ตอนที่ 80
ตอนที่ 80
อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นช่างโหดร้าย เขาไปที่นิกายระดับจักรพรรดิ และยังไปนิกายชั้นหนึ่งมาด้วยกันหลายแห่ง แต่ก็ไม่อาจผ่านบททดสอบได้
แต่เย่ปู้ลี่ก็จำมันได้อย่างชัดเจน
มันเป็นคืนที่ฝนตก
เขาซุกตัวอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่แล้วร้องไห้
“เส้นทางของผู้ฝึกตนล้วนถูกกำหนดไว้ไม่ราบรื่น” คำพูดของชายชราก็ดังก้องอยู่ในหูของเขา
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คืนนั้น ชายชราเล่าให้เขาฟังมากมาย
ก่อนออกเดินทางชายชราถามเขาด้วยรอยยิ้ม: "เจ้าอยากฝึกฝนหรือไม่?"
หัวใจของเขาดูเหมือนจะเต้นช้าลง และเขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและไม่อยากจะเชื่อ
ชายชราพาเขาเข้าสู่นิกายและยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์โดยตรงของเขา
ต่อมาเขาพบว่านิกายนี้เรียกว่านิกายเทียนเจี้ยน และอาจารย์ของเขาก็เป็นผู้นำนิกายรุ่นที่สองของนิกายเทียนเจี้ยน
“ปรมาจารย์ดาบไป่หยุน!”
ท่านอาจารย์ต้องการที่ยกระดับนิกายเทียนเจี้ยนอย่างสุดหัวใจ และในเวลานั้น ตัวเขาเองก็แอบสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะสานต่อเจตจำนงของอาจารย์
“ข้าต้องการสร้างชื่อเสียงให้นิกายเทียนเจี้ยนดังขจรไปทั่วแดนตะวันตกไกล และทำให้เหล่านิกายที่เคยปฏิเสธเขาเหล่านั้นตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของเขา ”
ความคิดของคนหนุ่มสาวนั้นถือว่ายังเด็กนัก
บางทีอาจเป็นเพราะความดื้อรั้นและไม่ยินยอมในช่วงวัย
สิ่งสำคัญก็คือต่อให้ผ่านไปกี่ปี ความตั้งใจของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว พรสวรรค์ของเขาก็มีขีดจำกัด และด้วยทรัพยากรของนิกายแล้ว การชุบเลี้ยงยอดฝีมือสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
และความพยายามอย่างหนักก็เป็นหนทางเดียวที่นำเขามาสู่ความสำเร็จอันต่ำต้อยเช่นนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงตั้งเป้าไว้ที่มรดกของมหาจักรพรรดิ หากเขาสามารถสืบทอดมรดกของมหาจักรพรรดิได้ เส้นทางของเขาก็จะทอดยาวมากขึ้น
ตราบเท่าที่เขามีเวลาพอ เขาก็มั่นใจว่าแม้จะไม่สามารถทำให้นิกายเป็นระดับจักรพรรดิได้ แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะเทียบเคียงกับนิกายชั้นหนึ่ง
…………
การที่เขาสังหารตระกูลเหริน และตามล่าเหรินปิงเซิงนั้น ไม่เพียงแต่เหรินปิงเซิงเท่านั้นที่รู้สึกเศร้า แต่เขาเองก็รู้สึกอึดอัดอยู่ภายในเช่นกัน
มนุษย์ไม่ใช่ต้นไม้หรือใบหญ้า พวกเขาจะลงมือโหดเหี้ยมโดยที่ไม่รู้อะไรได้อย่างไร บางครั้งแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าเองก็ยังมีจิตสำนึกด้วยซ้ำ
เขาและเหรินปิงเซิงนั้นรู้จักกันมากว่าสิบปีแล้ว เขาไม่ใช่คนเลือดเย็น แต่เพียงแค่ระหว่างพี่น้องแล้ว เขาเลือกนิกายมากกว่า
ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของเขาได้ เพราะเขาคือคนที่ยกมือขึ้นเขียงและลงมือฟัน เขาทำทุกอย่างโดยแบกรับความผิดทั้งหมดไว้กับตัวเอง
…………
ดวงตาของเย่ปู้ลี่พร่ามัวเล็กน้อย หากเขาตายเช่นนี้ คงไม่อาจโล่งใจได้
แต่ดูเหมือนเขา ...........จะเหนื่อยเกินไปที่จะใช้ชีวิตแล้ว
สายลมคำรามผ่านหูของเขา ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองจะถูกทุบเละแล้วนี่เอง
ร่างกายของเขาก็รู้สึกเบาราวกับว่ามีคนพยุงเขาไว้
เขานอนอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น เย่ปู้ลี่เงยหน้าขึ้นและเห็นชายชราคนหนึ่งจับเขาไว้
เขามองดูชายชรา และชายชราก็มองดูเขา
บรรยากาศดูเหมือนจะ...คลุมเครือเล็กน้อย!
“ผู้อาวุโสใหญ่ ท่าน” เย่ปู้ลี่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
“อย่าได้กล่าวสิ่งใด ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บสาหัส เราได้นำโลงศพของท่านบรรพบุรุษออกมาแล้ว เจ้าสนใจตัวเองเถอะ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ เย่ปู้ลี่ก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มโคจรพลังในร่างของเขาที่กำลังปั่นป่วนเพื่อฟื้นฟูทีละน้อย
…………
ที่ด้านข้างของยอดเขาเทียนเจี้ยน พวกเขาก็เห็นผู้อาวุโสหลายคนของนิกายวิ่งแบกโลงศพไว้
โลงศพทั้งสองมีสีดำและสีขาว
โลงศพสีดำสลักด้วยลวดลายดาบ ส่วนโลงศพสีขาว สลักด้วยเมฆสีขาว
“วันนี้พวกเจ้ายืนกรานที่จะสู้จนตัวตายกับนิกายเทียนเจี้ยนหรือไม่?” ผู้อาวุโสใหญ่ถามด้วยเสียงดังขณะที่เขามองไปยังเหรินปิงเซิงบนท้องฟ้า
“แล้วตอนที่เขาสังหารตระกูลเหรินของข้า เจ้าคิดที่จะห้ามเขาบ้างหรือไม่ ! ?” เหรินปิงเซิงถามด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
ออร่าปีศาจรอบตัวเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเกือบครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำ เขาเป็นเหมือนราชาปีศาจที่ไม่แยแสต่อท้องฟ้า ยืนหยัดเหนือพื้นดิน และมองลงไปที่นิกายเทียนเจี้ยนทั้งหมด
“เปิดโลงศพบรรพบุรุษ” ผู้อาวุโสใหญ่รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่อาจประมาทได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่อาจปล่อยให้ภัยคุกคามนี้ดำรงอยู่ต่อไปได้
ถ้าเหรินปิงเซิงไม่ถูกฆ่าในวันนี้ และเขาคิดจะกวาดล้างนิกายเทียนเจี้ยนทั้งหมดล่ะก็ นิกายเทียนเจี้ยนของเขาคงต้องดับสิ้นอย่างแน่นอน
…………
ผู้อาวุโสใช้วิธีการพิเศษในการปลุกโลงศพของบรรพบุรุษ และศิษย์ทั้งหมดของนิกายเทียนเจี้ยนก็คุกเข่าลงพื้นเพื่อเคารพ
“ในอดีตบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายของเราได้สังหารศัตรูที่แข็งแกร่งลงที่นี่ ในเมื่อมีผู้บุกรุกมารบกวนไม่ให้ท่านบรรพบุรุษหลับใหล ข้าก็หวังว่าท่านบรรพบุรุษจะช่วยเราให้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้”
ผู้อาวุโสใหญ่ยืนอยู่หน้าโลงศพบรรพบุรุษและพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ
เขารู้ว่าทุกครั้งที่ท่านบรรพบุรุษออกจากโลงศพ ไม่เพียงแต่จะสูญเสียหินเลือดฝุ่นจำนวนมากเท่านั้น แต่มันยังกินพลังชีวิตของท่านบรรพบุรุษเป็นอย่างมากอีกด้วย
สำหรับคนที่ช่วงอายุกำลังจะสิ้นสุดลงนั้น อย่าพูดถึงช่วงเวลาหลายปีเลย แม้แต่วินาทีเดียวก็มีค่า
เมื่อผู้อาวุโสใหญ่พูดจบ โลงศพบรรพบุรุษสีขาวที่อยู่ข้างๆก็เริ่มสั่นสะท้าน
เมฆสีขาวบานสะพรั่งรอบๆโลงศพบรรพบุรุษ
“เมฆสีขาวกำลังเบ่งบาน แต่มันช่างน่าเศร้ายิ่งนัก
นี่ผ่านมาแล้วกี่ปี? “เสียงเก่าแก่ก็ดังมาจากโลงศพบรรพบุรุษ
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านหลับไปเมื่อสองร้อยปีก่อนขอรับ ” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองดูฝาโลงศพบรรพบุรุษที่เปิดออกทีละน้อย ร่างของเย่ปู้ลี่ที่อยู่ด้านข้างก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
เขายังคงจำวันที่ฝนตกและมีชายชราคนหนึ่งนำพาเขามาที่นิกายเทียนเจี้ยนได้ ทุกสิ่งในความทรงจำของเขายังคงแจ่มชัด
เมฆขาวลอยมาปกคลุมทั่วทั้งโลก เมื่อเมฆขาวกระจายไปต่อหน้าต่อตา ทุกคนก็ตกตะลึงในใจ
เมื่อเมฆม้วนตัวปรากฏขึ้น ทุกคนก็ผ่อนคลายลงเหมือนได้รับการปัดเป่า
ความโกรธในใจของทุกคนค่อยๆสงบลง และโลกก็กลับมาสงบอีกครั้ง
“นี่รึท่านบรรพบุรุษ?” ศิษย์เก่าบางคนก็มองมาอย่างสนใจจากระยะไกล พวกเขาตกใจและพูดไม่ออกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ปรมาจารย์ไป่หยุนหรือที่รู้จักในชื่อปรมาจารย์ดาบไป่หยุน ท่านคือหัวหน้านิกายคนก่อนของนิกายเทียนเจี้ยนเรา ” ศิษย์คนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
ปรมาจารย์ดาบไป่หยุนเป็นบุคคลเมื่อหลายร้อยปีก่อน สำหรับศิษย์หลายคนแล้ว ตัวตนเช่นนี้มีอยู่เพียงในบันทึกประวัติศาสตร์ของนิกายเท่านั้น
เมื่อตัวตนที่แท้จริงปรากฏขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่หลายคนจะอดตื่นเต้นไม่ได้
โลงศพถูกเปิดออกจนหมด และชายชราสวมเสื้อคลุมสีขาวและมีผมหงอกทั้งหัวก็ก้าวออกมา
ชายชราหาได้มีออร่าที่เกรี้ยวกราดแต่อย่างใด มันดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก และรอยยิ้มที่ดูใจดีของเขาก็ปรากฏ
เขาถือไม้ไว้ในมือราวกับเป็นอาจารย์คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะหลับใหลไปแล้วหลายร้อยปี แต่เสื้อผ้าของเขาก็ยังคงขาวสะอาดบริสุทธิ์
“ถ้าท่านบรรพบุรุษไป่หยุนอยู่ในโลงศพสีขาวนี้ แล้วโลงสีดำที่อยู่ข้างๆนั้นล่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เป็นไปได้ไหมว่า….?” ศิษย์บางคนก็ดูเหมือนจะนึกบางอย่างออก ดวงตาของเขาเบิกกว้างและความเหลือเชื่อก็ปรากฏบนใบหน้า
“ท่านบรรพบุรุษดาบ !!” ศิษย์คนหนึ่งก็พูดชื่อขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเทา
ศิษย์เหล่านี้อดไม่ได้ที่จะตกใจ ไม่ว่ายังไงบรรพบุรุษดาบก็คือตัวตนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อนิกายเทียนเจี้ยน
ต่อให้ไม่รวมความจริงที่ว่าคนๆนี้คือผู้ก่อตั้งนิกายเทียนเจี้ยน แต่แค่เพียงตำนานที่กล่าวขานว่าเขาสามารถจัดการศัตรูที่ทรงพลังได้และยกภูเขาออกเป็นสองส่วนนั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ที่ได้ยินชื่อของเขาตกตะลึงแล้ว
สายลมพัดผ่านต้นหลิวบางต้น และภายใต้ใบไม้ที่ปลิวไสว โลงศพสีดำก็เริ่มสั่นไหวภายใต้สายตาของผู้คน