ตอนที่ 7
ตอนที่ 7
ไม่ต่างจากหมาเลียขาจนเปียก
ชายหนุ่มก็มองดูคนอื่น ๆ ด้วยความดูถูก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเฉยเมย
“เจ้าเป็นใคร” เต๋าซุน ก้าวไปข้างหน้าและถาม
“ข้าชื่อ ซุยหยาน และปู่ของข้าก็คือผู้อาวุโสฝ่ายใน ซุยเหวินกวง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เจ้าปลาน้อยก็ตบหัวของเด็กคนนั้น และตะโกนว่า "ปู่ของข้าคือผู้อาวุโสสามข้ายังไม่โอ้อวดเลย แต่เจ้าที่เป็นแค่หลานของผู้อาวุโสฝ่ายในกลับอวดเบ่งงั้นรึ?"
ในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้น ตั้งแต่หัวหน้านิกายจากไป รองหัวหน้านิกายเต๋าเสี่ยวโม่ก็คือคนที่มีอำนาจมากที่สุด
รองลงมาก็จะเป็นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดคน ตามมาด้วยผู้อาวุโสฝ่ายในและผู้อาวุโสฝ่ายนอก
“เจ้ากล้าตบข้ารึ” ชุยหยานก็พูดอย่างไม่มั่นใจ: “ถ้าเจ้ามีความสามารถจริงก็มาประลองดาบกับข้าเลยดีกว่า ”
“อยากประลองกับข้ารึ ?” เต๋าซุน ถามด้วยรอยยิ้ม: “เจ้ามีข้อเสนออะไรที่ทำให้ข้าสนใจหรือไม่?”
“หึ เรามาประลองกันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อชี้แนะกันไม่ดีกว่ารึไง” ซุยหยานก็กล่าว
เขาเริ่มฝึกฝนตั้งแต่เมื่อปีก่อน และตอนนี้ก็อยู่ระดับ 1 แล้ว เขาเป็นศิษย์สายนอกของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
“แต่ก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าชนะ ข้าจะมอบหินมังกรนี้ให้ ” ซุยหยานก็หยิบก้อนหินสีเหลือเข้มออกมาจากแหวน
กินหินกลมนี้เต็มไปด้วยลวดลายมากมายดูยุ่งเหยิง
ตอนแรกเต๋าซุนไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่เมื่อมองดูดีๆ เขาก็ต้องตกตะลึง
“ชาติที่แล้ว แม้จะตามหาไปทั่วทวีปก็ยังไม่อาจพานพบ แต่ชาตินี้กลับพอเจอโดยไม่ต้องพยายามแม้แต่น้อย” เต๋าซุนรีบคว้าหินก้อนนี้มาจากมือของซุยหยาน และ ถือมันไว้ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นเขาก็มองไปที่ซุยหยานแล้วถามว่า "เจ้าไปได้หินก้อนนี้มาจากไหน"
ดวงตาที่ลุกโชนของเต๋าซุนก็ทำให้ซุยหยานตกใจ และชายหนุ่มก็พูดตะกุกตะกักทันที "นี่… ข้าบังเอิญหยิบมันขึ้นมาตอนที่เล่นอยู่ริมแม่น้ำในภูเขาด้านหลัง "
“ดี” เต๋าซุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวว่า “หินก้อนนี้เป็นของข้าแล้ว”
“แต่เรายังไม่ได้ประลองกันเลยนะ” ซุยหยานก็กล่าวอย่างรวดเร็ว
“นี่ๆๆๆ เจ้างั่ง การที่พี่ซุนต้องการของจากเจ้านั่นถือว่าเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว” เจ้าปลาน้อยก็เดินมาข้างๆและพูดพร้อมกับเบิกตากว้าง
“นี่พวกเจ้าคิดรังแกกันรึ” ซุยหยานที่รู้สึกหวาดกลัวก็ก้าวถอยหลังพร้อมกับพูดด้วยความเสียใจ
“ไปๆ” เต๋าซุนโบกมือมองไปที่ซุยหยานแล้วพูดว่า “ไปเล่นตามประสาเจ้าได้แล้ว ไม่งั้นข้าทุบตีเจ้าแน่ ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” ซุยหยานก็หลั่งน้ำตาออกมาและวิ่งออกไปนอกหอแรงโน้มถ่วงด้วยน้ำตาที่เปื้อนหน้า
เต๋าซุนไม่สนใจคำขู่ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ยังไงซะในสายตาของพวกผู้ใหญ่แล้วนี้เป็นแค่เรื่องระหว่างเด็กเท่านั้น พวกเขาย่อมไม่เข้ามายุ่งเกินไปแน่นอน
และในฐานะตัวร้ายแล้ว การโกหกและปล้นของนั้นย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง
เช่นนั้นเจ้าคิดหรือว่าตัวร้ายอย่างข้าจะเมตตาหรือยุติธรรมกับเจ้า ?
…………
บางทีอาจยังไม่มีใครรู้ความลับของหินก้อนนี้ แต่เต๋าซุนนั้นรู้เกี่ยวกับมันดี ในฐานะหนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของตัวเอกเย่เฉินในชาติที่แล้ว เขานั้นได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานของมันอย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว
…………
หลังจากเก็บหินก้อนนี้เสร็จ เต๋าซุนก็ฝึกฝนอยู่ในหอแรงโน้มถ่วงตลอดทั้งวัน
แรงโน้มถ่วงสองเท่าที่ชั้นหนึ่งนั้นไม่เพียงพอสำหรับเขาอีกต่อไป ดังนั้น เต๋าซุน จึงขึ้นไปที่ชั้นสองโดยตรง
เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของชั้นสองคือ 20 เท่าจากชั้นแรก ช่องว่างของมันจึงกว้างใหญ่ยิ่งนัก
แต่เพราะนิกายก็กลัวว่าศิษย์บางคนจะไม่สามารถทนต่อแรงโน้มถ่วงที่มหาศาลเช่นนี้ได้
พวกเขาจึงค่อยๆเพิ่มแรงโน้มถ่วงมากขึ้นตามขั้นบันไดที่ก้าวเดินขึ้นไปสู่ชั้นที่สองแทน จากสามเท่า เป็นสี่เท่า จากสี่เท่าเป็นเก้าเท่าและเมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่สอง แรงโน้มถ่วงก็จะเต็มที่ 20 เท่า
เต๋าซุนกำลังนั่งอยู่บนบันไดระหว่างชั้นหนึ่งถึงชั้นสอง ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงมากกว่าสิบเท่า
เขาฝึกแบบนี้ตลอดทั้งวัน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เต๋าซุนก็ถอนหายใจยาวออกมา
รากฐานร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเขาถอนหายใจออกมา ควันสีขาวก็ลากยาวตามลมหายใจของเขา และเขาเตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่ระดับ 1 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นี่ก็เริ่มยามสายแล้ว หลังจากที่ เต๋าซุน กล่าวคำอำลากับเจ้าปลาน้อย เขาก็ไม่ได้กลับไปที่ยอดเขาเดียวดายอันเป็นที่อยู่อาศัยของเขา
แต่เขาเดินทางมาที่ตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับผู้คุ้มกันนิกาย
เขาต้องเลือกอาวุธของตัวเอง
“อาวุธสิบแปดชนิด ทั้งกระบี่ หอก กระบอง ดาบ ง้าว และขวาน” เต๋าซุน ยังคงจำสิ่งที่พ่อของเขาบอกเขาในตอนนั้นได้ดี “ทุกอาวุธล้วนมีจิตวิญญาณของตัวเอง และอย่าได้มองมันเป็นเพียงแค่เครื่องมือ”
ในความเป็นจริงแล้ว อาวุธติดตัวของยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งนั้นส่วนใหญ่มักจะอยู่กับพวกเขามาตั้งแต่ที่เริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอาวุธนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกัน นอกจากเจ้าจะเลือกมันแล้ว มันเองก็ต้องเลือกเจ้าด้วย
บนเส้นทางแห่งการต่อสู้ อาวุธคือคู่หูของเจ้าหาใช่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้ฆ่าฟัน
เมื่อฝึกบ่มเพาะไปถึงระดับ 3 เจ้าจะสามารถเปิดใช้จิตวิญญาณในอาวุธได้และเปลี่ยนอาวุธจิตวิญญาณนั้นให้เป็นสมบัติประจำตัวของเจ้า
ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะเป็นเจ้าของอาวุธได้อย่างแท้จริง "
ตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นมีด้วยกันทั้งหมดสิบชั้น และในทวีปA ระดับของอาวุธก็ถูกแบ่งออกเช่นเดียวกับวิชา
แบ่งออกเป็นแปดระดับ 1-8
ชั้นหนึ่งของตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นจากวัสดุคุณภาพสูง
ศิษย์หลายคนต่างก็สงสัยว่าเหตุใดช่างหลอมอาวุธถึงได้ลดคุณภาพสร้างอาวุธระดับ 1 ทั้งๆที่วัสดุชั้นดีเหล่านี้สามารถสร้างได้แม้กระทั่งอาวุธระดับ 2 - 3 หรือดีกว่านั้นได้
ศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าใจปัญหานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเลือกอาวุธตั้งแต่ชั้นที่สองของตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปแทน
ตั้งแต่ชั้นสองถึงชั้นเก้าของตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ พวกมันคือสถานที่เก็บอาวุธตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไป
ส่วนบนชั้นที่สิบของตำหนักอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่เก็บอาวุธแท้จริงอันเป็นมรดกของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ไว้
อาวุธแท้จริงของจักรพรรดิเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติที่ติดตัวจักรพรรดิมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อจักรพรรดิแบกรับโชคชะตา อาวุธของพวกเขาก็ได้รับการแบกรับโชคชะตาเช่นกัน
พลังของพวกมันทรงพลังกว่าอาวุธระดับอื่นอย่างเทียบไม่ติด
เต๋าซุนไม่ได้เลือกอาวุธระดับสูงแต่อย่างใด เขาตรงไปยังชั้น 1 ที่เก็บอาวุธระดับ 1 ไว้
“นายน้อย อาวุธที่ชั้นแรกนั้นคืออาวุธระดับ 1 ที่ยังไม่ผ่านการหลอมพลังวิญญาณ มันมีประโยชน์อะไรกับท่านถึงได้มาเลือกพวกมัน?” ผู้คุ้มกันนิกายก็ถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าที่ข้าเลือกพวกมันก็เพราะพวกมันนั้นยังอยู่ในสภาพที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด” เต๋าซุน อธิบายด้วยรอยยิ้ม: “ถ้ามีหยกที่ยังไม่ขึ้นรูปชิ้นหนึ่งอยู่ในมือเจ้า เจ้าจะทิ้งมันหรือเจียระไนมันให้เป็นหยกล้ำค่ากัน ? ส่วนคุณค่าของหยกนั้นจะล้ำค่าเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างแกะสลัก”
เต๋าซุนถอนหายใจด้วยอารมณ์ "ด้วยมือข้าแล้ว หยกชิ้นนี้ย่อมเป็นผลงานที่ไม่อาจประเมินค่าได้อย่างแน่นอน !"
ทุกคนในโลกล้วนแต่ชื่นชอบอาวุธระดับสูง แต่ความเป็นจริงแล้วอาวุธระดับสูงจำนวนมากนั้นต่างก็พัฒนามาจากอาวุธธรรมดาทั่วไป
พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะอยู่กับอาวุธเหล่านั้นตอนที่พวกมันยังอ่อนแอด้วยซ้ำ ดังนั้นมีหรือที่พวกมันจะยอมรับพวกเขา
…………
เต๋าซุนรู้จักช่างหลอมอาวุธคนหนึ่งในชีวิตที่แล้วของเขา ชายคนนี้เป็นช่างหลอมอาวุธชราที่ใช้ชีวิตทั่วๆไป และไม่เคยสร้างอาวุธระดับสูงเลย
เขาบอกเต๋าซุนว่า หากอาวุธกลายเป็นระดับสูงตั้งแต่ที่ถูกหลอมขึ้น มันย่อมไร้ซึ่งประสบการณ์เฉกเช่นที่อาวุธระดับ 1 จะมี ดังนั้นต่อให้มันมีจิตวิญญาณแห่งอาวุธอยู่ในตัว มันก็หาใช่จิตวิญญาณอาวุธที่สมบูรณ์ไม่