ตอนที่ 85
ตอนที่ 85
ยิ่งไปกว่านั้น ในทวีป A นิกายจักรพรรดิหลายแห่งมีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
หยานปู้หุ่ยเหลือบมองเต๋าซุน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ท้ายที่สุด ตอนนี้เขามีคนที่ให้อาศัยแล้ว
“เจ้ายังอ่อนแอเกินไป ควรเติบโตให้เร็วกว่านี้ มิเช่นนั้นในฐานะผู้ติดตามของข้า เจ้าจะถือว่าไร้ประโยชน์ ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพยายามให้หนัก ” หยานปู้หุ่ยพยักหน้า “ไม่ใช่แค่เพื่อท่านเท่านั้น แต่ยังเพื่อทำลายตระกูลหวงด้วย ”
“ไปเถอะ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ที่นี่ เชาชิงหยูย่อมไม่อาจสร้างปัญหาให้เจ้าได้ ” เต๋าซุน พยักหน้าและพูด
“ขอบคุณขอรับ” หยานปู้หุ่ย มองไปที่ เต๋าซุน อย่างลึกซึ้ง จากนั้นหันหลังกลับและจากไป
…………
แล้ว เต๋าซุน ก็เรียกให้เสี่ยวกุ้ยจื่อมาพบ เขามองดูอาทิตย์ตกที่อยู่ไกลออกไปและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ "ไปที่ประตูสายนอกเพื่อกระจายข่าว บอกว่าหยานปู้หุ่ยเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของข้า และใครก็ตามที่กล้าสร้างปัญหาให้เขา ก็ถือว่าสร้างปัญหาให้ข้าเช่นกัน
นอกจากนี้ เจ้าจงไปทำให้คนเหล่านั้นชัดเจนว่าผู้ที่ปกครองนิกายแห่งนี้มีแซ่ว่า เต๋า หาใช่แซ่ เชา ไม่ "
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสี่ยวกุ้ยจื่อพยักหน้าและจากไป
เต๋าซุนอยู่ที่ยอดเขาเดียวดายเพื่อฝึกฝนต่อ และไม่กี่วันต่อมาชิลีชางคงก็มาที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
“หวงเทียนซีไปแล้วรึ?” เต๋าซุนถามด้วยความประหลาดใจ
ชิลีชางคงพยักหน้าและกล่าวว่า: "นายท่าน ข้าไม่อาจสังหารเขาได้ เขามาพร้อมกับองครักษ์ระดับ 5 อย่างน้อยสองคน "
“ไม่เป็นไร ข้าแค่อยากเตือนเขาเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกนักที่เขาเลือกจากไปเร็วเช่นนี้ ” เต๋าซุน พูดเบา ๆ พร้อมแตะคางของเขา
“จริงๆ แล้ว เขาอยู่ที่นิกายเราต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จากแผนการของท่านแล้ว ตอนนี้แม้แต่สิบอันดับรายชื่อเสือหมอบก็ยังไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว”เสี่ยวกุ้ยจื่อที่อยู่ด้านข้างก็อธิบาย "เชาชิงหยูเองก็เช่นกัน ด้วยตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้ เขาจึงส่งให้หวงเทียนซีออกจากนิกายไปเสียก่อน "
เต๋าซุนพยักหน้า เขารู้ว่าจริงๆ แล้ว เชาชิงหยูนั้นหาได้มีอำนาจด้วยตัวเองเช่นเดียวกับเขา อย่างมากก็แสร้งทำเป็นว่ามีอำนาจภายใต้ชื่อของผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เชาชิงหยูมีดีกว่าเขาก็คือพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิ ความสามารถนี้เป็นเงื่อนไขที่ทรงพลังสำหรับการแย่งชิงตำแหน่งบุตรสวรรค์ในอนาคต
มีบางอย่างในตัวเขาที่คุ้มค่าแก่การลงทุนสำหรับผู้อื่น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเต๋าซุนไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง คนอื่นๆจึงไม่ได้ประทับใจหรือสนใจเขาแต่อย่างใด
…………
“สถานการณ์ในเมืองโจวชูเป็นยังไงบ้าง”เต๋าซุนถามขณะมองดูท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไปสิบไมล์
“ตามข้อเสนอของท่านที่มีให้กับซือถูหยุนเหม่ย ตอนนี้นางกำลังวางแผนที่จะเปิดสาขาหอการค้าขึ้นหรือร้านอาหารขึ้นเพื่อกระจายเครือข่ายข่าวกรองของเราไปทั่วทวีป A ” ชิลีชางคงกล่าว: “เมื่อเร็ว ๆ นี้ ร้านอาหารซือถูได้ถูกเปิดขึ้นแล้วหลายแห่งในละแวกเมืองใกล้เคียง
แผนต่อไปของนางคือการเปิดร้านอาหารที่เมืองหลวงของจักรวรรดิจื่อหยาง รวมถึงจักรวรรดิชิงมู่ เราจะขยายไปทั่วแดนตะวันตกไกลให้ได้เสียก่อน "
“ลงมือได้เร็วดี แต่เจ้าจงไปบอกนางว่าเจ้าจะเป็นคนฝึกฝนคนในหน่วยด้วยตัวเอง อย่างน้อยนี่ย่อมสามารถป้องกันไม่ให้คนมีเจตนาร้ายแอบแฝงเข้ามาได้ ” เต๋าซุน พยักหน้าและกล่าว
…………
หลังจากหันหน้ากลับมาจากการจ้องดูเส้นขอบฟ้าที่ไกลออกไปนับสิบไมล์ เขาก็ได้ทราบข่าวจากเสี่ยวกุ้ยจื่อ
พรสวรรค์ของหยูโบ้ถูกทำลายแล้ว
ในนิกายชั้นนอกของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ มักจะมีศิษย์บางคนไม่สามารถเข้าสู่นิกายชั้นในได้ไม่ว่าจะด้วยความสามารถหรือขาดความพยายามก็ตาม ศิษย์เหล่านี้จะถูกส่งออกไปจากนิกาย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
ลูกศิษย์บางคนกระทั่งยอมเสี่ยงออกจากนิกายเพื่อไปแสวงหาโอกาสอื่นด้วยซ้ำ
เสี่ยวกุ้ยจื่อได้ไปหาศิษย์เหล่านี้ และสัญญากับพวกเขาว่าจะมอบทรัพยากรบ่มเพาะให้ แต่ต้องแลกกับการที่ศิษย์เหล่านี้ทำลายพรสวรรค์ของหยูโบ้
หลังจากที่ศิษย์คนนั้นออกจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ไป ต่อให้การกระทำของเขาจะถูกเปิดเผย ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอีกต่อไป
ท้ายที่สุดแล้ว แดนตะวันตกไกลก็กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง และหากคนของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งต้องการซ่อนตัว ก็ย่อมไม่อาจหาเจอได้ง่ายๆ
และนิกายก็ย่อมไม่คิดจะใช้ความพยายามเพื่อตามหาศิษย์สายนอกคนหนึ่งอย่างแน่นอน
…………
ดังนั้นศิษย์คนนั้นจึงยอมรับเงื่อนไขของเสี่ยวกุ้ยจื่อ และหลังจากทำลายพรสวรรค์ของหยูโบ้แล้ว เขาก็พร้อมเดินทางออกจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทรัพยากรบ่มเพาะ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้จากไป เขาก็ถูกเสี่ยวกุ้ยจื่อสังหารเสียแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่สามารถเก็บความลับได้ดีที่สุด
สำหรับอาจารย์ของหยูโบ้ ผู้อาวุโสฝ่ายในโกรธเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตรวจสอบคนกระทั่งพบร่างของศิษย์สายนอกคนนั้นนอนตายอยู่ และเบาะแสทั้งหมดก็มีเพียงเท่านั้น
ผู้อาวุโสฝ่ายในรู้สึกจนใจอย่างยิ่ง และทำได้เพียงส่งหยูโบ้ที่กลายเป็นคนธรรมดาไปแล้วออกนอกนิกายไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จื่อไป่หยู่รู้เรื่องนี้ นางก็มาที่ยอดเขาเดียวดายเพื่อขอบคุณเต๋าซุน
เต๋าซุน ยอมรับคำขอบคุณอย่างเย็นชาและเพิ่มข้อเรียกร้องต่อเดือนจาก ผลึกเฟยหยู 500 ก้อน เป็น 1,000 ก้อน
ท้ายที่สุด จื่อไป่หยู่ก็ต้องเดินออกจากยอดเขาเดียวดายไปด้วยความโกรธ หงุดหงิด และอารมณ์ต่างๆ
…………
สองวันต่อมา วันที่ต้องเดินทางไปยังนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึง
หัวหน้าการเดินทางครั้งนี้คือผู้อาวุโสเจ็ด นอกจากเต๋าซุนกับเสี่ยวกุ้ยจื่อแล้ว ศิษย์ที่เดินทางในครั้งนี้ด้วยก็คือศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสเจ็ดเช่นลู่อัง ซึ่งเขาเป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในห้าบุตรหมื่นอาคม ชายคนนี้เก่งกาจในด้านอาคมสังหารเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนอีกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็คือ ไคหยูเฟย ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสหก
ในตอนเช้า ผู้คนจำนวนมากก็มารวมตัวกันที่หออุกกรณ์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เก็บเรือเหาะและรถม้าของนิกาย
โดยทั่วไป เมื่อศิษย์ในนิกายเดินทาง พวกเขาจะขี่สัตว์อสูรบินได้เท่านั้น แต่กรณีนี้เป็นการเดินทางในฐานะตัวแทนของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม ในยุคของจักรพรรดิเทพบาทา เขาได้สั่งให้ผู้คนสร้างเรือศักดิ์สิทธิ์และอาคมเคลื่อนย้ายขึ้น
ในเวลานั้น จักรพรรดิเทพบาทาได้ศึกษาอาคมเคลื่อนย้ายด้วยตัวเอง และสลักอาคมนี้ลงบนเรือศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งหลังจากที่มันดูดซับพลังของผลึกวิญญาน มันก็สามารถส่งผู้คนออกเดินทางไปไกลได้
ต่อมา จักรพรรดิเทพบาทาก็ได้คิดค้นอาคมหลอมรวมพลังจิตวิญญาณในธรรมชาติ หลังจากที่สลักลงบนเรือ มันก็จะสามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณที่อยู่ในธรรมชาติได้อย่างอิสระระหว่างการบิน และด้วยการช่วยเหลือนี้ ผลึกวิญญาณที่ใช้ในการเดินทางจึงลดลงเป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่นั้นมา การเดินทางด้วยเรือศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ซึ่งแสดงสถานะของนิกายใหญ่หลายแห่ง
…………
ผู้อาวุโสเจ็ดสวมชุดสีขาว และผมยาวของเขาก็ถูกมัดเป็นมวยทำให้ดูเหมือนกับบัณฑิต
เขาดูเฉยเมยและสง่างามอยู่เสมอ
หากเจ้าไม่รู้จักเขา เจ้าย่อมคิดไม่ถึงแน่นอนว่าเขาเป็นยอดฝีมือระดับ 7
สำหรับลู่อัง ศิษย์สายตรงของเขา เขาดูสง่างาม สวมเสื้อคลุมสีม่วง และรายล้อมไปด้วยพลังระดับ 5
เขาแบกแผ่นอาคมวงกลมไว้ด้านหลัง และดาบสั้นก็ปรากฏห้อยอยู่ที่เอวของเขา
สำหรับไคหยูเฟย ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสหก นางถือได้ว่าเป็นสาวงามชั้นหนึ่งก็ว่าได้
นางสวมชุดสีขาวรัดรูปที่เห็นหุ่นโค้งมนชัดเจน
ด้วยผมสั้นที่มีความยาวแค่ติ่งหูและมีดาบสูงสามฟุตห้อยอยู่ที่เอวของนาง เมื่อประกอบหน้าตาของนางแล้ว นางจึงดูกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง หาใช่หญิงสาวที่ดูอ่อนแอบอบบางทั่วไป
…………
“ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเถอะ” ผู้อาวุโสเจ็ดพูดพร้อมกับมองดูทุกคน
เรือศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมานี้มีความยาวหลายสิบเมตร มีส่วนโค้งเว้าและมีรูปลักษณ์ที่ตระการตาเป็นอย่างมาก
ลำเรือทั้งหมดเป็นสีเหลืองทอง แม้รูปร่างของเรือศักดิ์สิทธิ์จะดูเหมือนเรือทั่วไป แต่มันกลับดูละเอียดอ่อนและสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนก้าวขึ้นไปบนเรือศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเสียง "ครืน" ก็ดังขึ้น และเรือศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับแสงเหนืองดงามที่ปรากฏ
–––––––––––––––––––––––––––––
• ของฝากนักเขียน •
ผมรู้ว่าใครหลายๆคนคงไม่ชอบอ่านเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เย่เฉิน เท่าไหร่นัก
แต่เหตุผลที่ต้องมีเรื่องราวเกี่ยวกับเย่เฉินนั้นเพราะผมไม่อยากให้เต๋าซุนเป็นตัวละครเดียวทั้งเรื่อง ผมอยากเพิ่มบทบาท หรือเหตุการณ์ในชีวิตของตัวละครอื่นเข้าไปด้วยเพื่อเป็นสีสันของนิยาย
สุดท้ายแล้วตัวละครอื่นที่เคยกล่าวถึง หรืออาจจะกล่าวถึงก็ล้วนแต่เป็นคนที่มีโชควาสนาในเรื่องเหมือนกัน
แต่ถ้าท่านผู้อ่านไม่ชอบจริงๆ ผมสัญญาว่าจะลดบทบาทของตัวละครอื่นให้น้อยลงขอรับ ~♥