ตอนที่ 43
ตอนที่ 43
แน่นอนว่าราคาของการถูกผนึกไว้ในโลงศพบรรพบุรุษนั้นก็คือพวกเขาจะไม่สามารถฝึกบ่มเพาะต่อไปได้อีกและทำได้เพียงรอวันตายอย่างช้าๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่หินเลือดฝุ่นหมดพลัง ถึงเวลานั้นชีวิตก็จะสิ้นสุด
แต่ข้อดีคือพวกเขาสามารถมีอายุยืนยาวกว่าปกติและดำรงอยู่เพื่อปกป้องตระกูลได้
โดยทั่วไปแล้วเฒ่าชราเหล่านี้มักจะไม่ปรากฏตัวง่ายๆ เพราะทุกครั้งที่ออกจากผนึกหินเลือดฝุ่นพวกเขาจะต้องใช้พลังชีวิตมากมายและหินเลือดฝุ่นก็มีค่าเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับตระกูลเล็กๆที่จะใช้จ่ายซื้อหินเลือดฝุ่นเหล่านี้
นอกเสียจากตระกูลจะพบเจอหายนะแล้ว เฒ่าชราส่วนใหญ่เหล่านี้ล้วนแต่ไม่เปิดโลงศพบรรพบุรุษออกมาง่ายๆ
“เจ้าแน่ใจแล้วนะว่าจะเป็นศัตรูกับตระกูลซือถูของเรา ” ผู้อาวุโสพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“ซื่อถูหมาง ยังไงวันนี้ตระกูลซือถูของเจ้าก็ต้องถูกทำลาย” หว่านคังเชียงตอบ
“เปิดโลงศพของบรรพบุรุษ” ผู้อาวุโสตะโกนเสียงดัง และโลงศพสีเข้มก็เปิดออกทีละน้อย
โลงศพที่ถูกผนึกและเกาะไปด้วยฝุ่นหลายทศวรรษก็ถูกเปิดออกในที่สุด
แรงกดดันที่มองไม่เห็นก็รวมตัวกันบนท้องฟ้า และเสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากโลงศพ "ในที่สุดตระกูลซือถูของเราก็มาถึงจุดนี้แล้วสินะ ?"
คนที่อยู่ในโลงศพไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอก แต่เขาก็เข้าใจได้ทันทีเมื่อโลงศพบรรพบุรุษถูกเปิดออก ซึ่งนั่นหมายความว่าตระกูลซือถูถึงคราวพบเจอหายนะแล้ว
นอกเหนือจากเหตุผลนี้ ย่อมไม่มีทางแน่นอนที่โลงศพบรรพบุรุษจะถูกเปิดออกได้
“ท่านบรรพบุรุษ เป็นเพราะไร้ความสามารถและความล้มเหลวของพวกเราที่ทำให้ความรุ่งโรจน์ที่ท่านสร้างขึ้นสูญสิ้น และทำให้ต้องมาพบเจอกับสถานการณ์นี้ ” ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวอย่างเศร้า ๆ ขณะที่เขาคุกเข่าอยู่หน้าโลงศพของบรรพบุรุษของเขา
“หยุนเทียนอยู่ไหน” เสียงในโลงศพดังขึ้นอีกครั้ง
“ท่านหัวหน้าตระกูลตายแล้วขอรับ แต่เรายังไม่อาจหาตัวฆาตกรพบ” ผู้อาวุโสกล่าวตามความเป็นจริง
“ชีวิตไม่ต่างจากความฝัน” ชายในโลงถอนหายใจ
จากนั้นเสียง "ปัง"ก็ดังขึ้น โลงศพถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์ และชายชราผมหงอกแต่มีใบหน้าเด็กก็เดินออกมา
ชายชราสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมีลายเมฆขาวปักอยู่หลายจุดบนเสื้อผ้า
ขมับของเขาปกคลุมไปด้วยผมสีขาว เขาไม่สูงนัก และผิวหนังของเขาก็แห้งเล็กน้อยราวกับว่าพวกมันหุ้มกระดูกไว้แน่น
เมื่อมองแวบแรก ชายชราดูเหมือนชายชราธรรมดาทั่วไปในช่วงพลบค่ำ แต่ทว่าดวงตาของเขานั้นเปล่งประกายเจิดจ้า และกลิ่นอายก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับภูเขาลูกหนึ่ง
แรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมาอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับ 3 และเมื่อเกือบจะทะลวงเข้าสู่ระดับ 4 มันก็หยุดลง
ทุกคนมักพูดเสมอว่าเส้นทางการฝึกบ่มเพาะนั้นเป็นสิ่งที่ยาก ยิ่ง
มันยากพอๆกับการปีนป่ายขึ้นสู่ท้องฟ้า
หนึ่งขั้นหนึ่งช่วงอายุขัย
แม้จะเหลือเพียงช่องว่างเล็กๆเท่านั้นระหว่างระดับที่ 3 และระดับที่ 4 แต่ชายชราก็ไม่อาจก้าวต่อไปได้แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม
ในความเป็นจริง มีผู้คนมากมายนักที่เหมือนกับชายชราคนนี้ พวกเขาโดดเดี่ยวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร หลายคนล้วนแต่หยุดอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับ 3 ไปตลอดชั่วชีวิต
…………
“ซือถูหยุนเล่ยรึ?” หว่านคังเชียงก็มองไปที่ชายชราแล้วถาม
“เด็กหนุ่มจากตระกูลหว่าน และเด็กหนุ่มจากตระกูลหวัง พวกเจ้าทำได้งามหน้านัก ” ซือถูยุนเล่ยกล่าว พร้อมกับมองดูผู้คนที่อยู่รอบๆตระกูลซือถูทั้งหมด แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ท่านบรรพบุรุษซือถู พวกเราทุกคนเคารพท่าน แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่อาจมีทางเลือก ” หวังเชินกล่าว
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดมากไปกว่านี้ พอดีเลย กระดูกเก่าๆของข้ามันไม่ได้ขยับมานานแล้ว ” ซือถูหยุนเล่ย ยิ้มอย่างเต็มที่ จากนั้นเขาก็เดินตรงไปหาหวังเชินและหว่านคังเชียงด้วยเส้นสายแรงกดดัน
พวกเขาทั้งสองไม่กล้าที่จะประมาทเกินแม้แต่น้อย แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่จุดสูงสุดของระดับสามเช่นกัน แต่อีกฝ่ายก็เป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งเมื่อกาลก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงปิดล้อมลงมือซือถูหยุนเล่ยโดยพร้อมเพรียงกัน
“ปกป้องตระกูลจนกว่าชีวิตจะหาไม่!”
ผู้อาวุโสใหญ่ก็ตะโกนปลุกใจเหล่าศิษย์ของตระกูลซือถูที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็พุ่งออกไป
ต่อจากนั้น ลูกหลานของทั้งสามตระกูลก็เริ่มปะทะกัน
แม้ว่าศิษย์ของตระกูลซือถูจะอาจหาญ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจเอาชนะจำนวนคนที่มากกว่าสี่เท่าด้วยตัวคนเดียวได้ ด้วยการร่วมมือกันของตระกูลหวังและตระกูลหว่าน พวกเขาก็เริ่มพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าซือถูหยุนเล่ยจะสามารถกำราบหวังเชินและหว่านคังเชียงได้ในตอนแรก แต่เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป ด้วยความชราภาพ พลังในร่างของเขาก็เริ่มหมดลง
ในระหว่างการสู้ครั้งนี้ ตระกูลซือถูมากกว่าครึ่งก็ถูกทำลาย และศพบางส่วนก็นอนกองอยู่รอบๆ
เมื่อมองไปยังหว่านคังเชียง และหวังเชินที่อาจหาญขึ้นเรื่อยๆขณะที่ต่อสู้ ซือถูหยุนเล่ยก็ขบฟันแน่ และไม่สนใจการโจมตีของอีกฝ่ายอีกต่อไป เขาวางแผนที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อตอบโต้
ฝ่ามือเมฆาบินของเขาถูกใช้ออกไป เมฆสีขาวนับพันรวมตัวกัน และแรงกดดันอันน่าอัศจรรย์ก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
ฝ่ามือทั้งสองข้างโจมตีไปที่หน้าอกของหว่านคังเชียง เมฆสีขาวระเบิดออก และคลื่นอากาศอันไร้ที่สิ้นสุดก็ระเบิดพวกเขาทั้งสามออกจากกัน
หว่านคังเชียง และ หวังเชิงต่างก็กระอักเลือดออกมา ส่วนซือถูหยุนเล่นเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
เขาเพิ่งรับหมัดและลูกเตะจากทั้งสองคนมา ตอนนี้ลำคอของเขาเต็มไปด้วยโลหิต แม้ว่าจะพยายามกลืนมันลงไป แต่สภาพอวัยวะภายในของเขาตอนนี้กลับแย่เป็นอย่างยิ่ง มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนสีหน้าของเขาซีดลงอย่างฉับพลัน
“พวกเจ้ายังอยากสู้อยู่ไหม?” ซือถูหยุนเล่ยยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เขาปัดชุดที่เปื้อนเล็กน้อย และถามด้วยสีหน้าเฉยเมย
“สู้” หว่านคังเชียงคำรามด้วยความโกรธ เขาเช็ดเลือดจากมุมปากของเขา และกำลังจะโจมตีอีกครั้ง
แต่ทว่า จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาหยุดไว้
“ทุกท่านได้โปรดใจเย็นสักครู่ ข้าขอพูดอะไรสักสองสามคำ ”เต๋าซุนก็เดินก้าวเข้ามาทีละก้าวท่ามกลางสายตาของทุกคน
ผู้อาวุโสใหญ่มองไปที่เต๋าซุน และพูดอย่างรวดเร็ว: "คุณชายเต๋า ข้าหวังว่าท่านจะรักษาความยุติธรรมให้กับพวกเรา "
หว่านคังเชียงที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่เต๋าซุนแล้วถามว่า "คุณชายเต๋า ในฐานะตัวแทนของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ท่านย่อมไม่มายุ่งเรื่องของพวกต่ำต้อยใช่หรือไม่ "
“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่คิดจะช่วยเหลือหรือเข้าข้างฝั่งใดทั้งนั้น” เต๋าซุนส่ายหัวและกล่าวว่า “ข้าจะอยู่ข้างตัวเอง”
“ท่านหมายความเช่นไรคุณชายเต๋า” ซือถูหยุนเล่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และมองไปที่เต๋าซุน
“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสามคน คงไม่สะดวกนักที่ข้าซึ่งเป็นคนนอกจะเข้าไปยุ่ง ” เต๋าซุนกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "แต่….. ถ้าตระกูลซือถูของเจ้าเต็มใจที่จะเป็นกองกำลังส่วนตัวของข้า ข้าก็อาจช่วยให้พวกเจ้าผ่านพ้นความยากลำบากได้ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเต๋าซุน ซือถูหยุนเล่ยก็ตกตะลึง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี้ต้องเป็นประโยชน์ต่อตระกูลซือถูของพวกเขามากอย่างแน่นอน
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตินี้ได้เท่านั้น แต่พวกเขายังได้อิงแอบได้ต้นไม้ใหญ่เช่นเต๋าซุนอีกด้วย นี่ต้องทำให้ตระกูลของพวกเขาก้าวหน้าอย่างแน่นอน
แต่คำถามก็คือ ตระกูลซือถูที่กลายไปเป็นผู้รับใช้เต๋าซุนนั้นจะยังเป็นตระกูลซือถูอยู่หรือ
“นอกจากนี้ข้ายังสามารถบอกพวกเจ้าได้อีกด้วยว่าฆาตกรที่ฆ่าซือถูหยุนเทียนคือใคร” เต๋าซุนกล่าวต่อ
“ท่านรู้รึว่าใครเป็นฆาตกร” ซือถูหยุนเล่ยถามด้วยแววตาส่องประกาย
"แน่นอน ข้าย่อมไม่โกหก" เต๋าซุนพูดอย่างไม่เป็นทางการ: "ข้าให้เวลาเจ้าสามนาทีในการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และข้าก็จะไม่บังคับ ยังไงท้ายที่สุดแล้วข้าก็ต้องการให้เจ้าร่วมมือกับข้าโดยสมัครใจ ."
“ข้ายินยอมตามคำขอของท่าน” ซือถูหยุนเล่ยรู้ดีว่าเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ดังนั้นจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
“ตอนนี้ท่านช่วยบอกได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ฆ่าซือถูหยุนเทียน!”
ทันทีที่ซือถูหยุนเล่ยพูดจบ จู่ๆผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลซือถูก็เคลื่อนไหวทันที
พวกเขาทั้งสามโจมตีไปที่ซือถูหยุนเล่ยด้วยดาบ กำปั้น และฝ่ามือ และก็เป็นดั่งที่คาด ซือถูหยุนเล่ยที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วนั้นไม่อาจตอบสนองได้ทัน