ตอนที่ 49
ตอนที่ 49
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อน” ฮูหยวนไหวถอนหายใจและเริ่มพูดว่า: “เมื่อสองสัปดาห์ก่อนในตอนกลางคืน จู่ๆ ข้าก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงในขณะที่ข้ากำลังหลับอยู่
ตอนแรกข้าก็ไม่ได้สนใจมากนัก จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น จู่ๆหัวหน้าองครักษ์ของตระกูลก็เสียชีวิตทันที
ลักษณะการตายของเขาดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาได้พบเจอกับบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวมาก และหวาดกลัวจนตาย
ตั้งแต่นั้นมา ทุกคืนที่ตระกูลฮูของเรา ข้าก็จะได้ยินเสียงฮัมเพลงของหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่เสมอมา
อย่างไรก็ตามไม่ว่าข้าจะบอกให้ผู้คนตามหาต้นตอของเสียงเพียงใด ข้าก็ไม่อาจหาที่มาของมันพบ
ทุกๆเช้า จะมีคนเสียชีวิตเกิดขึ้นในตระกูล แม้ว่าข้าจะรวบรวมทุกคนมานอนรวมกันช่วงค่ำแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังคงมีคนสูญหายและเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้นอยู่ดี จนถึงตอนนี้ คนในตระกูลฮูของเราเสียชีวิตไปแล้วกว่า 20 คน
คนรับใช้หลายคนถึงกับลาออกและจากไป และกล่าวว่าข้านั้นถูกคำสาป "
“โลกนี้ไม่มีผี คงเป็นฆาตกรสักคน” หวังเทากล่าวอย่างเหยียดหยาม: “ไม่ต้องกังวลท่านฮู ข้าจะลาดตระเวนทั่วบ้านตระฮูคืนนี้เอง รับรองเลยว่าต้องหาตัวฆาตกรพบอย่างแน่นอน ”
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ท่านผู้อัจฉริยะโปรดระวังด้วย หากท่านต้องการสิ่งใด เพียงแค่บอกเรา ” ฮูหยวนไหวกล่าวอย่างรวดเร็ว
“คืนนี้รวบรวมทุกคนที่เหลืออยู่ให้อยู่แต่ในห้องไว้ หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามใครออกมาเด็ดขาด ไม่งั้นอาจสร้างปัญหาให้ข้าได้ ” หวังเทาพูดอย่างเคร่งขรึม
“ไม่มีปัญหา ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ให้ท่านผู้อัจฉริยะจัดการอย่างเชื่อฟัง” ฮูหยวนไหว พยักหน้า
เมื่อมองดูความมั่นใจอันเย่อหยิ่งของหวังเทา เต๋าซุนก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยิ้มบางๆเท่านั้น
ไม่ว่าภารกิจของนิกายจะสำเร็จหรือไม่นั้น มันไม่ได้สำคัญต่อเขาแม้แต่น้อย เขามาที่นี่เพื่อเอาบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น
เขายังหวังว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดจะตกตายไปเสียอีก ยิ่งสิ่งนั้นกลืนกินคนเหล่านี้ไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแข็งแกร่ง และนั่นก็ยิ่งส่งผลดีต่ออนาคตของเต๋าซุนมากขึ้นไปอีก
บางคนพูดคุยและหัวเราะกันขณะรับประทานอาหาร ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาจากข้างนอก
“ท่านพ่อ มีแขกมาบ้านหรือเจ้าคะ ” เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีผมเปีย 2 ข้างและเสียงสดใสก็พูดขึ้น นางดูอายุไม่เกิน 4-5 ขวบเท่านั้น
“หยิงเอ๋อ มาหาพ่อหน่อย” ฮูหยวนไหวดูเหมือนจะรักบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง เขารีบอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเข้ามาในอ้อมแขนทันที และแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือลูกสาวของข้า ฮูหยิงหยิง นางป่วยหนักมาระยะหนึ่งแล้ว . . . โชคดีที่คำสาปนี้ไม่ได้โจมตีลูกสาวของข้าด้วย”
หลังจากหลายคนกินข้าวเสร็จ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง และฝนที่ตกก็ดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
เม็ดฝนเริ่มตกลงมาทีละหยดตามชายคา และตระกูลฮูทั้งหมดก็ปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ
ฮูหยวนไหวเรียกคนรับใช้ทั้งหมดเข้าไปในบ้านที่ห้องโถงด้านข้าง ซึ่งจริงๆแล้วเหลือคนอยู่ไม่มากนัก
หลังจากที่คนรับใช้ในตระกูลตกตายและลาออกไป ตอนนี้จำนวนคนที่เหลืออยู่ก็มีไม่ถึง 20 คน
“เราจะรับผิดชอบหน้าที่ลาดตระเวนลานด้านตะวันออกเอง ส่วนพวกเจ้าพวกเจ้าก็ไปลาดตระเวนที่ทางตะวันตกได้หรือไม่ ?” หวังเทาก็มองไปที่พวกเต๋าซุนแล้วถาม
“เจ้าหนู นี่เจ้ายังอยากโดนทุบอีกใช่ไหม เจ้ามีสิทธิ์มาบอกอะไรมากำหนดว่าพวกข้าต้องทำอะไร ”เสี่ยวกุ้ยจื่อมองอีกฝ่ายแล้วพูด
จากนั้นเขาก็มองไปที่เต๋าซุนเพื่อรอคำสั่ง
“พวกเจ้าก็ลาดตระเวนไปเถอะ ข้าจะไปอยู่ในห้องโถงเพื่อปกป้องคนเหล่านั้น” เต๋าซุนหาวและพูดอย่างเบื่อหน่าย
"ก็ได้" หวังเทาไม่กล้าพูดอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงจากไปพร้อมกับคนในนิกายเทพศักดิ์สิทธิ์
“พี่ใหญ่ พวกเราไปลาดตระเวนที่ด้านตะวันตกกันเถอะ” เสี่ยวกุ้ยจื่อกล่าวจากด้านข้าง
เต๋าซุนก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า… ฝนบนท้องฟ้าดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ และความมืดมิดของท้องฟ้าก็ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกเป็นพิเศษ
“มีอะไรต้องลาดตระเวนกัน กลับไปพักผ่อนและตื่นแต่เช้าดีกว่า” เต๋าซุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เดินไปที่ห้องโถง
ปล่อยให้เสี่ยวกุ้ยจื่อและเจ้าปลาน้อยเต็มไปด้วยความสับสน
…………
เหริงปิงเซิงก็รีบกลับมาถึงตระกูล หลังจากกินโอสถที่เต๋าซุนมอบให้ อาการบาดเจ็บของเขาก็เกือบจะหายดีแล้ว
จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับมรดกของบรรพบุรุษ จักรพรรดิกลืนตะวัน
ในที่สุด เมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เขาก็รีบไปที่วิหารบรรพบุรุษของตระกูล
นับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลเหริน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มายังอารามบรรพบุรุษแห่งนี้
เขาเปิดประตูไม้เล็กๆ ที่ถูกกัดเซาะตามกาลเวลา แสงไฟในวิหารบรรพบุรุษสลัวเล็กน้อย และอากาศภายในก็อับชื้น
ตรงไปข้างหน้าคือรูปปั้นของบรรพบุรุษของเขา จักรพรรดิกลืนตะวัน ซึ่งตอนนี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม
รูปปั้นนี้ถูกแกะสลักโดยคนรุ่นหลังโดยอิงจากรูปเหมือนของบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะจ้างช่างฝีมือที่มีทักษะมากเพียงใดในตอนนั้น พวกเขาก็ไม่อาจฟื้นฟูรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษได้อย่างสมบูรณ์
ท้ายที่สุดแล้ว คนรุ่นหลังก็แกะสลักเพียงรูปปั้นด้านหลังเท่านั้น
เหรินปิงเซิงเดินไปที่รูปปั้น คุกเข่าลงและโขกศีรษะสามครั้ง จากนั้นโค้งคำนับอีกสามที
เขาเดินเข้าไปหารูปปั้นและเคลื่อนย้ายมันทีละน้อย จากนั้นเหรินปิงเซิงก็พบว่ามีอิฐสีเข้มที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อยู่ข้างใต้ตำแหน่งรูปปั้น
เขาหยิบอิฐออกมาเผยให้เห็นร่องที่ซ่อนอยู่ รูปร่างของร่องที่ซ่อนอยู่นั้นเหมือนกับรูปร่างของขลุ่ยทุกประการ
เหรินปิงเซิงหายใจแรงขึ้น จิตใจของเขาว่างเปล่า และเขาก็เสียบขลุ่ยเข้าไปในร่องมืดด้วยมือที่สั่นเทา
จากนั้นวิหารบรรพบุรุษทั้งหมดก็เริ่มสั่นไหว พลังจิตวิญญาณอันไม่มีที่สิ้นสุดควบแน่นขึ้นบนท้องฟ้าเหนือวิหารบรรพบุรุษ และกระแสน้ำวนลึกล้ำก็ปรากฏตัวตรงหน้าเหรินปิงเซิง
ทันทีที่กระแสน้ำวนนี้ปรากฏขึ้น พื้นที่ก็พังทลายลง และอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนถูกบีบและระเบิดออก มันกลายเป็นคลื่นอากาศกระจัดกระจายไปรอบๆ
เหริงปิงเซิงมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าเขาและรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เขาพึมพำกับตัวเอง: "เย่ปู้ลี่ รอก่อนเถอะ เมื่อข้ากลับไป ข้าจะบดขยี้นิกายเทียนเจียนของเจ้า "
เหรินปิงเซิงเดินเข้าไปในวังวนด้วยความตื่นเต้น จากนั้นกระแสน้ำวนก็ปิดลงและสภาพแวดล้อมก็กลับมาเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…………
ในเวลานี้ ที่ยอดเขาบนนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสหกอาศัยอยู่ คังไป่หลี่ก็กำลังนั่งอยู่กลางดอกบัวสีขาว
ดอกบัวสีขาวนี้เป็นมรดกของจักรพรรดินีหงเทียน ใบหน้าของคังไป่หลี่ดูเฉยเมยและปอยผมก็ปลิวไปตามสายลม
ด้วยพลังจิตวิญญาณอัดแน่นบนดอกบัวขาวที่หล่อเลี้ยงร่างกายของนางอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตอนนี้นางดูราวกับว่าเป็นนางฟ้านางสวรรค์
เสื้อผ้าสีขาวของนางพลิ้วไหว ผิวของนางขาวกว่าหิมะ และริมฝีปากแดงของนางก็สดใสเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากอยู่ในสภาวะนี้มาอย่างยาวนาน ตอนนี้กลิ่นอายในร่างของนางก็ราวกับเป็นเทพธิดาจากสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียง "ปัง" ดังขึ้น และชีพจรตรงมือขวาของคังไป่หลี่ก็เปิดออก นางทะลวงเข้าสู่ระดับ 2 และพลังจิตวิญญาณอันไร้ขอบเขตก็กวาดไปทั่วทั้งร่างของนาง
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินออกจากดอกบัวขาว ทุกย่างกล่าวปรากฏดอกบัวขึ้นขณะที่นางเดินไปหาสาวใช้ทั้งสองที่ยืนเฝ้ามาเป็นเวลานาน
สาวใช้สองคนนี้เป็นฝาแฝดที่เต๋าซุนพบระหว่างร่วมบททดสอบเข้านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ซูเชียนซู และซูเมิงเมิง
“พี่สาวหลี่ ท่านทะลวงผ่านระดับ 2 แล้วหรอ” ซูเมิงเมิงที่อยู่ด้านข้างก็กะพริบตาโตอย่างน่ารักขณะที่ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ ข้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าเองก็พยายามเข้าล่ะ” คังไป่หลี่ก็ยิ้มและพูดเบา ๆ