บทที่ 136 เสียดายที่บุตรสาวข้าล้วนแต่งงานแล้ว
หนึ่งล้านเหรียญทอง นั่นมิใช่โอสถระดับนิรันดร์สิบเม็ดงั้นหรือ
โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์สิบเม็ด!
เหวินจิงอวี๋สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เนื่องจากนางต้องการอากาศจำนวนมาก หาไม่แล้วเกรงว่านางคงได้หมดสติจริงๆ เป็นแน่
อีกด้านหนึ่ง หลังหยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน หน้ากากมังกรบนใบหน้าเขา ก็พลันหายไปทันที
ทุกวันนี้ ทักษะการหลอมอาวุธของเขาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งหน้ากากมังกรเมื่อครู่ ก็เป็นอาวุธวิญญาณระดับนิรันดร์ที่เขาเพิ่งหลอมขึ้นมาใหม่ คราใดที่เขาต้องการมัน ก็เพียงนึกถึงเท่านั้นมันก็จะปรากฏออกมาทันที
แน่นอนว่าหน้ากากมังกร ซึ่งเป็นอาวุธวิญญาณระดับนิรันดร์ ยังสามารถปิดกั้นกลิ่นอายของเขาได้ด้วย ทั้งยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งอีกต่างหาก
เมื่อมองเข้าไปในแหวนเตาหลอม ที่มีเงินถึงหกแสนห้าหมื่นเหรียญทองอยู่ภายใน หยางเสี่ยวเทียนก็มีความรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาวางแผนที่จะซื้อจวนโดยรอบต่อไป เพื่อขยายอาณาเขตจวนของตน
แต่ไม่ถึงกับต้องใหญ่เกินไป ขอเพียงสามารถรองรับคนได้มากถึงหนึ่งพันคนก็พอ เดี๋ยวมันจะเด่นสะดุดตา
หลังหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์สองเม็ด และโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับนิรันดร์สองเม็ด หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
และยังคงบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มอย่างต่อเนื่อง กระทั่งทุกวันนี้เขาสามารถปลุกปราณแท้มังกรให้ตื่นขึ้นมากถึงสิบเอ็ดตัว
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณยุทธ์เสวียนอู่และวิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬ ของเขามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น
เจ้าเสวียนอู่มีความแข็งแกร่งขึ้นมาก ลวดลายบนกระดองของมันก็เริ่มเด่นชัด ส่วนเจ้าอสรพิษนิลกาฬ ก็เริ่มปรากฏเห็นกรงเล็บใต้ท้องได้ชัดเจน พร้อมกับมีตุ่มนูนสองอันบนหน้าผาก มาตรว่ามันกำลังจะงอกเขาออกมา
ดูท่าแล้วคงมินานนัก ที่วิญญาณยุทธ์อสรพิษนิลกาฬจะกลายร่างเป็นมังกรดำอย่างสมบูรณ์
รุ่งสาง ก่อนดวงอาทิตย์จะทันส่องสว่าง หยางเสี่ยวเทียนก็มาเยือนที่จัตุรัสร้อยกระบี่อีกครั้ง เพื่อหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สี่สิบเอ็ดต่อจากวานนี้
แต่สิ่งที่เขาไม่ทันคิดมาก่อนคือ เมื่อเขามาถึงจัตุรัสร้อยกระบี่มันกลับเต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมากที่หนาแน่น แม้แต่เจ้าสำนักหลินหยงและรองเจ้าสำนักเฉินหยวนก็ยืนรอปะปนอยู่ในกลุ่มฝูงชนนั้นเช่นกัน
ทันทีที่เห็นเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนักและกลุ่มอาจารย์พร้อมบรรดาศิษย์ทั้งหลาย เฝ้ารอเขาอยู่ที่จัตุรัสร้อยกระบี่แต่เช้ามืด หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มทำตัวไม่ถูกหลังประสบเห็นใบหน้าเหล่านั้น จับจ้องมายังเขาเป็นตาเดียว
ด้วยเห็นแววตาของบรรดาคนเหล่านั้น ทำเขาถึงกับต้องกระแอมไอออกมา ก่อนเดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าศิลากระบี่
เพียงไม่กี่อึดใจ แสงจรัสจากปราณกระบี่ก็ส่องทะลวงม่านเมฆา ขึ้นบนนภากาศเหนือเมืองเสินเจี้ยนอีกครั้ง
ณ เมืองเสินเจี้ยน
เหล่าวิญญาจารย์ทั่วทั้งเมืองเสินเจี้ยน ต่างเหม่อมองดูปราณกระบี่ที่โชติช่วงอยู่บนฟากฟ้าด้วยความประทับใจแลยังทึ่งไปกับมันอยู่เสมอ
ปีนี้ ถูกกำหนดให้เป็นปีที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของพวกเขา มันไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์มากเท่านี้มาก่อน
“เฮ้ย… น่าเสียดาย น่าเสียดาย” เผิงจื้อกัง เจ้าเมืองเสินเจี้ยนพึมพำขณะส่ายศีรษะ พลางทอดถอนใจเมื่อมองดูปราณกระบี่ที่ส่องสว่างไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า
บรรดาวิญญาจารย์ทุกคนเบื้องหลังเขาที่ได้ยินดังนั้น กลับมีสีหน้าสับสน ฉงนว่าเขากำลังหมายถึงสิ่งใด แลเสียใจกับเรื่องอะไร ไฉนเจ้าเมืองพวกเขาจึงมีสีหน้ากลัดกลุ้มกระทั่งกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ใต้เท้า ท่านกำลังกังวลสิ่งใดอยู่หรือขอรับ” องครักษ์หนึ่งในนั้นพลันกล่าวถาม
“เฮ้ย… น่าเสียดาย ที่บุตรสาวของข้าทุกคน ล้วนแต่งงานกันหมดแล้ว” เผิงจื้อกังกล่าวพลางทอดถอนใจอีกหน
วาจานั้น ทำเอาเหล่าวิญญาจารย์ทุกคนในจวนเจ้าเมือง ต่างพากันเหงื่อตก สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเหนื่อยหน่ายด้วยเอือมระอาเป็นที่สุด
ปรากฎว่าสิ่งที่ทำให้ท่านเจ้าเมืองเสียใจนั้น กลับเป็นเรื่องเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว หยางเสี่ยวเทียนผู้นี้เป็นเด็กน้อย อายุเพียงแปดขวบเท่านั้น
แม้บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ทั้งสองล้วนมีอายุที่แตกต่างกันมาก
เว้นเสียแต่ บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองจะเต็มใจ ใคร่ต้องการเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน ชมชอบผู้มีอายุน้อยกว่า
แน่นอนว่าพวกเขากล้าเอ่ยปากวิจารณ์ เพียงกระซิบในใจเท่านั้น
ศิลากระบี่เล่มสี่สิบเอ็ดปรากฏขึ้นในห้วงจิต และเริ่มมีความเข้าใจที่ยากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น กว่าที่หยางเสี่ยวเทียนจะหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่ห้าสิบได้สำเร็จ ค่ำคืนอันมืดมิดก็มาเยือนพร้อมกับพระจันทร์สีเงินส่องสว่างกระจ่างอยู่เบื้องบน
กว่าหยางเสี่ยวเทียนจะออกจากจัตุรัสร้อยกระบี่และกลับถึงจวน มันก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว วันนี้เขาจึงไม่หลอมโอสถ แต่หันไปนั่งบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่มแทน
ขณะเดียวกัน หยางเสี่ยวเทียนก็เริ่มรู้สึกว่าเวลาในแต่ละวัน จะยิ่งไม่เพียงพอให้เขาได้กระทำสิ่งสำคัญต่างๆ ลดลงทุกที
ครั้นรุ่งสางมาเยือน หยางเสี่ยวเทียนก็หยุดบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม พลางนึกถึงวาจาของหลัวชิง
โอสถทุกชนิดล้วนมีพิษอยู่สามส่วน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจกลืนโอสถบ่อยๆ ได้ แต่ตอนนี้เขามีธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งสามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายของเขาได้
เนื่องจากธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์สามารถขับพิษได้ นั่นหมายความว่า เขาก็สามารถกลืนโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ เพื่อบ่มเพาะต่อไปได้มิใช่หรือ