนเป็นศิษย์สายตรงของอู๋ฉี หนึ่งในสี่นักปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเสินไห่
ชื่อเสียงของเขา เป็นที่โจษขานพอๆ กับชิวไห่ชิว และเฉินจื่อหาน อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะนักปรุงโอสถวัยเยาว์แห่งอาณาจักรเสินไห่
แน่นอนว่าเขามิเพียงโดดเด่นด้านการหลอมโอสถเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ด้านวิญญาณยุทธ์และวรยุทธอีกด้วย
เติ้งอี้ชุนผู้นี้ยังเป็นถึงศิษย์ฝ่ายในของสำนักยวินฮุย ซึ่งนั่นแปลว่าความแข็งแกร่งของเขานั้น มิได้ด้อยไปกว่าหูซิงเลยแม้แต่น้อย
หลัวจวิ้นเผิงยิ้มให้เขาแล้วกล่าวว่า “แม้นวาจาของคนเหล่านั้นจะกล่าวเกินจริงไปบ้าง แต่หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้มีวิญญาณยุทธ์คู่ระดับสิบเอ็ด อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านกระบี่ที่สูงส่ง ความสามารถเช่นนี้นับว่าหาได้ยากนักในอาณาจักรเสินไห่”
วาจาเช่นนั้นของรองเจ้าสำนัก ทำให้เติ้งอี้ชุนไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แม้นพรสวรรค์ด้านวิญญาณยุทธ์และวรยุทธของเขาจะดี แต่หากว่ากันในเรื่องหลอมโอสถ ข้านั้นเหนือกว่าเขาเป็นร้อยเท่า ต่อให้ใช้เพียงนิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย!”
หลัวจวิ้นเผิงยกมือขึ้นปิดปากพลางหัวเราะเบาๆ “นั่นก็จริง”
แม้วิญญาณยุทธ์และวรยุทธของหยางเสี่ยวเทียนจะน่าทึ่งมากก็จริง แต่หลัวจวิ้นเผิงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับพรสวรรค์ในการหลอมโอสถของเขาเลยสักครั้ง
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น เฉิงเป้ยเป้ยและหูซิงก็เดินเข้ามาในโถงของจวนเจ้าเมือง ด้วยสีหน้าบึ้งตึงดูมิพอใจ
เมื่อเติ้งอี้ชุนเห็นทั้งสองเดินเข้ามา จึงยืนขึ้นยกมือประสานกำหมัดเพื่อทักทายเฉิงเป้ยเป้ยและหูซิงอย่างสุภาพ
แต่ยังไม่ทันไร เฉิงเป้ยเป้ยก็แสดงท่าทางหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อนางเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนนั่งอยู่ที่นั่งแรกทางขวา จากนั้นนางก็เดินมุ่งไปนั่งยังเก้าอี้ที่นั่งแรกทางซ้าย
ซึ่งตรงนั้นอยู่ตรงข้ามกับหยางเสี่ยวเทียนพอดี ครั้นทั้งคู่ประสานสายตากัน แววตาของเฉิงเป้ยเป้ยก็แสดงความอาฆาตมาดร้าย แต่หยางเสี่ยวเทียนนั้นยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่เห็นนางในสายตา
ไม่นานจากนั้น เฉินจื่อหานก็มาถึงจวนเจ้าเมืองเช่นกัน แต่หลินหยวนผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้มาด้วย เนื่องจากเขาติดภารกิจ จึงมิอาจมาร่วมงานเฉลิมฉลองในวันนี้ได้
ทันทีที่เฉิงเป้ยเป้ยเห็นเฉินจื่อหานมาถึงแล้ว นางก็พลันวิ่งไปฉุดแขนเฉินจื่อหานให้มานั่งข้างนาง ด้วยสีหน้ามีความสุขยิ่ง
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน เฉินจื่อหานก็เอ่ยถามถึงอาการบาดเจ็บของนาง
แล้วนางก็กล่าวว่า “เป้ยเป้ย ไว้มีโอกาสข้าจะสั่งสอนหยางเสี่ยวเทียนแทนเจ้าเอง โทษฐานที่เขากล้าทำร้ายน้องหญิงข้า”
ไม่กี่วันก่อน เฉินจื่อหานก็ได้ทราบข่าวที่เฉิงเป้ยเป้ยถูกหยางเสี่ยวเทียนเตะกระเด็นออกไปเช่นกัน ทำนางยิ่งรู้สึกโกรธแค้นหยางเสี่ยวเทียนที่กล้าทำเช่นนี้กับน้องหญิงของนาง
ครั้นได้ยินเช่นนั้น เฉิงเป้ยเป้ยก็จับจ้องไปยังหยางเสี่ยวเทียนด้วยดวงตาที่ลุกโชติช่วง แล้วกล่าวว่า “พี่หญิงท่านไม่ต้องทำอะไร ข้าจะสะสางความแค้นนี้ด้วยตัวเอง”