บทที่ 137 คำเชิญจากเจ้าเมือง
หยางเสี่ยวเทียนปลุกเตาหลอมเหยาติงขึ้นมาไขข้อข้องใจที่ตนใคร่สงสัยทันที เขาสอบถามและบอกเล่าถึงความคิดทั้งหมดของตนให้เหยาติงฟังเพื่อขอความเห็น
“เจ้าคิดว่าถ้ากลืนโอสถเพื่อบ่มเพาะ เจ้าจะยังสบายดีตราบใดที่ไฟลามทุ่งถูกกำจัดออกไปเช่นนั้นหรือ” เหยาติงได้ยินสิ่งนี้ แทบอดกล่าวน้ำคำพลางเดือดดาลมิได้
ทำเยื่อหูหยางเสี่ยวเทียนถึงกับสะท้าน หลังเสียงตวาดลั่นของเตาหลอมเหยาติงดังขึ้น
แม้จะไม่เห็นถึงแววตาและสีหน้าของตาเฒ่าเตาหลอมเหยาติง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวในน้ำเสียงนี้แจ่มชัด
“ธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์สามารถกำจัดไฟลามทุ่งนั้นได้แน่นอน แต่หากเจ้ากลืนโอสถมากเกินไป ปราณแท้ของเจ้าทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนโดยพลังจากโอสถ และปราณแท้เจ้าจะเป็นเพียงแหนที่ไร้ราก” เหยาติงกล่าว
“ในเมื่อตอนนี้ เจ้าสามารถหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ได้แล้ว เจ้าก็ควรกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ ที่มีความบริสุทธิ์กว่าโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์แทนเสีย”
“แต่ถึงอย่างไร แม้เจ้าจะมีธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ เจ้าก็สามารถกลืนมันได้เพียงสองครั้ง ต่อหนึ่งเดือนเท่านั้น” เหยาติงกล่าวเสริมเสียงเข้ม
หนึ่งเดือน โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์เพียงสองเม็ดงั้นหรือ
หยางเสี่ยวเทียนค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย แม้นการได้กลืนมันเดือนละสองเม็ดยังนับว่าดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก
“ในระหว่างที่เจ้าบ่มเพาะ อย่าคิดว่าการทะลวงระดับพลังยุทธ์เร็วเกิน จะดีกับตัวเจ้าเสมอไป” เหยาติงกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึม
จากนั้นกล่าวอย่างจริงจังว่า “เจ้าเพิ่งเริ่มเข้าสู่การบ่มเพาะ ดังนั้น จึงควรคิดถึงวิธีการสร้างรากฐานที่มั่นคงเสียก่อน”
“ตอนนี้ เจ้าควรลองปรับเปลี่ยนวิธีการบ่มเพาะและการฝึกวรยุทธ เพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการฝึกฝนของเจ้าให้กว้างขึ้นจะดีกว่า”
“เจ้าสามารถหาบันทึก เกี่ยวกับประสบการณ์การฝึกฝนของเหล่าวิญญาจารญ์รุ่นก่อน อ่านเพิ่มเติมเพื่อเป็นแนวทางได้” เหยาติงเสริม
เมื่อได้ฟังคำกล่าวชี้แนะจากเหยาติงไปในทิศทางเดียวกันกับหลัวชิง หยางเสี่ยวเทียนจึงพยักหน้า ด้วยเข้าใจถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หากเขายังฝืนกลืนโอสถ เร่งการทะลวงระดับขั้นของตนเองโดยไม่สนใจรากฐานที่มั่งคง
ระหว่างหยางเสี่ยวเทียนกำลังจะออกจากจวนหลักไปข้างนอก อัตและอาลี่ก็เข้ามารายงานสถานการณ์เรื่องจวนทั้งสองด้าน ที่หยางเสี่ยวเทียนให้พวกเขาทำการกว้านซื้อ ว่าตอนนี้สำเร็จแล้ว
หลังทราบเช่นนี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงให้ทั้งสองหาช่างฝีมือดี ทุบกำแพงจวนซ้ายขวาเพื่อทำการเชื่อมจวนทั้งสามเข้าด้วยกัน และประดับตกแต่งให้สมบูรณ์
“จริงสินายน้อย นี่คือคำเชิญที่เจ้าเมืองส่งมา บอกว่าเย็นนี้จะจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิด จึงขอเชิญนายน้อยเข้าร่วมด้วย” อัตนึกถึงสิ่งนี้ได้ทันกล่าวออกไป พร้อมหยิบม้วนคำเชิญที่มีตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ประทับอยู่
งานเฉลิมฉลองวันเกิดของเจ้าเมืองเสินเจี้ยนเช่นนั้นหรือ
หยางเสี่ยวเทียนรับคำเชิญและคลี่มันออก ข้างในมีอักษรที่เขียนด้วยลายมือของเผิงจื้อกัง เจ้าเมืองเสินเจี้ยน คำกล่าวนั้นยิ่งใหญ่ดูทรงพลังมาก แม้เนื้อหาจากอีกฝ่าย เป็นเพียงการเชิญเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบห้าสิบปี ในจวนหลักของเจ้าเมืองคืนนี้
ซึ่งเขาต้องการให้หยางเสี่ยวเทียนเข้าร่วมด้วยความจริงใจ
วาจาที่เผิงจื้อกังใช้ในคำเชิญ ล้วนเต็มไปด้วยความสุภาพและจริงใจยิ่ง แสดงออกว่าเขาเฝ้ารอการมาเยือนของหยางเสี่ยวเทียนอย่างใจจดใจจ่อ
เนื่องจากเจ้าเมืองเสินเจี้ยนเชื้อเชิญเขาด้วยไมตรีเช่นนี้ หยางเสี่ยวเทียนจึงมิอาจปฏิเสธคำเชิญนี้ได้ ดังนั้น คราถึงตอนเย็นเขาจำต้องแบ่งเวลาไปที่จวนเจ้าเมือง ตอบรับความมีน้ำใจเขาเสียหน่อย
ท้ายที่สุดแล้ว หากยังอยู่ในเมืองเสินเจี้ยนแห่งนี้ เป็นไปได้ว่าบางครั้งอาจต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เมื่อเวลานั้นมาถึงการมีมิตรมากย่อมดีกว่ามีศัตรู
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนก็ถามทั้งสองเกี่ยวกับความคืบหน้าในการฝึกทาสเหล่านั้น ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรแล้วหลังได้โอสถชุดที่สองไป
พอทราบรายงาน หยางเสี่ยวเทียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรู้ว่าครั้งนี้มีสิบห้าคนที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้สำเร็จ
แต่มีอีกสิบแปดคน ที่ยังไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์สำเร็จ ทำหยางเสี่ยวเทียนก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย
เขาขบคิดใคร่ครวญ ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ ที่ต้องสูญเสียโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์เพื่อฝึกฝนคนเหล่านี้
นั่นก็เพราะ โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ที่เขาแจกจ่ายให้บรรดาทาส มันมีมูลค่าสูงกว่าทาสเหล่านี้มากนัก
เมื่อเห็นว่าตนยังด่วนตัดสินใจไป หยางเสี่ยวเทียนจึงหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์อีกสิบแปดขวดหยก แล้วยื่นให้อัตนำมันแจกจ่ายแก่บรรดาทาสอีกสิบแปดคนที่เหลือ
หยางเสี่ยวเทียนกำชับอัตให้บอกคนเหล่านั้นอีกว่า หากพวกเขาไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียนสวรรค์ได้ในครั้งนี้ ต่อไปพวกเขาจะถูกคัดทิ้ง
พร้อมกับสั่งให้อัตและอาลี่ ซื้อสมุนไพรกลับมาอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อหลอมโอสถสร้างฐานวิญญาณและโอสถวิญญาณหลงหู่ในภายหน้า
ก่อนหยางเสี่ยวเทียนจะออกไปข้างนอก เขายังมิลืมย้ำอัตช่วยเตือนทุกคนว่าหากไม่มีเรื่องเร่งด่วนหรือสำคัญอะไรมาก อย่าเพิ่งเข้ารบกวนหลัวชิงช่วงนี้ ด้วยเขารู้ดีว่า หลัวชิงกำลังพยายามทะลวงเข้าสู่ขั้นบรรพจารย์ยุทธ์อย่างหนักแค่ไหน
หลังสั่งการเรื่องทุกอย่างภายในเรียบร้อย หยางเสี่ยวเทียนก็ออกมาที่จัตุรัสร้อยกระบี่อีกครั้ง ซึ่งวันนี้ ยังคงมีผู้คนเฝ้ารอเขาอย่างหนาแน่นเช่นเคย
เพราะสำหรับอาจารย์และศิษย์ของสำนักเสินเจี้ยน นี่ถือเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะเห็นหยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่ ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงมารอเขายังจัตุรัสร้อยกระบี่ก่อนเวลา
บางคนถึงกับมาก่อนตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ เพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สามารถมองเห็นเขา ขณะทำการหยั่งรู้สำเร็จชัดเจนยิ่งขึ้น
หยางเสี่ยวเทียนเริ่มคุ้นชินกับภาพเหล่านี้ จึงมิได้สนใจมากนัก เขาเดินผ่านสายตาเหล่านั้นขณะสืบเท้าไปยังหน้าศิลากระบี่ เพื่อเริ่มหยั่งรู้เล่มที่ห้าสิบเอ็ดต่อจากวานนี้
พอหยั่งรู้ศิลากระบี่ถึงเล่มที่ห้าสิบห้าสำเร็จ หยางเสี่ยวเทียนก็หยุด พร้อมหันกลับมาคำนับเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักอย่างสุภาพ ก่อนเดินกลับออกไปจากจัตุรัสภายใต้สายตาทุกคู่
เนื่องด้วยเผิงจื้อกัง ส่งคำเชิญให้เขาไปงานเลี้ยงที่จวนคืนนี้ ดังนั้นหยางเสี่ยวเทียนจึงขอหยั่งรู้ศิลากระบี่ไว้เพียงห้าเล่มก่อน จากนั้นค่อยกลับมาต่ออีกทีวันรุ่งขึ้นพรุ่งนี้
ครั้นกลับถึงจวน เลี่ยวคุน จางจิงหรง และอีกสามคนที่ออกเดินทางหาซื้อทาสยังเมืองห่างไกลตลอดสองวันที่ผ่านมา บัดนี้ทั้งห้าคนได้กลับมาแล้ว