ตอนที่ 65
ตอนที่ 65
แรงกดดันมหาศาลระเบิดออกมาจากเงาดาบ กลิ่นอายของมันราวกับสะบั้นโลกให้แยกออกจากกันได้ มันปรากฏเป็นเงาดาบขนาดใหญ่ควบแน่นอยู่บนท้องฟ้า
จางเจี้ยนจุนยื่ออยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อสัมผัสเข้ากับแรงกดดันอันหนักอึ้งที่พุ่งเข้ามา หอกในมือของเขาก็แยกออกเป็นสองส่วนทันที
พลังนี้ราวกับจะฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้นๆ ส่งเขาปลิวออกไปด้านหลังไกลหลายเมตร เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่ย และปรากฏรอยแผลหนาทึบขึ้นทั่วทั้งร่าง
เลือดกระอักออกมาจากปากพวยพุ่งไปในอากาศ และร่างของเขาก็ปกคลุมด้วยแอ่งโลหิต เขาล้มลงกับพื้นและหมดสติไป
เต๋าซุนค่อยๆเก็บ ทลายโลกา ในมือกลับเข้าฝัก และมองดูสายตาตกตะลึงที่ปรากฏรอบๆตัวเขา
เขามองไปยังชายชราที่อยู่ข้างๆ เขาอีกครั้งแล้วหัวเราะเบา ๆ
“ก็ไม่เห็นมีใครจะสู้ข้าได้”
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ พูดว่า: "เกรงว่าเจ้าคงไม่ใช่ศิษย์สายนอกสินะ !"
“มันสำคัญด้วยรึ ? สิ่งสำคัญคือศิษย์ที่พวกเจ้าสั่งสอนนั้นอ่อนแอต่างหาก ”เต๋าซุนยิ้มและหันไปพูดกับเสี่ยวกุ้ยจื่อและเจ้าปลาน้อย "กลับนิกายกันเถอะ"
…………
เมื่อมองดูทั้งสามคนที่จากไป ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ก็เงียบลง
เดิมทีเต๋าซุนเพียงแค่มาเอาร่างนักรบให้กับเจ้าปลาน้อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าโลกจะกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้
บางครั้งแม้ว่าเจ้าจะอยากแสร้งเป็นคนทั่วไป แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าก็ไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น
ชายชรามองดูหยูเจ๋อที่อยู่ด้านข้างด้วยความสับสน เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเองก็คิดไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น
“อาจารย์” หยูเจ๋อมองดูชายชราอย่างเขินอาย
“อะไร เจ้ากลัวว่าข้าจะโกรธเจ้าเพียงเพราะเรื่องนี้รึ ” ชายชรามองไปที่หยูเจ๋อแล้วยิ้มพร้อมกับส่ายหัว “อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพวกเรา
มันหาได้ผิดอะไรที่เจ้าแสวงหาความยุติธรรมให้กับตัวเอง
แม้ว่าข้าจะเป็นรองอาจารย์ใหญ่ แต่ข้าก็มักมีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเช่นกัน และไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวโทษศิษย์ของข้าได้
ข้อผิดพลาดเดียวที่เรามีคือเรายังแข็งแกร่งไม่พอ และหมัดของเราก็เล็กกว่าอีกฝ่าย
หลังจากนี้เจ้าจงฝึกฝนให้หนัก นิกายเทียนฮูของเราได้รับการสนับสนุนจากนิกายเทียนเต๋า ตราบใดที่เจ้ามีความสามารถพอ เจ้าก็ย่อมใช้สถานที่แห่งนี้แสวงหาโอกาสและก้าวสูงขึ้นได้ "
ชายชรามีประสบการณ์หลายอย่างในชีวิต และวิสัยทัศน์กับความคิดในมุมมองต่างๆของเขาก็ดีกว่าเหล่ารุ่นเยาว์มากนัก
“อาจารย์ ข้าจะฝึกฝนอย่างหนักแน่นอน” หลังจากได้ยินคำพูดของชายชรา หยูเจ๋อก็รู้สึกถึงกระแสความอบอุ่นที่ไหลผ่านหัวใจของเขา และเขาก็ตอบอย่างแน่วแน่
ชายชราพยักหน้าอย่างมีความสุข ความพ่ายแพ้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้สักครั้งในชีวิต
แต่ที่น่ากลัวคือจิตใจของผู้ที่พ่ายแพ้ต่างหาก หากจิตใจไม่แข็งแกร่งพอและไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ คนๆนั้นก็จะจมอยู่กับความพ่ายแพ้นั้นไปตลอดชั่วทั้งชีวิต
…………
เต๋าซุนกับพวกก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยม หลังจากเตรียมม้าบินทะเลทรายเสร็จ พวกเขาก็มุ่งหน้ากลับไปยังนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน
ในช่วงเวลานี้ นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์กำลังมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ เนื่องจากเพิ่งรับศิษย์ใหม่เข้ามา
จะมีศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดกำเนิดขึ้นทุกปี และศิษย์ใหม่เหล่านี้ก็สามารถท้าทายตำแหน่งของศิษย์เก่าได้
ที่ประตูด้านนอกของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ มีเทียบรายชื่อที่ถูกเรียกว่า รายชื่อเสือหมอบ อยู่
เช่นเดียวกับการจัดอันดับชั้นสวรรค์ของนิกายเทียนฮู ศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งร้อยคนจะถูกจัดอันดับและบันทึกชื่อไว้ในเทียบรายชื่อเสือหมอบ
ศิษย์ที่อยู่ในรายชื่อเสือหมอบนั้นไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่พวกเขายังได้รับรางวัลรายเดือนของนิกายอีกด้วย
ยิ่งอันดับในรายชื่อสูง รางวัลก็ยิ่งมากขึ้น
…………
เมฆสีขาวลอยวนอยู่บนท้องฟ้า สายลมพัดไปทางทิศตะวันตกพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลับลง ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ยามตกดิน และแสงระเรื่อจางๆก็ค่อยๆละลายหายไปที่ จุดปลายขอบฟ้า
หลังจากที่ทั้งสามกลับมาถึงนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็กลับมาที่ยอดเขาเดียวดาย จากนั้นเต๋าซุนก็สั่งให้เสี่ยวกุ้ยจื่อช่วยงานในเมืองชิลี
สำหรับเจ้าปลาน้อย ทันทีที่เขากลับมาถึง เขาก็ไปวิ่งไปหาคนรักดั้งเดิมของเขาทันที ซึ่งก็คือบุตรสาวของผู้อาวุโสเจ็ด
หลังจากที่เต๋าซุนกลับมาถึงนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไปเยี่ยมบิดาของเขาเต๋าเสี่ยวโม่ก่อนเป็นคนแรก เพื่อรายงานประสบการณ์การเดินทางของเขาในครั้งนี้
แน่นอน เขาปกปิดสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับอสูรฝันร้ายและร่างอสูรพยัคฆ์นภาไว้ เพราะยังไงเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้ใดทราบถึงการกลับมาเกิดใหม่ของเขา
“แม้ว่านิกายเทียนฮูจะไม่ได้ดีนัก แต่พวกเขาก็ถือว่ามีชื่อเสียงที่ดี เจ้าสมควรสร้างปัญหาให้น้อยที่สุดในอนาคต” เต๋าเสี่ยวโม่มองไปที่เต๋าซุน และพูดว่า "และแน่นอน… แม้เราจะไม่สร้างปัญหา แต่หากปัญหาวิ่งเข้ามาหาเรา นั่นก็อีกเรื่อง…. ”
เต๋าซุนพยักหน้า ส่วนเขาจะเชื่อฟังทำตามที่ท่านพ่อบอกไหม นั่นก็อีกเรื่องเหมือนกัน……
เขารู้ดีว่าตั้งแต่พ่อของเขากลายเป็นผู้นำของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำก็ล้วนแต่เพื่อประโยชน์ของนิกายเป็นหลัก
“อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสเจ็ดได้รับเทียบเชิญไปให้นิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเชิญไปชมงานประลองภายในที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน เจ้าสนใจไปดูด้วยหรือไม่ ?” เต๋าเสี่ยวโม่ก็ถามทันที
เต๋าซุนก็ตกตะลึง นิกายวสันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นนิกายชั้นหนึ่งของแดนตะวันตกไกล ในความเป็นจริงพวกเขาถือว่าเป็นกองกำลังสาขาของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ก็ว่าได้
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อกองกำลังจำนวนมากมีการจัดงานประลองภายในขึ้น พวกเขามักจะเทียบเชิญนิกายอื่นๆเพื่อมาเยี่ยมชม
สิ่งนี้ช่วยให้นิกายต่างๆสามารถกระชับความสัมพันธ์กันได้ดียิ่งขึ้น
และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มันเป็นเวทีที่พวกเขาจะได้แสดงความแข็งแกร่งของนิกายให้ผู้อื่นเห็น
โดยทั่วไป เมื่อนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จัดงานประลองภายในขึ้น พวกเขาก็มักจะเชิญนิกายต่างๆเช่น นิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ หรือ นิกายเทพศักดิ์สิทธิ์มาชมเช่นกัน
ดังนั้นการประลองจึงถูกจัดแข่งขันขึ้นอยู่หลายครั้ง
“นี่ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าใดนัก ข้าขอปฏิเสธดีกว่า” เต๋าซุนส่ายหัวแล้วตอบ
เขาจำได้ว่าในชีวิตก่อนของเขา มีต้นกล้าที่ดีอยู่สองสามต้นในนิกายวสันศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็เท่านั้น พวกเขาไม่ได้ถือว่าน่าชื่นชมหรือคุณสมบัติดั่งสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด
“ไปดูเถอะหน่า เจ้าอยู่แต่ในนิกายมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นโอกาสอันดีของเจ้าจะสัมผัสกับโลกกว้างภายนอกมากขึ้น ” เต๋าเสี่ยวโม่กล่าว
"เช่นนั้นก็เอาตามที่ท่านพ่อกล่าว" เต๋าซุนพยักหน้า ในเมื่อท่านพ่อของเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตอบตกลง
ยังไงแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนหนักทุกวันเหมือนคนอื่นๆ ตราบใดที่รากฐานของเขามั่นคง เขาก็ย่อมสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตระดับต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
หลังออกจากยอดเขาเมฆา เต๋าซุนก็กลับมาที่ยอดเขาเดียวดายของเขาอีกครั้ง
สาวใช้สองคน เหมิงซูกับเซี่ยหยิน ก็เตรียมน้ำร้อนไว้รอแล้ว ภายใต้การปรนนิบัติของพวกนาง เต๋าซุนก็อาบน้ำอุ่นอย่างกายสบายใจ
ต่อจากนั้นเจ้าปลาน้อยก็พามู่ชิงชิง บุตรสาวของผู้อาวุโสเจ็ดมาที่ยอดเขาเดียวดาย
มู่ชิงชิงยังคงเป็นเหมือนกับในความทรงจำชีวิตก่อนของเขา และมันก็ยิ่งทำให้เต๋าซุนอดไม่ได้ที่ชื่นชมรสนิยมของเจ้าปลาน้อย
จากมุมมองที่ปรากฏ มู่ชิงชิงไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใด แม้ว่านางจะดูอวบเล็กน้อย แต่มันก็ไม่เรียกได้ว่าอ้วน
สิ่งที่ทำให้เต๋าซุนประทับใจอย่างสุดซึ้งก็คือ ตัวละครที่ชื่อว่า มู่ชิงชิงคนนี้ ถ้าให้กล่าวตรงๆ นางเป็นคนที่ใจกว้าง…. กว้างไม่เท่าแม้แต่แขนข้างเดียวของนาง
เต๋าซุนจำได้ว่าตอนที่ทุกคนกำลังเล่นด้วยกันขณะที่ยังเยาว์วัย หลานชายของผู้อาวุโสใหญ่เคยล้อเลียนมู่ชิงชิงว่าอ้วนอยู่ครั้งหนึ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มู่ชิงชิงวิ่งไล่ล่าเด็กคนนั้นวนรอบนิกายเมฆาไปสามรอบ จากนั้นเมื่อถูกมู่ชิงชิงจับได้ เด็กคนนั้นก็….. ช่างอนาถเป็นอย่างยิ่ง
…………
“เต๋าซุน ครั้งต่อไปที่เจ้าออกไปเล่นข้างนอก อย่าลืมชวนข้าไปด้วยล่ะ ” มู่ชิงชิงมองไปที่เต๋าซุน และพูดอย่างไม่ใส่ใจ
นางสวมชุดสีฟ้าอ่อน มีผมยาวสีดำห้อยอยู่ข้างหลังนางอย่างหลวมๆ และผูกด้วยริบบิ้นสีชมพู
ด้วยความที่ใบหน้าเยาว์วัยของนางมีชั้นไขมันอยู่บ้าง มันจึงไม่ได้ดูน่าทึ่งมากนัก แต่หากจ้องมองดูดีๆสักพัก เจ้าก็จะเห็นว่าใบหน้านี้น่ามองยิ่งขึ้น
“เราไม่ได้ออกไปเล่น พวกเราออกไปทำภารกิจนิกายให้สำเร็จต่างหาก ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม