ตอนที่แล้ว22 เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ก็มีจนได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน

23 ทำไมต้องให้ไปด้วย


“อีกสามวันข้าจะออกนอกค่าย รอบนี้เจ้าก็เตรียมตัวไปกับข้าด้วย”

เกรเทลเงยหน้าและหันมองเจ้านาย ขณะที่มือก็ชะงักจากการเย็บขอบเสื้อคลุมของเขา เนื่องจากผ้ามันเปื่อยไปตามกาลเวลา เธอจึงบอกวอลล็อคว่าจะช่วยปะพวกเสื้อผ้าให้

เขาจะได้ไม่ต้องซื้อหรือสั่งตัดตัวใหม่ให้เปลือง แม้ว่ามันไม่ใช่เงินของเธอก็ตาม

ใบหน้าหวานยับยู่พลางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น กระทั่งชายหนุ่มต้องเดินมาใกล้แล้วนวดคลึงให้มันคลายออก อีกทั้งยังโยกศีรษะทุยเธอเล่นไปมาชวนเวียนหัวแถมขยี้เส้นผมจนฟู เธออุตส่าห์หวีเก็บผมที่เริ่มยาวให้เรียบร้อย ไม่รกรุงรังเวลาทำงาน แต่เขาก็ยังพยายามก่อกวนไม่หยุด

…เดี๋ยวแม่จะกัดมือเข้าให้หรอก…

“ทำไมมีปัญหาหรือ? ดูทำหน้าทำตาเข้า เดี๋ยวก็แก่เอาหรอก” เขาว่าพลางก้มมองเธอ

เกรเทลส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพร้อมปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง รอบก่อนตอนเธอจะหนีจากค่ายก็เป็นเขาเองที่ลากกลับเข้ามาไม่ใช่หรือไง ถามอยู่นั่นแหละว่าอยากออกไปข้างนอกทำไมนักหนา แล้วทำไมวันนี้ถึงต้องพกเธอติดตัวไปด้วย

เกรเทลไม่เข้าใจความนึกคิดของอีกฝ่าย

“ทำไมข้าต้องไปกับท่านด้วย?” เธอจึงพูดย้อนคำถามเขากลับไป

เกือบสามเดือนแล้วหลังจากแผนปฏิบัติการแหกคอกเพื่อหลบหนีออกไปข้างนอกพังไม่เป็นท่า เธอพยายามทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว ที่สำคัญคือไม่มีใครในค่ายรู้เลยสักคน หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับวอลล็อคยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น บางครั้งให้เกียรติ แต่บางครั้งเอาแต่ใจตัวเอง อยากใช้งานตอนไหนก็เรียก

เกรเทลปักธงแดงอีตาหัวเขียวว่า เขาคงเส้นคงวาพฤติกรรมกวนบาทาได้อย่างดีเยี่ยมเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลายครั้งที่เธอเหม่อลอย พานให้สติสตังไม่อยู่กับงานที่ทำเพราะเอาแต่นึกถึงเรื่องความฝันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็เป็นเขาเองที่ชอบเข้ามาก่อกวนหรือหาเรื่องให้หงุดหงิดเสมอ ทว่ามันกลับส่งผลดีกว่าที่คิด เกรเทลกังวลน้อยลง สมองเหมือนได้คลายความตึงเครียด เพราะต้องปวดหัวกับความผีเข้าผีออกของเจ้านายแทน

ทั้งคิดถึงบ้าน ทั้งเศร้าซึม เธอพยายามตั้งสติแล้วก้าวข้ามผ่านมันในแต่ละวันอย่างยากลำบาก แม้ไม่แน่ใจว่าความฝันที่เห็นนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ทว่ามันสามารถไขข้อสงสัยได้ว่าทำไมถึงมาโผล่ในสถานที่แปลก ๆ แห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเพราะโชคชะตาที่พยายามเล่นตลกหรือมีสิ่งใดจงใจ เกรเทลก็ตั้งใจดิ้นรนหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการ

นอกจากความเร้าหรือของวอลล็อคแล้ว นิสัยขี้แกล้งก็ยังไม่เลิกสักที วันดีคืนดีเรียกให้เธอวิ่งหน้าตั้งมาหาที่บ้านพักด้วยอาการตกใจ พอถึงอีกฝ่ายดันพูดว่า ‘ข้าหาของไม่เจอ เจ้าช่วยหาที’ เป็นแบบนี้บ่อย ๆ จนเลิกแหกขี้ตาตื่น เพราะรู้ไงว่าอีตาบ้านั่นมันจงใจแกล้ง ไม่ก็แค่อยากเช็กว่าเธอยังอยู่ดีไม่ได้หายไปไหน แถมเขายังสรรหางานสารพัดมาให้อีก เรียกว่าชอบใช้ไปเรื่อย เธอคิดว่าน่าจะเกินค่าตัวไปไกลแล้ว

“ข้ามีธุระที่ต้องจัดการ แล้วงานนี้เจ้าต้องไปด้วยเข้าใจยากตรงไหนกัน” ชายหนุ่มพูดตอบ มือหนาเท้าเอวทั้งสองข้างพลางยืนมองหน้าคนตัวเล็กกว่า

“แล้ว?”

เกรเทลเลิกคิ้วขึ้นสูง เด็กสาวไม่เก็ตว่าธุระนั้นมันหมายถึงอะไร ทำไมต้องให้ไปด้วยในเมื่อไม่ใช่งานของเธอสักนิด แล้วจะช่วยอะไรอีกฝ่ายได้ เพราะแค่เธอคนเดียวยังเอาตัวรอดไม่ได้เลย

“อย่างน้อยเจ้าไปก็ช่วยงานข้าได้”

“แต่ข้าอยู่ที่นี่ก็ทำงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอเจ้าคะ?”

ไม่ใช่ว่าไม่อยากออกไปข้างนอกนะ แต่เธอกลัวเหมือนรอบก่อนที่พยายามหนีจากค่ายตลาดค้าทาส สภาพไม่ต่างจากหมาป่วยเลย

“ก็เดี๋ยวถ้าเจ้าก่อเรื่องอีก ข้าจะได้ไม่ต้องวุ่นวายกลับมาจัดการปัญหาทีหลังไง”

“นี่ท่านกำลังหาว่าข้าเป็นตัวปัญหาเหรอ?” ร่างบางถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่ยืนยิ้มหน้าระรื่นไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ทั้งสิ้น

“แล้วแต่จะคิด อย่าลืมจัดกระเป๋าล่ะ”

วอลล็อครีบพูดตัดบทสนทนาเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับนางเยอะ ก่อนหันหน้าเดินหนีทิ้งให้เกรเทลหายใจฟึดฟัดหงุดหงิด ไม่เข้าใจความคิดของเขาไปทั้งแบบนั้น

“อีตาหัวเขียว อย่าให้ถึงทีฉันบ้างนะ” เธอพูดพึมพำด่าอยู่ในลำคอ แต่ใครจะไปนึกว่าเขายังได้ยินคำนินทาเมื่อครู่

“หูข้าไม่ได้ตึงนะเจ้าหนู”

วอลล็อคตะโกนตอบ ทำเอาร่างบางสะดุ้งแรงเกือบตกเก้าอี้ โชคดีที่เธอดึงตนเองกลับมานั่งได้ทัน พร้อมหันมองแรงใส่เจ้านายที่ตอนนี้เดินหายออกไปจากบ้านพักเรียบร้อยแล้ว

เกรเทลเคยคิดว่าสภาพอากาศของโลกนี้มันช่างแปรปรวนเสียเหลือเกิน เธอจำได้แม่นว่าในตลาดค้าทาสเหมือนฤดูร้อนกึ่งใบไม้ผลิ บางโซนร้อนตับแตก บางโซนลมเย็นโปร่งสบาย แดดไม่จัด แต่เมื่อก้าวขาออกมาด้านนอกได้ไม่ถึง 3 กิโลเมตร กลับกลายเป็นฤดูหนาวที่มีพายุหิมะตกอย่างรุนแรง

ทำไมอีตาหัวเขียวไม่บอกเธอเรื่องสภาพอากาศวะ?!

เธอมีแต่เสื้อผ้าเนื้อบางในกระเป๋าสะพายเป้ ทุกตัวล้วนไม่มีความหนาทั้งนั้น ตอนนี้เกรเทลจึงนั่งสั่นเป็นลูกนกอยู่บนรถลากเลื่อนหิมะ ลมหนาวพัดกระแทกตลอดเวลาที่พาหนะเคลื่อนตัวไปข้างหน้า จนตัดสินใจย้ายก้นมานั่งท้ายรถเผื่อช่วยได้บ้างนี้

“ทำไมท่านไม่บอกข้าเรื่องมีหิมะ?” เสียงสั่น ๆ ของคนตัวเล็กแหกปากตะโกนแข่งกับลมพายุ

ทีแรกร่างบางนั่งท้าลมอยู่ด้านหน้ารถลากเลื่อนที่เปิดหลังคาโล่ง มีสัตว์พาหนะอย่าง ‘ดอดจ์ฟอร์ซ’ ซึ่งที่นิยมนำมาใช้ช่วงหิมะตกหนัก เนื่องจากมันทนทานต่อสภาพอากาศรุนแรงแบบนี้ แถมยังสามารถลากรถด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนเธอเองต้องพลิกตัวนั่งเบาะที่หันหลังให้ แต่สุดท้ายก็ย้ายไปนั่งหลังสุดของแถวที่สองแทนเพราะทนหนาวไม่ไหว

วอลล็อคจึงหันไปมองเด็กในปกครองที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าตนเองภายใต้เสื้อแขนยาวลินินสีเทาอ่อน เพราะเขานั่งอยู่ข้างคนขับรถลากเลื่อนซึ่งว่าจ้างมาเฉพาะกิจ

“ข้าลืม”

คำตอบของเจ้านายบอกพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันดูตลกขบขัน เกือบทำเธอปรี๊ดแตกด่ากลับโดยทันที หากเกรเทลไม่ตั้งสติหักห้ามใจและยั้งปากเอาไว้ได้ ชายหนุ่มคงได้ยินประโยคสารพัดที่จะยกมาด่าแน่นอน

“ท่านลืม? แล้วข้าก็มีแต่ชุดบาง ๆ เนี่ยนะ ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป ท่านช่วยเมตตาสละผ้าห่มหนา ๆ ให้ข้าสักผืนก็ยังดี ข้าหนาวจะตายอยู่แล้ว!” เธอกล่าวประชดประชันแบบทีเล่นทีจริง

ตัวเองใส่ชุดกันหนาวเต็มยศ ผิดกับเธอที่เสื้อโคตรพ่อโคตรแม่บางจนต้องร้องขอชีวิต

ในเมื่อเขาพามาเผชิญสถานการณ์แบบนี้ ก็ได้โปรดรับผิดชอบในฐานะเจ้านายที่มีจิตสำนึกก็ยังดี ไม่ใช่ปล่อยให้หนาวตายอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ คนสติดีที่ไหนกันจะไม่บอกกล่าวผู้ร่วมเดินทางว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ยิ่งคนแบบเธอที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับด้านนอกตลาดค้าทาสด้วยแล้ว

เนี่ย มีเรื่องมาให้น้อยใจอีกแล้วอีตาหัวเขียว ทำแบบนี้บ่อย ๆ จะไม่คุยด้วยหลายวันเลยคอยดูเถอะ

“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าขี้บ่นได้ขนาดนี้”

ไม่พูดเปล่า เขาค่อย ๆ ดึงแขนออกจากเสื้อคลุมสีดำยาวของตนเอง สละให้เกรเทลอย่างว่าง่ายโดยไม่อิดออด จัดวางให้คนตัวเล็กด้วยความนุ่มนวลต่างกับคำพูดลิบลับ วอลล็อคก้มลงเล็กน้อย วาดวงแขนอ้อมหลังอีกฝ่ายเพื่อที่เสื้อจะสามารถปกป้องร่างบางไม่ให้ลมหนาวปะทะ แล้วมือหนาจึงบรรจงติดกระดุมตรงคอจนแน่น

ลมหายใจอุ่นร้อนรดหน้าผากชวนให้รู้สึกจั๊กจี้ พฤติกรรมของวอลล็อคแตกต่างไปจากปกติกระทั่งใจมันหวิวแปลก ๆ เด็กสาวตัดสินใจช้อนสายตาขึ้นดูว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหยุดนิ่ง จึงพบว่าชายหนุ่มก็มองมายังเธอด้วยเช่นกัน กลายเป็นว่าต้องรีบหลบสายตาหนีเสียเอง

“อะแฮ่ม ขอบคุณค่… ขอรับ”

เพราะยังอยู่ข้างนอกเธอจึงต้องปกปิดความลับว่าเป็นผู้หญิงไว้ การเบี่ยงเบนความสนใจแบบนี้ช่วยให้ทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตง่ายขึ้น จริง ๆ จะบอกว่าสิทธิสตรีในโลกนี้ค่อนข้างล้าหลังกว่าโลกเดิมสองถึงสามก้าวก็ว่าได้

ปัจจุบันเกรเทลเริ่มอ่านออกเขียนได้บ้างแล้ว ข่าวล่าสุดที่เธอพยายามหัดอ่าน บอกว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกฎหมายหรืออะไรสักอย่างให้กับสตรีในประเทศ โดยเปิดกว้างมากขึ้น การกดขี่ลดน้อยลง แต่ทุกอย่างล้วนยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่ประชุมสภากลาง ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะพบข้อสรุป หรือหาทางลงให้กันได้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากยังมีพวกสมองไดโนเสาร์คอยขัดแข้งขัดขาเด็กรุ่นใหม่อยู่เสมอ

เกรเทลกระชับเสื้อคลุมไว้ให้แน่นขึ้น เหม่อมองออกไปนอกรถลากเลื่อน ชมวิวทิวทัศน์ ภูเขาลูกใหญ่ที่มีต้นไม้รูปร่างหน้าตาแปลก ๆ แต่บางต้นก็ดูเหมือนเคยเห็นเช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวสะอาดตา สองข้างทางที่เธอผ่านมายังไม่เจอบ้านเรือนมากนัก

“เรากำลังจะไปไหนกันแน่ขอรับ?” เธอตัดสินใจถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

หลายกิโลเมตรแล้วที่พวกเธอเดินทางมา ตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดมิดหากบัดนี้มีดวงอาทิตย์ลอยเด่นเหนือหัวเป็นที่เรียบร้อย แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานความรุนแรงของพายุหิมะนี้ได้เลย

“เรากำลังจะไปเมืองท่ายิปซีกันไอ้หนู”

วอลล็อคกลับไปนั่งที่เดิมเรียบร้อย เขาไม่มีเสื้อคลุมตัวหนาแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านต่อหิมะเท่าไร เธอจึงไม่กล้าถามว่าหนาวไหม ถือเสียว่าทำโทษที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกเธอเรื่องสภาพอากาศละกัน

ทนหนาวไปเถอะพ่อคุณ!

จากนั้นอีกประมาณครึ่งชั่วโมงรอบด้านก็เริ่มมีบ้านเรือนขึ้นกันเต็มไปหมด เสมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นพื้นที่โล่งมาก่อน ดูครึกครื้นรื่นรมย์และสีสันเพราะแต่ละหลังได้เปิดไฟประดับประดาตามหลังคาจนแสงสว่างส่องทั่ว

เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจเพราะนอกจากไฟประดับแล้ว บรรยากาศของที่นี่ยังดูอบอุ่นแปลก ๆ ไม่มั่นใจว่าด้วยชุดที่ผู้คนนิยมสวมใส่หรือไม่ซึ่งเป็นสีโทนน้ำตาลอ่อนสลับกับสีเข้ม บ้างก็สีแสดแปลกตา

“ถึงแล้ว”

วอลล็อคหันหน้าบอกเธอ จากนั้นรถลากเลื่อนหิมะก็หยุดนิ่งลงอย่างช้า ๆ ตรงลานกว้าง ชาวบ้านต่างเหลือบมองทางนี้เล็กน้อย สักพักจึงเลิกสนใจและทำงานของตนเองต่อ เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะมีนักท่องเที่ยวหรือผู้คนมาทำธุรกิจการค้าในเมืองท่าแห่งนี้

ทั้งสองคนจึงลงรถลากเลื่อนด้วยความระมัดระวังเนื่องจากพื้นถนนค่อนข้างลื่นมาก มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด หากเดินไม่ระวังอาจล้มหัวทิ่มกันได้ ทั้งอากาศยังหนาวเย็นจนควันออกปากของเกรเทล ยิ่งส่งผลให้เธอกระชับเสื้อคลุมแน่นกว่าเดิม

ร่างสูงยืนมองทัศนียภาพโดยรอบ ชาวบ้านทั้งหลายต่างช่วยกันจัดข้าวของเพื่อเตรียมงานเทศกาลประจำปี ฉะนั้นจึงมีผู้คนมากมายกว่าปกติ เพราะต่อให้เมืองท่ายิปซีจะขึ้นชื่อเรื่องการค้า แต่ในยามปกติมักเงียบสงบเหมือนอยู่นอกตัวเมือง วิถีชีวิตของคนที่นี่เรียบง่าย พวกเขาจะออกมานอกบ้านก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น

“เราจะไปหาที่พักกันก่อน แล้วค่อยทำธุระต่อ”

เธอพยักหน้าเข้าใจ อย่างน้อยก็ไม่ต้องแบกสัมภาระหนัก ๆ เดินไปเดินมา ช่วงนี้ยิ่งรู้สึกปวดหลังกับไหล่ด้วย เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนช่วยพวกป้าแม่บ้านยกของหนัก แล้วคงจะผิดท่าจึงทำให้บาดเจ็บกลับมา ทว่าวอลล็อคไม่รู้เรื่องนี้เนื่องจากไม่ได้ปริปากบอกเขาเลย ยอมอดทนกัดฟันแล้วทำงานต่อ ไม่อยากถูกดุว่าไม่หัดระวังตัวเอง

ชายหนุ่มพาเธอเข้าตึกสูงทว่าดูแปลกแยกกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา ซึ่งมันมีห้องพักหลายชั้น การตกแต่งภายในไม่ได้หรูหราหรือมีราคาแพง ดูจากข้าวของเครื่องใช้คงเป็นโรงแรมระดับกลาง ๆ หากสะอาดไม่เหม็นอับ มีกลิ่นแมกไม้ผสมกับดอกไม้บางชนิดอบอวล ทำให้ผู้มาเยือนใหม่รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

“เข้าพัก 2 คนครับ”

เสียงทุ้มเอ่ยดังเรียกความสนใจ พนักงานต้อนรับที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์เงยขึ้นมามองลูกค้าคนใหม่สำหรับวันนี้ พร้อมส่งยิ้มทักทายให้พวกเขาตามหน้าที่

“โอ้ สวัสดีขอรับคุณผู้ชาย เข้าพัก 2 ท่านนะขอรับ” เจ้าตัวรีบลุกขึ้นยืนและก้มโค้งให้อย่างนอบน้อม ตั้งแต่เช้ายังไม่มีลูกค้ามาใหม่เลย จึงไม่น่าแปลกใจถ้าเขาจะกระตือรือร้นในการต้อนรับขนาดนี้

พนักงานหนุ่มหันหลังไปดูบนกำแพงที่มีหมายเลขห้องเรียงรายเต็มผนัง ยืนมองอยู่สักพักก็เอื้อมมือใต้ถุงมือสีขาวซึ่งเลอะคราบหมึกสีดำตรงปลายนิ้วไปยังกุญแจทองเหลืองดอกหนึ่ง แล้วกลับมายื่นกุญแจให้วอลล็อคดู

“กระผมต้องขออภัยด้วยขอรับ ตอนนี้เหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายทั้ง 2 ท่านสะดวกไหมขอรับ เพราะช่วงนี้ใกล้ถึงเทศกาลงานชุมนุมประจำปี ห้องพักที่นี่ส่วนใหญ่จึงเต็มหมดแล้วขอรับ”

ร่างสูงมองกุญแจดอกนั้นนิ่ง ๆ พร้อมพยักหน้าเข้าใจ ทว่าเกรเทลเหวอกินเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าเธอจะนอนห้องเดียวกันกับผู้ชายอย่างอารอล์ฟ ทว่าแยกเตียงคนละฝั่งของบ้าน แต่อีตาหมอนี่น่ะไม่เคยเลย หากไม่นับตอนนั้นที่ตื่นมาในบ้านเขาแบบไม่ได้ตั้งใจ

พนักงานต้อนรับส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมผายมือเชิญพวกเธอไปทางบันได

“ยินดีต้อนรับสู่เมืองท่ายิปซี เชิญพักผ่อนตามสบายนะขอรับ หากขาดเหลืออะไรเรียกใช้กระผมได้ทันทีเลยขอรับ”

เธอหอบกระเป๋าเป้เดินตามวอลล็อคมาจนถึงห้องตามหมายเลขบนกุญแจ เมื่อเปิดประตูพบว่าภายในขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่มาก มีเตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง กับตู้เก็บเสื้อผ้าที่พอจะยัดกระเป๋าสัมภาระเข้าไปได้ 2 ใบ ยังดีที่ห้องน้ำในตัวจึงไม่จำเป็นต้องออกไปใช้รวมกับใคร แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เด็กสาวรู้สึกกระอักกระอ่วนจนเผลอพูดออกมาเบา ๆ คือ…

“มีเตียงเดียว…”

เสียงเกรเทลพึมพำลอยเข้าหูวอลล็อคชัดเจน แม้จะเอ่ยเบาก็ตาม เด็กสาวคิดเอาไว้แล้วว่าในห้องพักอาจมีเพียงเตียงเดียวแน่ ๆ เพราะฟังจากคำพูดของพนักงานต้อนรับ แต่พอเห็นกับตาจริง ๆ กลับอดขมวดคิ้วไม่ได้ ต่อให้เคยนอนกับพี่ชายและพ่อมาก่อน แต่เมื่อเธอโตขึ้นหน่อยต่างก็มีห้องนอนแยก

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าไปนอนอีกฝั่งแล้วกัน”

วอลล็อครีบพูดขึ้นมาก่อน แล้วเดินไปวางกระเป๋าตนเองทางฝั่งขวาของเตียง นางเป็นสตรีเขา ไม่สามารถห้ามความคิดของเกรเทลได้ แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุดในฐานะเจ้านาย แต่กรณีนี้มันช่วยไม่ได้ ถ้าให้ไปหาโรงแรมใหม่ เขาก็กลัวจะไม่ได้ห้องตามที่พนักงานต้อนรับบอก

“ข้าก็ยังไม่ทันได้พูดอะไรสักคำหนิ”

หน้าหวานยับยู่และแยกเขี้ยวใส่ลับหลัง นอกจากความเอาแต่ใจก็คงเรื่องหูดีนี่แหละที่เธอมั่นใจว่าเขาไม่แพ้ใคร เกรเทลเดินอ้อมไปฝั่งตรงข้ามของเตียงนอน เธอลังเลว่าจะถามอีกครั้งดีไหมว่ามาทำอะไร จึงกลายเป็นอาการก้ม ๆ เงย ๆ มองเจ้านายผมสีเขียว จนกระทั่งวอลล็อคหมดความอดทนเลยถามออกไปเพราะเห็นแล้วขัดใจ

“สงสัยอะไรก็รีบถาม ข้าเห็นแล้วปวดหัวแทน”

“ตกลงท่านมาทำอะไรที่นี่กันแน่”

คำถามเดิมรอบที่ล้านแปดของเจ้าหนูดังขึ้น ก็น่าสงสัยอยู่หรอกว่าทำไม เป็นใครก็คงอยากรู้ว่าตนเองกำลังจะไปที่ไหน ชายหนุ่มลังเลว่าควรพูดเหตุผลแบบใดดี ความเงียบโรยตัวสักพักวอลล็อคจึงตัดสินใจได้แล้วว่าจะบอกความจริงนาง เขาเลือกไม่โกหกเกรเทล

“ข้ามาหาคนคนหนึ่ง”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า” ร่างเล็กถามขึ้นทันควัน ไม่รอให้เขาได้ตั้งหลัก

“อืม… เกี่ยวสิ เพราะรอยสักที่แขนของเจ้าไง”

สิ้นประโยคพูดของชายหนุ่ม เกรเทลเลิกคิ้วขึ้นสูงพลางหันใบหน้ามองที่ข้อมือข้างซ้ายของตนเองทันที เธอคิดมาตลอดว่ามันคงเป็นแค่รอยสักปกติทั่วไป ไม่ได้มีสาระสำคัญใด ๆ ที่ต้องใส่ใจ แต่การที่เขาบอกแบบนั้น แสดงว่าสิ่งนี้ต้องมีความหมายอย่างอื่นแอบแฝงแน่

หญิงสาวเงียบไปอึดใจหนึ่ง ดวงตาฉายแวววิตกกังวลทันที สีหน้าและท่าทางทั้งหมดตกอยู่ในสายตาวอลล็อค ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาจะไม่รับรู้ความรู้สึกของเธอ

“แล้วมัน… อันตรายไหมเจ้าคะ?” เกรเทลกลั้นใจถามออกไป

“ข้าไม่อยากตอบข้อนี้ซะด้วยสิ เอาเป็นว่าเจ้ายังไม่ต้องกังวลหรอก”

สีหน้าที่ดูสบาย ๆ ไม่ยี่หระต่อคำว่าอันตรายของร่างสูง ทำให้คนฟังเบาใจลงไปได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจากนี้เธอต้องหาเศษผ้ามาพันรอบข้อมือเสียแล้ว กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นจริงคงเอาตัวรอดยาก ต่อให้วอลล็อคบอกว่าสบายใจได้ แต่ก็จะไม่ประมาทโดยเด็ดขาด

โครก

ท่ามกลางความเงียบมีเสียงท้องร้องของใครสักคนดังขึ้น ทั้งคู่ต่างหันมองหน้าซึ่งกันและกัน เป็นเกรเทลเองที่แก้มแดงทำอะไรไม่ถูก เธอไม่เคยรู้สึกอายแทบจะมุดแทรกแผ่นดินหนีมาก่อน ท้องเจ้ากรรมดันร้องเอาตอนนี้เนี่ยนะ? อยากจะบ้าตาย ทำไมไม่ร้องเวลาอื่นที่ดีกว่านี้

“ตอนนี้บ่ายโมงกว่าละ เราไปหาอะไรกินกันเถอะเจ้าค่ะ” เธอพูดแก้เขิน

วอลล็อคแอบยกยิ้มมุมปากน้อย ๆ ขบขำกับอาการแตกตื่นของคนตัวเล็ก เขาไม่แปลกใจนักหากนางจะหิวข้าว เพราะตั้งแต่เช้ามายังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันทั้งคู่ เนื่องจากต้องรีบเดินทาง ก่อนยืนดูอีกฝ่ายหน้าตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูกละฮาดี สงสัยวันนี้ทั้งวันคงอารมณ์ดีอีกแล้วสินะ

“ไปเถอะ”

เขาหันหลังเดินออกทางประตูอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เด็กสาวยืนงงไม่ทันได้ตั้งตัวกับความด่วนตัดสินใจของวอลล็อค กว่าจะรวบรวมสติได้ อีกฝ่ายก็ไปไกลแล้ว เกรเทลจึงต้องรีบวิ่งโดยไม่ลืมล็อกประตูห้องพักก่อน

ทั้งสองคนเดินออกมาจากโรงแรมประมาณ 500 เมตร ก็เจอกับตลาดขนาดใหญ่ของที่นี่ ทุกร้านวางแผงเรียงรายทอดยาวเป็นกิโลเมตร มีทั้งอาหารแห้งและสด ผักผลไม้ หรือแม้กระทั่งข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็น นอกจากนี้สิ่งที่สะดุดตาเธอเป็นอย่างมากคือเครื่องเรือนสีขาวลายคราม

“ที่นี่เป็นแหล่งส่งออกพวกเครื่องเรือนลายครามระดับต้น ๆ ของประเทศ”

เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัวเธอ เกรเทลหันหน้ามองตามสายตาของเขา วอลล็อคอธิบายมันอย่างตั้งใจโดยไล่ไปทีละอย่างสองอย่าง เหมือนรู้ว่าเธอกำลังจะถามอะไรต่อ

“พวกชาวบ้านจะส่งออกแท่งน้ำแข็งหรือผลไม้ประจำฤดูกาลไปยังเมืองอื่น ๆ ด้วย”

รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้าหญิงสาวทันที ใจอยากเอ่ยชมเขาอยู่หรอกว่าทำตัวเป็นคนปกติดี ๆ ก็ได้เหมือนกันนี่นา ดูน่ารักขึ้นตั้งเยอะ เพราะในเวอร์ชันเดิมอย่างกับผีเข้าผีออก แต่ทำได้แค่คิดในใจ กลัวพูดไปจะขัดอารมณ์กันเสียเปล่า เหมือนอีกฝ่ายรู้ตัวว่าเธอมองอยู่จึงหยุดพูดแล้วเหล่สายตามาสบ

“ทำไม หน้าข้ามีอะไรติดหรือ มองอยู่ได้”

“นั่นปากท่านเหรอ”

ร่างบางหุบยิ้มแทบไม่ทัน คนอะไรปากปีจอซะไม่มี เธอเห็นว่าเขาใจดีอธิบายเรื่องของโลกนี้ให้ฟัง อุตส่าห์ชมในใจว่าเขาก็มีมุมน่ารักเหมือนกัน ไม่ใช่จ้องจะขัดไปเสียทุกอย่าง แต่สงสัยต้องเก็บคำนั้นกลับคืนลงคอให้ลึกแทน

เกรเทลเดินนำพลางเชิดหน้าไม่สนใจแล้วดูร้านค้าต่าง ๆ ต่อ เมื่อเห็นดังนั้นวอลล็อคจึงส่ายหัวให้ เห็นทีนางคงหมั่นไส้กันกว่าเดิม เพราะชอบแกล้งอีกฝ่ายให้ทำท่าทางตลก ๆ ออกมา แต่ทุกอย่างล้วนทำจากใจไม่ได้ปรุงแต่งหรือเสแสร้ง มันทำให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

เพราะบางครั้งเขาเองก็ไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในใจออกไปได้ทั้งหมด เรื่องบางเรื่องยังต้องเก็บมันเอาไว้เพียงคนเดียว ทั้งหมดล้วนอึดอัด เหมือนคนกำลังจะตาย ช่วงเวลานี้จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากที่สุด

ร่างสูงก้าวขาตามหลังของเกรเทลเรื่อย ๆ โดยไม่ปริปากบ่นอะไรสักคำ ทว่าเธอไม่ได้ซื้ออะไร เพียงแค่เข้าไปดูแล้วออกมาอย่างเงียบเชียบและไม่ได้เจาะจงร้านไหนเป็นพิเศษ มีบ้างที่หยุดดูพวกของสวย ๆ งาม ๆ แต่ไม่นานก็เดินต่อ

วอลล็อคมองว่าบางครั้งควรปล่อยให้คนใกล้ตัวผ่อนคลายบ้าง ออกมานอกค่ายทั้งทีจะให้เกรเทลคอยตามหลังอยู่ฝ่ายเดียวคงเบื่อแย่ และหากปล่อยให้เดินคนเดียวมันอันตรายเกินไป ฉะนั้นเขาก็จะเป็นคนพานางเที่ยวเอง อย่างน้อยใกล้ตัวแถมยังอยู่ในสายตา มีเหตุอะไรสามารถลงมือช่วยได้เลยทันที

“สนใจแวะดูสินค้าร้านของเราก่อนได้นะเจ้าคะ”

“ร้านเรามีผ้าเนื้อดีจากฟากตะวันตก คุณผู้ชายนำไปให้หญิงคนรักได้นะขอรับ”

“เครื่องประดับผมสตรีมีให้เลือกมากมาย ท่านเชิญแวะมาดูก่อนได้”

คำเชื้อเชิญมากมายจากพ่อค้าแม่ค้าดังกระหึ่มเต็มสองรูหูของเกรเทล ไม่ว่าจะเดินไปซอกซอยไหนก็โดนเชียร์ขายสินค้าร้านตนเอง แถมร่างบางต้องค่อยหลบเลี่ยงผู้คนที่เดินสวนกันอย่างระมัดระวังเนื่องจากหิมะละลายจนพื้นถนนลื่น ขณะนี้เธอไม่มีเงินติดตัวหรือของมีค่าใด ๆ ไว้ซื้อได้ทั้งนั้น

ตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ภายในตลาดค้าทาส วอลล็อคไม่ได้ให้เงินเธอตามที่ตกลงกันไว้ แต่เขาก็ดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี ไม่มีมื้อไหนต้องอดหรือไม่รู้สึกอิ่ม เวลาขาดเหลืออะไรอีกฝ่ายก็จะไปหามาให้เสมอ

กระทั่งเธอได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยผ่านสายลมเย็น ร่างเล็กเลยตามหาที่มา เมื่อลองเดินโซนที่ขายพวกอาหารท้องถิ่น เธอจึงเข้าไปดูก่อนพบว่ามันเป็นเนื้อเสียบไม้ย่าง มีเนยและผักสมุนไพรผสมอยู่ ส่งผลให้กลิ่นหอมตลบชัดเจนกว่าร้านอื่น ๆ ซึ่งทำให้หิวมากขึ้นกว่าเดิม

“เอา 4 ไม้”

เสียงทุ้มคุ้นหูจากด้านหลังดังขึ้นทำเอาเธอสะดุ้งตัวโยน เป็นอีตาหัวเขียวที่นี่เอง ตอนแรกหลงคิดว่าเขาหายไปท่ามกลางฝูงชนแล้วด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าเขาจะเดินตามเธอมาโดยไม่ส่งเสียงห้ามแบบนี้

…นี่ฉันเดินนำเขามานานแค่ไหนแล้วนะ?...

เมื่อแม่ค้าได้หันหน้ากลับแผงอาหารร้านตนเองหลังมัวแต่ยืนคุยกับร้านข้างเคียง สายตาก็จับจ้องไปที่ลูกค้าร่างสูงทันที คาดว่าอีกฝ่ายคงเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ก็มาหารือเรื่องธุรกิจในเมืองท่าแห่งนี้ ออราของชายหนุ่มมันชัดเจนมากจนเธอบิดเขินตัวแดง

“อุ๊ย! ได้เจ้าค่ะ รอย่างสักครู่เจ้าคะ”

เกรเทลอดมองรอยยิ้มหวานหยดย้อยของแม่ค้าตรงหน้าไม่ได้ สำหรับเธอวอลล็อคถูกจัดอยู่ในผู้ชายเบ้าหน้าฟ้าประทาน หล่อ เข้ม ดุดัน แต่เพราะอยู่กับเขาทุกวันและเกือบจะตลอดเวลา ทำให้ต่อมความรู้สึกลดลงไปมาก ทั้งพฤติกรรมยังดูน่าหมั่นไส้มากกว่า จะให้นำมาหักล้างกันคงยากเกิน

“นี่เจ้าค่ะ ข้าคิดแค่ 3 เหรียญเงิน” เธอยื่นห่อมีเนื้อเสียบไม้ส่งให้เขา พร้อมพูดเป็นเสียงกระซิบที่ได้ยินกันสองคนในประโยคสุดท้าย

“ข้าลดให้เจ้าค่ะ”

แต่เผอิญว่าหูของเกรเทลไม่ได้ตึง เธอยืนอยู่ใกล้พวกเขามากพอจนได้ยินประโยคเมื่อครู่ ร่างบางแทบมองบนใส่แม่ค้าสาวคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหูเล่นตา น้ำเสียงซึ่งถูกบีบจนเล็กหวาน เพราะมั่นใจว่าเสียงเดิมคงไม่ใช่โทนนี้แน่

แบบนี้เรียกว่าอ่อยผู้ชายได้ไหมนะ

“หากไม่เป็นการล่วงเกิน ท่านมีนามว่าอะไรหรือเจ้าคะ?”

เกรเทลแทบหัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่คาดคิดว่าแม่ค้าสาวคนนี้จะใจกล้าถามต่อ ทั้งที่หน้าตาของชายหนุ่มตอนนี้บอกบุญไม่รับอย่างแรง ก่อนตั้งใจรอดูสถานการณ์ต่อไปโดยไม่ช่วยอะไร อยากรู้เหมือนกันว่าวอลล็อคจะทำยังไง ในเมื่อหล่อนอยากรู้ชื่อแซ่เขาขนาดนี้

------

กดหัวใจ ❤️ หรือคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ

หากพบคำผิด แก้ไขหรือติชม โปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ

****

Talk with writer

ความเอาแต่ใจของนางวอลดี้คืออันดับหนึ่ง เกรเทลหนูลูกก็อดทนกับเฮียเขาหน่อยนะ เดี๋ยวไม่นานเขาก็กลายร่างแล้ว555555 เชื่อว่าคุณรี้ดอยากตบหัวนักเขียนไม่ก็อีตาวอลล็อค ต้องมีคนหลังแอ่นหลังหักกันบ้างแล้วค่ะ อ่านไปคงแบบไหนฉากเลิฟซีน มีแต่จะหยุมหัวกัน🤣

****

แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัปเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่

Facebook : C.T.Tiana

X (Twitter) : @Ccttiana

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด