ตอนที่ 8
ตอนที่ 8
อาวุธบนชั้นหนึ่งของตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เป็นของธรรมดา พวกมันไม่มีแสงหรือความคมที่โดดเด่นใดๆ และถูกวางเรียงไว้อย่างดาษดื่น
เต๋าซุน เดินเข้าไปและกลิ่นของสนิมจาง ๆ ที่อยู่ในอากาศก็ลอยเข้ามาในจมูกของเขา ดูเหมือนจะไม่มีศิษย์ในนิกายคนไหนเลยที่เข้ามาเลือกอาวุธที่ชั้นนี้เมื่อดูจากชั้นฝุ่นหนาที่ปกคลุมอยู่ทั่วราวกับไม่ได้ผ่านการแตะต้องมาแล้วเป็นเวลานาน
ที่ประตูชั้น 1 ชายชราคนหนึ่งกำลังนอนหลับเอนกายอยู่บนเก้าอี้ เขามองมาที่เต๋าซุนด้วยสายตาสนใจ แล้วพูดว่า: "เจ้าจะเลือกอาวุธชิ้นในก็ได้ข้างใน แต่เลือกไปได้แค่อันเดียวเท่านั้น เลือกได้แล้วก็มาบอกข้า ”
หลังจากที่ชายชราพูดจบ เขาก็พลิกตัวและหลับตาต่อไป
“ตาเฒ่าคนนี้ไม่เกินไปหน่อยรึ” ผู้คุ้มกันนิกายก็พูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
"ไม่เป็นไร" เต๋าซุนส่ายหัว และมองลึกไปที่ชายชรา จากนั้นก็เดินเข้าไป
ชั้นอาวุธมีอยู่ไม่มากนัก และเขาก็เดินตรงไปยังกำแพงมุมหนึ่งที่เต็มไปด้วยอาวุธมากมาย
ดาบ หอก และกระบอง อาวุธทุกประเภทล้วนแต่รวมอยู่ที่นี่
ดวงตาของ เต๋าซุน ถูกดึงดูดด้วยดาบที่ไม่โดดเด่นเล่มหนึ่งตรงมุมซ้ายล่างท่ามกลางอาวุธมากมาย
ดาบนี้ยาว 5 ฟุต ใบมีดดูคมเป็นอย่างมากและมีความโค้งเล็กน้อย
น้ำหนักของมันมากกว่า 10 กิโลกรัม ด้ามจับของดาบถูกบั้งเป็นระลอกคลื่นชั้นทำให้จับได้เหนียวแน่น
“นี่แหละ” เต๋าซุนที่กำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาประหลาดใจของผู้คุ้มกันนิกายก็หยิบดาบขึ้นมาและเดินไปหาชายชราที่ประตู
ชายชราตื่นขึ้นมาและดูไม่เต็มใจเล็กน้อย เขาเหลือบมองดาบสั้นในมือเต๋าซุน แล้วพูดว่า "เอาล่ะ ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ออกไปซะและอย่ามารบกวนเวลานอนของข้าอีก "
เต๋าซุนพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก และเหน็บดาบไว้ด้านหลังของเขาพร้อมกับเดินจากไป
“อ๋อ…เกือบลืมไป ดาบเล่มนั้นมีชื่อว่า สะบั้นโลกา ” ทันใดนั้นเสียงของชายชราก็ดังมาจากด้านหลัง
“สะบั้นโลกา…. ข้าทราบแล้ว ” เต๋าซุนยิ้มมุมปาก และร่างของเขาก็ค่อยๆหายไปท่ามกลางสายลมโดยไม่หันกลับมามอง
…………
เต๋าซุนจดจำคำสอนของท่านพ่อได้เป็นอย่างดี
“นักดาบที่แท้จริงนั้นย่อมสามารถปลุกจิตวิญญาณของดาบและทำให้ดาบยอมรับได้ด้วยตัวเอง ”
ในชีวิตก่อนของเขา เต๋าซุนไม่ได้ใส่ใจประโยคนี้แม้แต่น้อย และเขาก็มองว่าอาวุธเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ฆ่าคนเท่านั้นและไม่ได้ให้ความสำคัญพวกมันเลย
จนกระทั่งการต่อสู้ที่สายธารมังกร ช่วงเวลาที่สะบั้นโลกาถูกทำลายโดยอาวุธของตัวเอกเย่เฉิน
ในขณะที่ดาบของเขาหัก เต๋าซุนก็รู้สึกถึงเสียงกรีดร้องของอาวุธคู่กายเขา
ตอนนั้นเองที่เขาตระหนักได้ถึงสิ่งที่สายเกินไป
…………
เมื่อเต๋าซุนกลับมาถึงบ้านหลังน้อยของเขา เขาก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มฝึกบ่มเพาะ
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ตอนแรกเขาได้ฝึกฝน "กำเนิดนิพพาน" ของจักรพรรดิสามดาบ
หลังจากฝึกฝนจนถึงระดับ 7 เต๋าซุนก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางการบ่มเพาะของตัวเอง
เขาได้ละทิ้ง กำเนิดนิพพานไป และเริ่มแตกฉานสร้างวิชาใหม่ของตนขึ้นมา
เต๋าซุนตั้งชื่อให้วิชาบ่มเพาะนี้ว่า "วิถีราชันนิรันดร์ไร้สิ้นสุด"
วิชาบ่มเพาะนี้มุ่งเน้นไปที่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จ เจ้าจะสามารถย้อนไปยังต้นกำเนิดของเวลาที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ ซึ่งนั่นรวมถึงการควบคุมเวลาและจักรวาล
น่าเสียดาย ในชีวิตก่อนของเขา หลังจากที่เขาฝึกฝนวิชานี้จนไปถึงระดับ 8 เต๋าซุนก็พบว่ามีปมบางอย่างในหัวใจของเขา และไม่อาจก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นได้อีกต่อไป
นี่คือเหตุผลที่เขาไปหาเย่เฉินเพื่อแก้ไขปมนี้ในใจของเขา แต่ไม่คาดคิด ….. เขากลับพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายอย่างน่าสังเวชยิ่ง
แต่การเกิดใหม่ครั้งนี้ทำให้เต๋าซุนมีแรงบันดาลใจขึ้นมา และเขาก็ตระหนักได้ถึงอนาคตและอดีตอย่างชัดเจนกว่าเดิม
เขาเชื่อว่าถ้าเป็นเขาตอนนี้ เขาย่อมสามารถทำให้วิชานี้สมบูรณ์แบบ และก้าวขึ้นเหนือระดับ 8 ขึ้นไปได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคแน่นอน
…………
วิชาบ่มเพาะของผู้อื่นนั้นเป็นได้เพียงความรู้อ้างอิงเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะแตกฉานในวิชาบ่มเพาะของผู้อื่นมากเพียงใด เจ้าก็ไม่อาจฝึกฝนมันได้อย่างสมบูรณ์ 100 % มีเพียงเส้นทางการฝึกบ่มเพาะของเจ้าเองเท่านั้นที่สามารถ
…………
เต๋าซุนยังคงตระหนักคิดและฝึกฝนเช่นนี้ต่อไปจนรุ่งสาง จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนเหยียดตัว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เขาก็ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
นี่คือประโยชน์ของการฝึกบ่มเพาะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ขั้น 9 ของระดับ 1 แล้ว ต่อให้เขาจะไม่นอนเจ็ดวัดเจ็ดคืน อย่างมากเขาก็เพียงล้าเล็กน้อยเท่านั้น
…………
เมื่อถึงเช้าตรู่อันสดใส เจ้าปลาน้อยก็มาที่ยอดเขาเดียวดายก่อนเวลาเพื่อมาเล่นกับเต๋าซุน
เขาแบกกระสอบใบใหญ่ไว้บนหลัง สีหน้าของเขาดูซุกซน เขาหันหน้ามองซ้ายขวาสองครั้งและค่อยๆย่องเดิน ราวกับว่ากำลังแอบทำอะไรบางอย่างอยู่
…………
“เจ้าปลาน้อย เจ้าทำอะไรอยู่รึ” เต๋าซุน ถามด้วยความสงสัยหลังจากที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“พี่ซุน ข้ามีของดีให้ท่านดู ” เจ้าปลาน้อยหัวเราะเบา ๆ และเปิดกระสอบบนหลังของเขา
ในกระสอบปรากฏลูกไก่สองตัวที่กำลังสลบอยู่เงียบๆ
ลูกไก่สองตัวนี้มีสีเหลืองทองทั่วตัวเหมือนรวงผึ้ง ขนของมันเรียงกันเป็นแถวงดงามและมีสีแดงสดแซมเล็กน้อย
ปากของไก่ตัวนี้เหมือนกับหยกโปร่งใสดูบริสุทธิ์ เพียงแค่มองแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าไก่สองตัวนี้ไม่ธรรมดา
“ไก่ศักดิ์สิทธิ์รึ?” เต๋าซุนก็ถามด้วยความประหลาดใจ: “เจ้าไปเอามาจากไหน”
“อา…. ข้าไปที่ยอดเขาปุยเมฆของผู้อาวุโสใหญ่เพื่อเล่นกับหลิวเหมยในตอนเช้า และบังเอิญเห็นเจ้าลูกไก่สองตัวนี้ถูกทิ้งไว้บนพื้น ดังนั้นข้าที่รู้สึกสงสารจึงพาพวกมันกลับมาด้วย” เจ้าปลาน้อยก็เบิกตาโตอย่างไร้เดียงสา และเริ่มเล่าเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าขโมยพวกมันมาสินะ” เต๋าซุนถามด้วยความสงสัย
“ข้าช่วยเหลือพวกมันจะเรียกว่าขโมยได้อย่างไร?”เจ้าปลาน้อยก็พูดอย่างไม่มั่นใจ “อีกอย่างข้าบังเอิญไปเจอพวกมันและหยิบมาเท่านั้น ”
“ช่างเถอะ มันไม่ได้สำคัญอะไร แต่เจ้าไก่สองตัวนี้คือสัตว์เลี้ยงของผู้อาวุโสใหญ่สินะ” เต๋าซุนยิ้มเบา ๆ และพูดกับเจ้าปลาน้อย: “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไก่ศักดิ์สิทธิ์สองตัวนี้ถูกเลี้ยงด้วยโอสถตั้งแต่เกิด และเนื้อทุกส่วนของมันก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง
“ไหนๆก็มีสองตัวแล้ว…. ตัวหนึ่งนึ่ง ตัวหนึ่งตุ๋นก็แล้วกัน ”
“ข้าจัดการให้ท่านเอง” เจ้าปลาน้อยก็เลียริมฝีปากของเขาและพูดอย่างตื่นเต้น
“เดี๋ยวก่อน การใช้ฟืนธรรมดาในการตุ๋นไก่ศักดิ์สิทธิ์นั้นจะถือว่าเสียเปล่าเกินไปหน่อย” เต๋าซุน คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับผู้คุ้มกันนิกาย “ไปที่ยอดเขาโอสถโบราณและตัดกิ่งจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มาทำฟืนให้ข้าที ”
“ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และสมุนไพรโบราณเหล่านั้นเป็นสมุนไพรที่ผู้อาวุโสสองปลูกไว้นะขอรับ” ผู้คุ้มกันนิกายก็กล่าวอย่างเชื่องช้า “ถ้าผู้อาวุโสสองรู้ว่าข้าเป็นคนตัดกิ่งของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ ข้าน้อยคงถูกถลกหนังทั้งเป็นแน่นอนขอรับ”
“ไม่หรอก” เต๋าซุนก็อธิบาย: “ในเวลานี้ผู้อาวุโสสองคงกำลังแอบมองหญิงสาวอาบน้ำอยู่ เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นคนทำ ”
ผู้คุ้มกันนิกายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: "นายน้อยขอรับ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ท่านต้องช่วยข้าน้อยด้วยนะขอรับ ชีวิตข้าคงต้องฝากไว้ที่ท่านแล้ว "
“อย่ากังวล ตราบใดที่ข้ายังอยู่ เจ้าไม่เป็นอะไรแน่นอน” เต๋าซุนก็พูดอย่างมั่นใจ: “นอกจากนี้ เจ้านั้นเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของข้า หาใช่ผู้คุ้มกันทั่วไปไม่ ดังนั้นจงชัดเจนในสถานะของตัวเองซะ คนอื่นจะได้ไม่กล้ามองเจ้าผิด ”