บทที่ 134 เยือนสมาคมการค้าเฟิงยวินอีกครั้ง
แม้ตอนนี้จะเริ่มย่ำสนธยา แต่บรรดาศิษย์ที่ห้อมล้อมจัตุรัสร้อยกระบี่ก็ยังมิเบาบางลงแม้แต่น้อย ด้วยยังคอยเฝ้าดูอยู่มิวางตา
ครั้นเห็นว่าหยางเสี่ยวเทียนหยุดเคลือนตัวหาศิลากระบี่ต่อ พวกเขาถึงต่างพากันแยกย้ายออกจากจัตุรัสร้อยกระบี่ไปโดยพร้อมเพรียง
ไม่นานนัก เฉินฉางชิง เหอเล่อ และเริ่นเฟยเสวี่ย ก็ได้ทราบว่าหยางเสี่ยวเทียนหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบสี่สิบเล่มแล้ว พวกเขาทั้งห้ามิกล่าวสิ่งใดออกมา เนื่องจากกำลังยืนตัวแข็งอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจยิ่ง
เฉินฉางชิงส่ายศีรษะและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าคงต้องคืนวาจาที่เคยกล่าวไว้แล้วกระมัง”
วานนี้ เขาบอกว่าหยางเสี่ยวเทียนอาจหยั่งรู้ศิลากระบี่ได้ครบทั้งร้อยเล่มในหนึ่งปี ซึ่งนั้น ยังนับว่าเป็นไปได้ยากสำหรับเด็กอย่างเขา
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันอาจไม่ถึงหนึ่งปีและยังดูไม่ยากสำหรับเด็กคนนั้นด้วย นั่นจึงเป็นต้นเหตุของรอยยิ้มอันขมขื่นนี้
มิเพียงเฉิงฉางชิงเท่านั้น แม้แต่เหอเล่อเอง ยามนี้ก็มีสีหน้าหมองคล้ำมิต่างกันนัก
“ดูท่าอีกไม่นาน ตำหนักกระบี่ของเราจะมีเจ้าตำหนักคนใหม่ถือกำเนิดแล้ว” เริ่นเฟยเสวี่ยกล่าวแทรกขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน
ผู้อาวุโสที่ก่อตั้งสำนักเสินเจี้ยนขึ้นมา เขาเป็นเจ้าตำหนักกระบี่คนแรก
อย่างไรก็ตาม นับแต่เขาจากไป ก็ไม่มีเจ้าตำหนักกระบี่ถือกำเนิดขึ้น มาหลายร้อยปีแล้ว
เมื่อคิดว่าหยางเสี่ยวเทียนจะกลายเป็นเจ้าตำหนักกระบี่คนใหม่ เฉินฉางชิง และอีกสี่คน ก็มีความรู้สึกต่างๆ คละเคล้ากันไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาต่างก็คิดว่าเจ้าตำหนักคนต่อไป อาจเป็นหนึ่งในพวกเขาห้าคน แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเจ้าตำหนักกระบี่คนต่อไปจะเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ
ทันทีที่หยางเสี่ยวเทียนกลับถึงจวน อัตและอาลี่ก็เข้ามารายงานว่าจวนทางฝั่งซ้ายขวาล้วนตกลงขายมัน แต่ราคาสูงกว่าที่สมาคมเคหะขายถึงหมื่นเหรียญทอง ซึ่งหากเขาซื้อจวนทั้งสองนี้ จะต้องจ่ายสามแสนเหรียญทอง
หยางเสี่ยวเทียนไม่กล่าวสิ่งใด เพียงมอบเงินสามแสนเหรียญทองให้กับอัตและอาลี่ทันที พร้อมกับบอกให้ทั้งสองจัดการให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้
ในเวลาเดียวกัน เขาได้มอบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ให้กับทั้งสองคนละเม็ด นำกลับไปใช้บ่มเพาะตนเองยังเรือน
เนื่องจาก อัตและอาลี่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่าเทพหิรัณย์ ทั้งสองมีโอกาสกลายเป็นเทพในอนาคต ดังนั้นหยางเสี่ยวเทียนจึงทุ่มเทฝึกฝนให้ทั้งสองมากทีเดียว
หากวันหนึ่ง เขาจากโลกแห่งวิญญาจารย์ไป มีเพียงทั้งสองคนนี้เท่านั้น ที่จะสามารถปกป้องครอบครัวแทนเขาได้
ลมหายใจต่อมา เมื่อหยางเสี่ยวเทียนถามทั้งสอง เกี่ยวกับความคืบหน้าในการฝึกฝนของทาสที่พวกเขาซื้อมาว่าเป็นเช่นไรแล้ว สิ่งนี้ทำพวกเขาต่างพูดไม่ออกแลมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
ด้วยคนทั้งสามสิบเจ็ด ที่ต่างได้กลืนโอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์ในการบ่มเพาะ แต่มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ กระทั่งสามารถทะลวงเข้าขั้นเซียนสวรรค์
ส่วนอีกสามสิบสามคน ต่างล้มเหลว
ถึงอย่างนั้น หยางเสี่ยวเทียนยังคงให้ทั้งสามสิบสามคนนั้น ใช้โอสถสร้างฐานวิญญาณระดับสวรรค์บ่มเพาะต่อไป โดยมอบโอสถที่เขาเพิ่งหลอมใหม่รวมกับที่ยังพอมีเหลือก่อนหน้า ให้อัตและอาลี่นำไปให้พวกเขา
หลังทั้งสองจากไป เขาก็ให้คนตามเลี่ยวคุนและจางจิงหรงมาพบ รบกวนให้พวกเขากว้านซื้อทาสยังเมืองห่างไกล โดยเริ่มออกเดินทางกันวันพรุ่งนี้ พร้อมไม่ลืมกำชับว่าทาสเหล่านั้น พลังยุทธ์ต้องอยู่ในขั้นนักยุทธ์ระดับสิบขึ้นไป
หากพรุ่งนี้ดำเนินเรื่องการซื้อจวนทั้งสองด้านสมบูรณ์ เขาก็จะมีพื้นที่ไว้รองรับทาสได้อีกร้อยคน
หลังมอบเงินหนึ่งแสนเหรียญทองให้กับเลี่ยวคุนและจางจิงหรงแล้ว หยางเสี่ยวเทียนก็มองดูเงินในแหวนเตาหลอมที่ว่างเปล่า แล้วสายศีรษะด้วยรอยยิ้ม การหาเงินนั้นยากมาก แต่การใช้เงินนั้นกลับง่ายนิดเดียว
เขาใช้เงินที่สะสมไว้มากกว่าห้าแสนเหรียญทองจนหมดเกลี้ยง ภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา
หยางเสี่ยวเทียนสวมหน้ากากมังกร ไปเยือนสมาคมการค้าเฟิงยวินเพียงลำพังอีกครั้ง
เขายังคงมีโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์มากกว่ายี่สิบเม็ด ที่ยังไม่ได้กำจัดทิ้ง แต่สามารถนำโอสถที่ไม่จำเป็นพวกนี้ ขายให้กับสมาคมการค้าเฟิงยวินได้
ตอนนี้โอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา ซึ่งมันเป็นเพียงขยะและกินพื้นที่ในแหวนเตาหลอมเสียเปล่า แม้จะยังพอมีพื้นที่วางอยู่เยอะก็ตาม
ทันทีที่เขามาถึงยังสมาคมการค้าเฟิงยวิน หยางเสี่ยวเทียนกลับได้ประหลาดใจ เมื่อพบกับเหวินจิงอวี๋ ผู้เคยดูแลสมาคมที่เมืองซิงเยว่อย่างไม่ได้คาดหวัง
เหวินจิงอวี๋เพิ่งถูกย้ายมายังเมืองเสินเจี้ยนได้สองสามวัน เมื่อนางเห็นหยางเสี่ยวเทียนอีกครั้ง ใบหน้างดงามนวลผ่องดั่งหยก พร้อมกับดวงตาสดใสสุกสกาวยามนี้กลับสั่นไหว ทำนางมิอาจซ่อนความประหลาดใจได้เช่นกัน
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนทราบว่า เหวินจิงอวี๋เป็นผู้ดูแลสมาคมการค้าเฟิงยวินเฟิงหยุนสาขาเมืองเสินเจี้ยน เขาก็พยักหน้าตอบนางราวคนคุ้นเคย ด้วยเห็นนางมัวแต่ยืนอึ้งหลังได้พบเขา
“ข้ามีโอสถวิญญาณจำนวนหนึ่ง ต้องการขายให้กับสมาคมการค้าเฟิงยวิน ไม่ทราบว่าเจ้าจะรับซื้อมันหรือไม่”
จบประโยค เขาก็นำโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์จำนวนยี่สิบหกเม็ดขึ้นมา แล้วยื่นมันให้กับเหวินจิงอวี๋ทันที
ครั้งล่าสุดที่หยางเสี่ยวเทียนขายโอสถให้กับสมาคมการค้าเฟิงยวิน มันเป็นโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสูงสุดสิบชนิด
เหวินจิงอวี๋จึงคิดว่าโอสถที่หยางเสี่ยวเทียนนำมาขายในวันนี้ ก็คงเป็นโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสูงสุดเช่นกัน แต่เมื่อนางเปิดขวดหยกแรกออก แววตางดงามก็พลันเบิกกว้าง
“นี่คือโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสวรรค์!”
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่หยางเสี่ยวเทียนนำมาวันนี้ มิใช่ระดับสูงสุด แต่เป็นระดับสวรรค์ นางก็ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น ก่อนเริ่มเปิดขวดหยกที่เหลือออกดูทีละขวด