ตอนที่ 100
ตอนที่ 100
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนโม่จื่อ ชาชิงหัวก็สะดุ้ง นางไม่คิดเลยว่าพี่ชายจะมีการตอบสนองเช่นนี้
ในฐานะผู้สืบเชื้อสายของมหาจักรพรรดิและเป็นธิดาสวรรค์ของนิกายนรกศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ายุ่งกับนาง
แม้แต่บางคนที่แข็งแกร่งกว่านางก็ยังไม่กล้ามีปัญหาด้วย
และนอกเหนือจากสิ่งต่างๆที่นางมีแล้ว ทุกคนยังทราบอีกด้วยว่านางมีพี่ชายที่ให้ความสำคัญกับนางเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้พี่ชายคนนี้กลับไม่คิดจะล้างแค้นให้กับนางแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังเตือนนางอีกด้วยว่าอย่าได้ไปยุ่งกับอีกฝ่ายเด็ดขาด เพราะจะถูกฆ่าเอา
…………
ชาชิงหัวเหลือบมองเต๋าซุน จากนั้นก็ก้มหน้าคิดด้วยความสับสน นางรู้สึกพูดไม่ออก
เมิ่งกั๋วเองก็มองไปที่เต๋าซุนด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าเต๋าซุนจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากที่พวกเขาไม่ได้เจอกันมานาน
และขณะที่ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารอยู่นี้อีก พวกเขาก็เห็นคนอีกกลุ่มเดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง
เต๋าซุนมองดูและพบว่านั่นคือหลานชายของผู้อาวุโสใหญ่ เชาชิงหยู และศิษย์คนโตจงหวินนั่นเอง
เชาชิงหยูที่เห็นเต๋าซุนก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ "เต๋าซุน เหตุใดเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่กัน"
“ข้าต้องแจ้งให้เจ้าทราบด้วยรึว่าข้าอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่” เต๋าซุนถามกลับ
เชาชิงหยูพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะข้างๆพร้อมกับกลุ่มของเขา
แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกัน หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มในชุดขาวก็ลุกออกจากที่นั่งและมายืนอยู่ข้างเต๋าซุน
“คารวะคุณชายเต๋า ” ชายหนุ่มในชุดสีขาวมองไปที่เต๋าซุน และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชื่อ จางเหอ เป็นศิษย์ของสำนักเปี่ยวเมี่ยว ท่านจำข้าได้หรือไม่ ”
“ข้าจำไม่ได้” เต๋าซุนตอบกลับโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง
เขารู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในกลุ่มเดียวกับเชาชิงหยู ดังนั้นจึงไม่คิดจะสนใจ
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขากำลังคิดถึงโอกาสต่างๆที่ปรากฏในชีวิตที่แล้วอยู่ ไม่มีเวลามาเสวนากับคนเหล่านี้ และต่อให้เขาจะฆ่าคนเหล่านี้ทิ้งไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
พูดง่ายๆ ก็คือเขากำลังให้ความสำคัญกับบางสิ่งมากกว่า เขากำลังคิดอยู่ว่าจะฝึกบ่มเพาะเช่นไรต่อไปดี แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์จากชีวิตก่อน แต่เขาก็ไม่ต้องการเดินบนเส้นทางเดิมเหมือนก่อนหน้านี้ เขาต้องการก้าวเดินไปบนเส้นทางการบ่มเพาะที่สูงขึ้น หรือขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นร่างนักรบศักดิ์สิทธิ์ หรือไข่มุกโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาแต่ไม่อาจครอบครองได้ในชีวิตที่แล้ว
สำหรับเรื่องเกี่ยวกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ธิดาสวรรค์เหล่านี้ เขาหาได้สนใจแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องการทำตามเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น
…………
จางเหอขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีของเต๋าซุน แต่ในพริบตาเขาก็ยิ้มอีกครั้งและพูดต่อ: "คุณชายเต๋า ข้าได้ยินข่าวมา ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องการมาพิสูจน์ดู
ไม่ทราบว่าท่านกล้าให้ข้าพิสูจน์หรือไม่ ? "
เมื่อมองดูการยั่วยุของจางเหออีกครั้ง เต๋าซุนก็วางตะเกียบลง เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างใจเย็น: "ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะพูดคุยเรื่องไร้สาระกับเจ้า บางอย่างก็สมควรรู้จักพอ ไม่เช่นนั้น เจ้าคงไม่อาจรับผลที่ตามมาได้ "
เมื่อได้ยินคำพูดของเต๋าซุน จางเหอก็เหลือบมองเชาชิงหยูอย่างคลุมเครือ จากนั้นก็ปรบมืออย่างแรงเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนในโรงแรม
เขาพูดเสียงดัง: "ทุกคนจงฟังข้า ข้ามีเรื่องน่าสนใจบางอย่างมาบอก
ข้าบังเอิญได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้บุตรชายของรองหัวหน้านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้อำนาจของพ่อตัวเองทำเรื่องชั่วร้ายมากมายในนิกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอเดิมพัน หลอกล่อให้ศิษย์น้องหญิงของตัวเองไปขโมยสัตว์อสูรจักรพรรดิมาให้ตนเอง
นอกจากนี้ เขายังปล้นทรัพย์สินของศิษย์น้องบางอย่างต่อหน้าที่สาธารณะอีกด้วย อีกทั้งยังมักปฏิบัติต่อศิษย์ในนิกายคนอื่นอย่างเลวร้าย
ตอนแรกข้าก็คิดว่าข่าวลือนี้คงไม่เป็นความจริง
โดยเฉพาะวันนี้ เมื่อข้าได้มาพบเจอคุณชายเต๋าซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในข่าวลือ ข้าก็ยิ่งมั่นใจว่านั่นต้องเป็นข่าวปลอมอย่างแน่นอน
ข้าเชื่อว่าคุณชายเต๋าย่อมไม่ใช่คนเช่นนั้น แต่ทว่าข่าวลือนี้ได้แพร่งพรายออไปสู่ทุกผู้คนแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังว่าคุณชายเต๋าจะมอบคำอธิบายให้พวกเราได้กระจ่างบ้าง
เพื่อพิสูจน์ว่าตัวท่านไม่ได้น่ารังเกียจและสกปรกเฉกเช่นอย่างในข่าวลือที่ว่ากัน"
เมื่อได้ยินคำพูดของจางเหอ คนหนุ่มสาวในโรงแรมต่างก็มองไปที่เต๋าซุนด้วยความสงสัย
เต๋าซุนเหลือบมองที่จางเหออย่างเฉยเมย จากนั้นก็หันไปทางเชาชิงหยู
เมื่อเห็นสายตาที่ดูกำลังสนุกของเชาชิงหยู เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย เชาชิงหยูคงทำเช่นนี้เพียงเพื่อดูถูกเขาเท่านั้น
ต่อหน้าคนรอบข้างมากมาย เขาก็แค่อยากข่มเต๋าซุนให้อับอายและเสียหน้า
“คุณชายเต๋า ท่านมัวลังเลสิ่งใด? สรุปว่าข่าวลือเหล่านั้นใช่เรื่องจริงหรือไม่?” จางเหอก็แกล้งแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าว่าเจ้าควรไปเรียนรู้ทักษะการแสดงจากเสี่ยวกุ้ยจื่อให้มากกว่านี้ ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เมินเฉย
“คุณชายเต๋าหมายความเช่นไร ?” จางเหอตกใจและถาม
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้รับรางวัลมากเพียงใดถึงได้กล้าทำตัวเป็นสัตว์แสนเชื่องทำเรื่องแบบนี้ " เต๋าซุนยืนขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม "แต่ข้าเข้าใจสิ่งหนึ่ง ไม่ว่ารางวัลจะมากหรือจะน้อย เจ้าก็คงมีความสุขที่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องเลียแข้งขาผู้อื่น "
“อะไรกัน นี่คุณชายเต๋าโกรธเสียจนคิดอยากจะลงมือกับข้างั้นรึ?” จางเหอพูดด้วยรอยยิ้ม: “วันนี้ต่อหน้าเหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์มากมาย ข้าไม่เสียใจแม้แต่น้อยหากต้องตายเพราะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของท่าน”
“ถือว่าเจ้าเดาถูกเรื่องนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าจริงๆ ” เต๋าซุน ยิ้มแล้วค่อยๆดึงดาบของเขาออกมา
“คุณชายเต๋า นี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว ” ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินข้างๆเชาชิงหยูก็ลุกขึ้นและพูดว่า “น้องจางเพียงแต่ต้องการได้ยินคำยืนยันจากปากเจ้าเท่านั้น เพียงเพราะเขาต้องการไขความกระจ่างในชื่อเสียงของเจ้า เจ้าถึงกลับต้องฆ่าคนเชียวรึ”
ขณะที่ชายหนุ่มพูดจบ เชาชิงหยูก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างจริงจัง"เต๋าซุน เจ้าคิดจะทำอะไร?
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็นนิกายที่มีชื่อเสียงในแดนตะวันตกไกล หาใช่รังโจรไม่
ในฐานะบุตรชายของรองหัวหน้านิกายแล้ว เจ้าสมควรเป็นตัวแทนของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เราไม่ใช่รึ
เห็นเช่นนี้ ข้าเองก็คงปล่อยให้เจ้าลงมือไม่ได้ ในฐานะคนจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันแล้ว ข้าย่อมต้องรับผิดชอบต่อชื่อเสียงของนิกาย "
“เห้อ ท่านเต๋าเสี่ยวโม่มีบุตรชายเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้าไม่คิดว่าจะทำให้ตระกูลตัวเองอับอายบ้างรึไง ”
คนหนุ่มสาวในที่นี้ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เต๋าซุน มีเพียงธิดาสวรรค์และบุตรศักดิ์สิทธิ์จากนิกายที่มีชื่อเสียงเท่านั้นที่ยังไม่หาเรื่องใส่ตน
ไม่มีใครโง่พอจะทำเช่นนี้ และพวกเขาก็เพียงต้องการรับชมอะไรบันเทิงๆจากเต๋าซุนและเชาชิงหยูเท่านั้น
…………
เต๋าซุนก็ยิ้ม เขามองไปยังชายหนุ่มที่กล่าวถึงพ่อของเขา จากนั้นเขาก็หยิบวัตถุวงกลมสองชิ้นออกมา
วัตถุนี้เป็นจานรูปแบบวงรี นี่คือจานอาคมระดับที่ 6 ที่ลู่อังมอบให้กับเขาหลังจากที่เขาชนะการเดิมพันก่อนหน้านี้ ซึ่งอาคมสังหารนี้ทรงพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับ 6 เลยก็ว่าได้
ส่วนของอีกชิ้นหนึ่งนั้นคือจี้หยกที่เต๋าเสี่ยวโม่มอบไว้ให้กับเขาก่อนเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะ พลังของจี้หยกนี้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับพลังผู้บ่มเพาะครึ่งก้าวสู่ระดับ 7
เมื่อมองไปยังเต๋าซุนที่หยิบสองสิ่งนี้ขึ้นมา เหล่ารุ่นเยาว์ที่รู้ดีก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“นี่คือแผ่นสลักอาคมสังหารระดับ 6 และ จี้หยกขุมพลังครึ่งก้าวสู่ระดับ 7 ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เหล่าชายหนุ่มหญิงสาวที่วิพากษ์วิจารณ์กันก่อนหน้านี้ก็เงียบลงทันที และบางคนถึงกับมีเหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผาก
“ตอนนี้ยังมีใครกล้าขัดขวางการ ฆ่า ของข้าอีกหรือไม่” เต๋าซุนมองไปรอบ ๆ และถามอย่างเยือกเย็น
ตอนนี้ แม้แต่เชาชิงหยูเองก็หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาไม่คิดเลยว่าเต๋าเสี่ยวโม่จะใส่ใจเต๋าซุนมากถึงเพียงนี้ กระทั่งแบ่งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของตนเองไว้ในจี้หยกและมอบให้เต๋าซุนเลยทีเดียว