บทที่ 138 คนคุ้นเคย
ภารกิจที่หยางเสี่ยวเทียนได้มอบหมายให้พวกเขาทั้งห้า ยามนี้สำเร็จเป็นไปตามต้องการ และพวกเขากลับมาพร้อมกับทาสจำนวนมากที่อยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบทุกคน
ซึ่งภาพรวมนั้นนับว่าดีทีเดียว ด้วยทาสที่ทั้งห้านำกลับมาในครานี้ ล้วนมีคุณภาพสูงกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเขากวาดสายตามองทาสทั้งห้าสิบสามคนเบื้องหน้า หยางเสี่ยวเทียนก็แสดงรอยยิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเป็นที่สุด แล้วกล่าวกับเลี่ยวคุนและจางจิงหรงว่า
“พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
เลี่ยวคุนและอีกสี่คนรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก ต่างหันซ้ายแลขวาความมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม แม้งานแรกที่เขาได้รับมอบหมายจากหยางเสี่ยวเทียน จะเป็นงานที่มิได้ยุ่งยากอะไรนัก แต่เมื่อเห็นเขาประทับใจเช่นนี้ พวกเขาก็ยินดียิ่ง
“นายน้อยกล่าวชมเกินไปแล้ว” เลี่ยวคุนกล่าวด้วยรอยยิ้มพลางยกมือประสานกำหมัดแน่น
“นี่คือสิ่งที่เราควรทำ หากนายน้อยยังต้องการทาสขั้นนักยุทธ์ระดับสิบมากกว่านี้ พวกเราสามารถเดินทางไปยังเมืองห่างไกลเพื่อหาซื้อมาได้อีก หรือไม่ก็ไปยังเมืองหลวงเสินไห่” เขากล่าวเสริม
เมืองหลวงเสินไห่งั้นหรือ?
ชื่อเมืองที่เลี่ยวคุนกล่าวมาเมื่อครู่ ทำเอาหัวใจของหยางเสี่ยวเทียนสั่นไหวไปชั่วครู่
หากเขามีเวลามากกว่านี้ หยางเสี่ยวเทียนเองก็อยากจะไปเยี่ยมชมเมืองหลวงเสินไห่กับพวกเขาด้วยอยู่บ้าง
อีกทั่งเขายังต้องการไปเยี่ยมเยียนหลี่เหวิน ปรมาจารย์อาวุโสของสมาคมนักปรุงโอสถแห่งอาณาจักรเสินไห่
ซึ่งปรมาจารย์หลี่เหวิน เคยมอบป้ายหยกประจำตัวให้หยางเสี่ยวเทียนมาก่อนหน้านี้
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน” หยางเสี่ยวเทียนกล่าว จากนั้นจึงมอบยาพิษควบคุมให้ทาสใหม่ทั้งห้าสิบสามคนกลืน แล้วให้พวกเขาเหล่านั้นเริ่มบ่มเพาะ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หยางเสี่ยวเทียนไม่มีโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เหลือแม้แต่ขวดเดียว ดังนั้นเขาจึงให้ทั้งห้าสิบสามคนเริ่มบ่มเพาะพลังเองไปพลางก่อน
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงปล่อยให้อัตคอยดูแลทาสใหม่ทั้งห้าสิบสามคน แล้วค่อยมารายงานความคืบหน้าอื่นๆ อีกครั้ง หลังเขากลับจากงานเลี้ยงคืนนี้
“คืนนี้ ข้าต้องไปงานเฉลิมฉลองที่จวนเจ้าเมืองเสินเจี้ยน ดังนั้นจึงอยากให้พวกเจ้าติดตามไปด้วย พวกเจ้าทั้งสองสนใจหรือไม่” เขาหันไปกล่าวกับเลี่ยวคุนและจางจิงหรง
หากมีครั้งใดก็ตาม ที่ต้องเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองใหญ่เช่นนี้ เขาควรต้องนำผู้ติดตามมาด้วยสองคน เพื่อคอยถือของและดูแลเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ
นอกจากหลัวชิงแล้ว สองคนที่มีพลังรองจากเขาก็คือเลี่ยวคุนและจางจิงหรง ซึ่งคนหนึ่งอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสาม ส่วนอีกคนอยู่ในขั้นราชันยุทธ์ระดับสอง นับว่าพอแบ่งเบาหลัวชิงในช่วงเวลาสำคัญเขาได้
เลี่ยวคุนและจางจิงหรง ต่างมีสีหน้าเบิกบานสำราญยิ่ง เมื่อทั้งคู่ได้ยินว่า หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะพาพวกเขาไปร่วมงานเฉลิมฉลองของท่านเจ้าเมือง
ไม่นานจากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ให้ทั้งสองคนเตรียมตัวก่อนออกเดินทางภายในครึ่งชั่วยาม
ระหว่างยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงใช้เวลาที่เหลือนี้ หลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ฆ่าเวลารองานเลี้ยงเริ่ม
พอครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อทั้งสามคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็พากันย่างเท้าออกจากจวนไปในทันที
ซึ่งจวนเจ้าเมืองอยู่มิไกลนัก เพียงไม่นานทั้งสามก็บรรลุถึง
ทันทีที่พวกเขาใกล้ถึงจวนเจ้าเมือง ไฟจากตะเกียงก็ถูกจุดสว่างไสวขึ้น พร้อมเหล่าบรรดารถม้าหรูหราของตระกูลต่างๆ ลากเข้ามาจอดเทียบหน้าจวนไม่หยุดหย่อน ซึ่งบางคันก็ถูกลากโดยสัตว์วิญญาณหายาก ที่บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งประจำตระกูลด้วยซ้ำ
เมื่อเทียบกับแขกเหล่านี้ที่มาถึงด้วยรถม้าหรูหราแล้ว หยางเสี่ยวเทียนและอีกสองคนที่มาถึงโดยการเดินเท้า จึงพานให้พวกเขารู้สึกราวกับยาจกเล็กน้อย
ดูท่าแล้ว สักวันหนึ่งข้าคงต้องมีรถม้าหรูหรา ติดจวนไว้บ้างสักคันแล้วกระมัง หยางเสี่ยวเทียน คิดอยู่ในหัวเงียบๆ
ขณะที่หยางเสี่ยวเทียนกำลังจะเข้าไปในจวนเจ้าเมือง จู่ๆ ก็พลันได้ยินเสียงตะโกนดังจากเหล่าองครักษ์ประจำตัวคนคุ้นเคยเบื้องหลัง
“องค์หญิงสี่เสด็จ”
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนเหลือบไปมอง เขาก็เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่ง อาจเรียกได้ว่าหรูหราที่สุดในงาน เคลื่อนเข้ามาพร้อมกับองครักษ์กลุ่มใหญ่รายล้อมอยู่รอบข้าง
เมื่อประตูรถม้าถูกเปิดออก องค์หญิงสี่เฉิงเป้ยเป้ยก็เดินลงมา
นอกจากเฉิงเป้ยเป้ยแล้ว ผู้ที่ลงมาจากรถม้ายังมีหูซิงด้วยอีกคนหนึ่ง
หยางเสี่ยวเทียนไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าเมืองเผิงจื้อกัง จะเชิญเฉิงเป้ยเป้ยและหูซิงมาร่วมงานเฉลิมฉลองในครั้งนี้ด้วย
ทันทีที่เฉิงเป้ยเป้ยลงจากรถม้า แล้วพลันเหลือบเห็นใบหน้าคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง นั่นมิใช่ใครอื่นแต่เป็นหยางเสี่ยวเทียน ที่พานให้ดวงตานางลุกโชนราวกับไฟอันร้อนระอุด้วยความเจ็บแค้น
“เป็นเจ้าเองรึ!”
หูซิงที่ได้ยินนามนี้ สีหน้าแลท่าทางเขาก็เริ่มแสดงถึงความไม่พอใจเช่นกัน เมื่อประสบเห็นหยางเสี่ยวเทียนยืนอยู่เบื้องหน้า
หยางเสี่ยวเทียนเพิกเฉยต่อคนทั้งสอง แล้วหันหน้านำเลี่ยวคุนกับจางจิงหรง เดินเข้าไปในจวนเจ้าเมืองทันที
เฉิงเป้ยเป้ยช้อนดวงตาคู่งามจับจ้องแผ่นหลังของหยางเสี่ยวเทียนขณะกัดฟันกล่าวว่า “หยางเสี่ยวเทียน คอยดูเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าได้สำนึก ว่าการเตะองค์หญิงนั้นผลจะเป็นอย่างไร!”
ไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่นางถูกหยางเสี่ยวเทียนเตะร่างกระเด็น นางได้กลับมาตั้งใจฝึกฝนตนเองอย่างหนัก โดยใช้ทรัพยากรจำนวนมากของราชวงศ์ที่มีเพียงพอ จนที่สุด นางก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จวานนี้
เหตุผลที่นางตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักมิใช่อื่นใด แต่เพื่อแก้แค้นลูกเตะของหยางเสี่ยวเทียน เพียงคนเดียวเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่างามของอาณาจักรหนึ่ง แต่กลับถูกคนซื่อบื้อเช่นหยางเสี่ยวเทียนเตะลอยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว ความโอหังเช่นนี้ ทำนางแค้นใจเป็นที่สุด
และนางยังสาบานกับตนเองว่าสักวันหนึ่ง จะสับหยางเสี่ยวเทียนให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น เพื่อแก้แค้นให้สาสมกับที่เขากล้าเตะนาง ผู้ที่เป็นถึงองค์หญิงของอาณาจักร
“องค์หญิง เด็กน้อยผู้นี้น่ะหรือที่ทำร้ายท่านวันก่อน เช่นนั้น ข้าจะสอนบทเรียนให้เขาได้รู้ที่สูงที่ต่ำตอนนี้เอง!” องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังเฉิงเป้ยเป้ย ก้าวไปข้างหน้าขณะกล่าวด้วยความโกรธ ซึ่งองครักษ์ผู้นี้อยู่ในขั้นเซียนสวรรค์ระดับสิบ