ตอนที่แล้วตอนที่ 49
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 51

ตอนที่ 50


ตอนที่ 50



“ไม่ต้องห่วง ข้าไปถึงระดับ 1 ขั้นเจ็ดแล้ว ข้าต้องได้อันดับดีๆในการประลองที่จะถึงนี้แน่นอน” ซูเมิงเมิง กล่าวอย่างมั่นใจ

คังไป่หลี่ก็ยิ้มและพยักหน้า จากนั้นก็ขึ้นไปบนยอดเขาบังหิมะเพียงลำพัง และมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปไม่มีสิ้นสุด

 นั่นคือทิศทางของหมู่บ้านชิงหยาง  "พี่เย่เฉิน ตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่นะ ?

แต่เสียงฝีเท้าเล็กๆก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของคังไป่หลี่ นางรีบหันไปมองคนที่เดินเข้ามาและตะโกนทัก   "ท่านป้า"

 คังเย่ซานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดด้วยรอยยิ้ม   "เจ้าทะลวงเข้าสู่ระดับ 2 ได้แล้วรึ  ?"

คังไป่หลี่พยักหน้าและกล่าวว่า "ข้าเพิ่งทำสำเร็จเมื่อครู่เอง"

“ข้าได้ปรึกษาเรื่องนี้กับรองหัวหน้านิกายแล้ว และการแต่งงานระหว่างเจ้ากับเต๋าซุนก็ไม่อาจเป็นไปได้” คังเย่ซานกล่าวอย่างเสียใจ

“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ?” คังไป่หลี่ถามอย่างสงสัย เพราะนางค่อนข้างมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่านางนั้นไม่ได้สนใจเต๋าซุน แต่เหตุผลที่นางตัดสินใจรับข้อเสนอแต่งงานกับเต๋าซุนของท่านป้าก็เพราะผลประโยชน์ที่มาจากอำนาจของรองหัวหน้านิกาย

 เมื่อถึงเวลาที่นางกลายเป็นธิดาสวรรค์ของนิกาย ทรัพยากรบ่มเพาะที่นางได้รับก็จะมหาศาลยิ่งขึ้น และหลังจากที่นางประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะจนสูงส่ง การแต่งงานที่เกิดขึ้นก็จะไร้ซึ่งความหมายใดๆ

นางมีเพียงเย่เฉินเท่านั้นในหัวใจ และนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงหมากกระดานหนึ่งในชีวิตนางเท่านั้น

สิ่งที่นางต้องการตอนนี้ก็คือใช้ประโยชน์จากอำนาจของท่านป้า และยิ่งหากนางสามารถหมั้นหมายกับเต๋าซุนได้ นางก็จะได้รับประโยชน์จากอำนาจจากอำนาจของรองหัวหน้านิกายด้วย

“เต๋าซุนมีความคิดบางอย่างของตัวเอง” คังเย่ซานกล่าว“ แต่ข้าคิดนี่ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะยังไงป้าก็มั่นใจในตัวเจ้า

 หลังจากที่เต๋าซุนกลับมา เจ้าสมควรสร้างความสัมพันธ์กับเขาให้มากขึ้น ยังไงเสียเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่ม   "

 “ข้าเข้าใจแล้ว” คังไป่หลี่พยักหน้าอย่างจริงจัง

  …………

เมื่อดวงอาทิตย์ที่เปรียบเสมือนม่านสีทองคำร่วงหล่นจากฟ้าปกคลุมโลกทั้งใบ

เย่เฉินก็ออกจากหมู่บ้านชิงหยางพร้อมกับจี้หยกครึ่งหนึ่งของโค้ชโม่  และเริ่มการเดินตามเส้นทางของตัวเอง

 หลังจากที่เขามาถึงเมืองซวนหยวน เขาก็พักผ่อนในคืนนี้ก่อน จากนั้นจึงตรงไปยังค่ายทหารที่โค้ชโม่พูดถึงในวันรุ่งขึ้น

โดยพื้นฐานแล้ว มีค่ายทหารอยู่ในทุกเมือง พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องความปลอดภัยของเมือง และเป็นองค์กรอิสระไม่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเจ้าเมือง

ค่ายทหารได้รับการจัดการอย่างเข้มงวด และทหารที่สวมชุดเกราะสีดำก็กำลังลาดตระเวนอยู่รอบๆ

“เจ้าหนู เจ้าอยากเข้าร่วมกับกองทัพรึ   ?” ที่โต๊ะลงทะเบียนทหาร ชายร่างใหญ่สองคนมองดูเย่เฉินและพูดด้วยรอยยิ้ม

“พวกท่านรู้จักตู้เทียนหยินหรือไม่ ?” เย่เฉินถาม

“เจ้ามีอะไรกับนายพลตู้?” ทหารก็สงบใจและถามกลับ

“สหายเก่าของเขาโม่เทียนฉีบอกให้ข้ามาพบเขา ” เย่เฉินหยิบจี้หยกครึ่งหนึ่งที่โค้ชโม่มอบให้เขาออกมา

 “เดี๋ยวก่อน” ทหารก็หรี่ตาลง แล้วเขาก็รีบวิ่งไปในค่ายทหาร

ไม่นานหลังจากนั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากค่ายทหาร

แล้วเขาก็เห็นชายร่างสูงสง่าผมยาวสีดำเดินออกไป

 “เจ้าคงเป็นหลานชายของน้องโม่สินะ  ?” ชายคนนั้นมองไปที่เย่เฉินแล้วถาม

เขาสวมชุดเกราะสีดำที่ประณีตเป็นพิเศษ มีดาบห้อยอยู่ที่เอว คอที่โผล่อยู่ข้างนอกเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เมื่อมองแวบแรก ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาผ่านสนามรบมาไม่น้อย

“ใช่แล้วขอรับ โค้ชโม่บอกให้ข้ามาที่เมืองซวนหยานเพื่อตามหาท่าน  ” เย่เฉินพยักหน้าและยื่นจี้หยกครึ่งหนึ่งให้

“ในเมื่อเจ้าเป็นหลานของน้องโม่ ก็อย่าได้เกรงใจ จากนี้ไปจะเรียกข้าว่าลุงตู้ก็ได้” ชายที่ชื่อตู้เทียนหยินก็กล่าวพร้อมตบไหล่เย่เฉิน

 “คารวะลุงตู้” เย่เฉินก็ทักทายอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อน้องโม่บอกให้เจ้ามาหาข้า เช่นนั้นเขาก็คงอยากให้เจ้าเข้าร่วมการฝึกกับกองทัพของเรา ” ตู้เทียนหยินกล่าว “ข้ามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่น้องโม่แนะนำมาจะต้องไม่ธรรมดา ถ้าเจ้าไม่ติดอะไรก็เข้าไปรายงานตัวในค่ายได้เลย  ”

เย่เฉินพยักหน้าและเดินตามตู้เทียนหยินเข้าไปในค่ายทหาร

ในค่ายทหารมีกระโจมอยู่ทุกแห่ง เต็นท์สีน้ำตาล และเขียวกระจัดกระจายอย่างเป็นระเบียบ มีทหารที่กำลังถืออาวุธ และแบกก้อนหินฝึกกระโดดกบอยู่ ทหารบางคนก็กำลังฝึกออกดาบแนวตั้งแนวนอน และบางคนก็ประลองชี้แนะกัน

เย่เฉินที่ลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัวเสร็จก็รับป้ายมา

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าคือสมาชิกของหน่วยหมาป่าโลหิตเราแล้ว ตลอดเวลาที่อยู่ในหน่วยนี้เจ้าจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของค่ายทหารอย่างเคร่งครัด ” ทหารที่มอบป้ายให้เย่เฉินก็กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น   "หากวันใดที่เจ้าต้องการออกจากหน่วยหมาป่าโลหิตแห่งนี้ จงอย่าลืมส่งป้ายนั้นคืน

ป้ายนี้ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตนของหน่วยหมาป่าโลหิตของเจ้าเท่านั้น แต่มันยังเป็นความรุ่งโรจน์และศักดิ์ศรีตลอดทั้งชีวิตของเจ้าด้วย "

เย่เฉินพยักหน้าอย่างจริงจังและถือป้ายจ้องมองดูด้วยมือทั้งสองข้าง

 ต่อจากนั้น ภายใต้การนำของทหารคนนี้ เขาก็ได้รับเสื้อคลุมและวิชาระดับ 2 สองวิชา

เสื้อคลุมนี้เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยหมาป่าโลหิต ส่วนหนึ่งของมันเป็นสีแดงเลือดและส่วนอื่นก็เป็นสีดำเข้ม

เมื่อเย่เฉินสวมมันเขาก็รู้สึกได้ถึงความองอาจ

สำหรับวิชาระดับ 2 ทั้งสองวิชานั้น อันหนึ่งมีชื่อว่า ดาบโลหิตเชือดเฉือน และอีกอันก็มีชื่อว่าฝ่ามือปราณโลหิต

ทหารทุกคนที่เข้าร่วมหน่วยหมาป่าโลหิตล้วนแต่ต้องเรียนรู้วิชาทั้งสองนี้ให้ได้ และหากว่าพวกเจ้าอยากได้วิชาอื่น เจ้าก็ต้องทำภารกิจของค่ายให้สำเร็จเพื่อสะสมคะแนนไปซื้อมัน

 ในหน่วยหมาป่าโลหิตนั้นมีความแตกต่างจากหน่วยอื่น พวกเขาเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง

คนที่เพิ่งเข้าร่วมหน่วยหมาป่าโลหิตนั้นจะเป็นทหารทั่วไป และหลังจากทหารทั่วไปก็จะเป็น นายสิบ ซึ่งจะมีทหารทั่วไปใต้บัญชาสิบคน และ ต่อมาผู้ที่มีผู้ใต้บัญชาร้อยคนจะเรียกว่านายร้อย  และนายพันก็จะเป็นผู้มีทหารในสังกัดหนึ่งพันคน และสูงกว่านั้นขึ้นไปอีกก็คือ นายพล

เนื่องจากตู้เทียนหยินยุ่งเกินไป เขาจึงมอบหมายให้เย่เฉินให้กับนายพันคนหนึ่งและบอกให้เขาอีกฝ่ายจัดแจงตำแหน่งให้กับเขา

ตู้เทียนหยินไม่ต้องการให้เย่เฉินอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา แม้ว่านี่จะปลอดภัย แต่โม่เทียนฉีย่อมไม่แนะนำเขาอย่างแน่นอน เพราะอีกฝ่ายต้องการเห็นเย่เฉินฝึกฝนและเติบโตยิ่งขึ้น

 จากนั้นนายพันก็ได้ส่งเย่เฉินไปอยู่ในกลุ่มของนายสิบคนหนึ่ง

นายสิบนั้นจะเป็นกลุ่มทหารเล็กๆที่รวมเขาด้วยแล้วก็จะมีทั้งหมด 10 คน บังเอิญก่อนหน้านี้มีคนในกลุ่มของนายสิบถูกฆ่าตายในสนามรบ  เย่เฉินจึงได้รับมอบหมายให้รับตำแหน่งนี้แทน

จากนั้นเขาก็แนะนำตัวเองต่อหน้าทุกคน คนในกลุ่มของเขานั้นล้วนแต่มีอายุมากกว่าเขาทั้งสิ้น แต่ยกเว้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอายุพอๆกับเย่เฉิน

หลังจากแนะนำตัวเองแล้ว ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาหาเย่เฉินและพูดด้วยความสนใจ: "ข้าชื่อตงกวน เจ้าสนใจเป็นลูกน้องข้าไหม ?"

“ข้าไม่สนใจ” เย่เฉินส่ายหัว เขายังคงยุ่งอยู่กับการฝึกฝนวิชาทั้งสองที่หน่วยหมาป่าโลหิตมอบให้

“ลองคิดดูดีๆ หากเจ้าเต็มใจเป็นน้องชายของข้าล่ะก็ ข้าก็จะสามารถปกป้องเจ้าได้เมื่อเราออกไปปฏิบัติภารกิจกัน ไม่เช่นนั้น ผู้มาใหม่เช่นเจ้าจะต้องบาดเจ็บมากที่สุดแน่นอน ” ตงกวนก็พูดขู่

  “ไปให้พ้น” เย่เฉินมองอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วพูด

“เหอะ คอยดูเถอะ” ใบหน้าของตงกวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเหลือบมองที่เย่เฉินอย่างดูถูก จากนั้นก็ส่ายหัวด้วยความโกรธแล้วจากไป

  …………

เย่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก และเขาก็เริ่มทำความเข้าใจวิชาที่ชื่อว่า ฝ่ามือปราณโลหิต

“เจ้าหนู เจ้าเคยฆ่าใครมาก่อนไหม?” ชายชราที่อยู่ข้างๆเขาซึ่งอยู่ในทีมเดียวกับเย่เฉินก็ถามด้วยความสนใจขณะเช็ดดาบของเขา



0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด