ตอนที่ 42
ตอนที่ 42
ในห้องประชุมของตระกูลซือถู เมฆดำมืดกำลังรวมตัวกันในเวลานี้ และหลายคนดูมืดมนเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสใหญ่ ตระกูลหวังและตระกูลหว่านเป็นเหมือนสุนัขบ้าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะการโจมตีธุรกิจของตระกูลซือถูเรา ” คนรับใช้ด้านล่างรายงาน: “ร้านโอสถและหออาวุธของเราหลายแห่งถูกบังคับให้ปิด ”
“ในอดีต ทั้งสามตระกูลของเราพัฒนาไปอย่างสงบสุข โดยไม่คาดคิด พวกเขาจะทำกับเราเช่นนี้หลังจากที่ท่านพ่อจากไป ” บุตรชายคนโตซือถูโปก็พูดด้วยความโกรธ “ถ้าพวกเจ้าต้องการ ข้าจะไปสู้กับพวกมัน ให้พวกมันรู้เสียบ้างว่าเราหาใช่ลูกพลับอ่อน”
“ตอนนี้เราไม่สามารถตอบโต้พวกเขาได้ ” ผู้อาวุโสก็พูดขึ้นทั้งๆที่ก้มหน้าขบคิด “ท่านหัวหน้าตระกูลอยู่จุดสูงสุดของระดับ 3 ดังนั้นจึงสามารถหยุดความคิดขออีกสองตระกูลไว้ได้เสมอมา
แต่ตอนนี้ท่านหัวหน้าตระกูลสิ้นแล้ว พวกเราจะรับมือยังไงไหว? "
“ตอนนี้ตระกูลซือถูของเรากำลังตื่นตระหนก ข้าคิดว่าเราควรเลือกผู้นำที่มีความสามารถเสียก่อน ” ซือถูหยู่บุตรชายคนที่สองก็ยืนขึ้นและพูด
“ข้าคิดว่าสิ่งที่พี่สองพูดนั้นสมเหตุผล และตัวข้าเองแม้ไม่มีพรสวรรค์ แต่ข้าก็อ่านหนังสือและบทกวีได้ยอดเยี่ยม ข้าเต็มใจที่จะนำตระกูลซือถูผ่านพ้นวิกฤตนี้ ” ซือถูจิ้ง บุตรชายคนที่สามก็กล่าวอย่างแน่วแน่
“น้องสามเจ้าอย่าจริงจังเกินไป ดังคำกล่าวที่ว่าพี่คนโตก็เหมือนพ่อ ในเมื่อท่านพ่อจากไปแล้ว ข้าที่เป็นพี่คนโตย่อมเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้เอง” ซือถูโปกล่าวอย่างรวดเร็ว
“ข้าคิดว่าตำแหน่งหน้าตระกูลไม่ควรด่วนตัดสินใจเร็ว ท้ายที่สุดแล้วมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทั้งหมดของตระกูล ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ ” ซือถูอวี้กล่าวโดยไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง: “ตัวข้าเองก็พอมีความสามารถอยู่บ้าง”
ผู้อาวุโสที่ใหญ่นั่งด้านบนก็ขมวดคิ้วและตบโต๊ะด้วยความโกรธแล้วพูดว่า: "มัวมาโต้เถียงแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลกันเช่นนี้มันเหมาะสมแล้วรึไง ข้าจะดำรงตำแหน่งนี้เองจนกว่าจะได้ผู้ที่เหมาะสม ..”
“อย่างน้อยผู้อาวุโสใหญ่ก็สามารถวางมาตรฐานให้ได้ หลังจากนี้เราจะแข่งขันกัน ผู้ที่ชนะก็จะได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล ” พี่น้องทั้งสามมองหน้ากันเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่กล่าว
แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างทั้งสามคน และพวกเขาทั้งหมดก็มุ่งมั่นที่จะชนะตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แต่พวกเขาก็ไม่คิดเอาเปรียบผู้อาวุโสทั้งสาม
…………
ซือถูหยุนเหม่ยนั่งเงียบ ๆอยู่ที่มุมห้อง นางมองไปที่ผู้คนที่ทะเลาะกันและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ากับตระกูล
มันเป็นความโศกเศร้าจากใจจริง
คนเหล่านี้ล้วนต้องการยึดอำนาจแต่กลับมีความสามารถน้อย นอกจากนี้ พวกเขาล้วนแต่มีแรงจูงใจจากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตัวเองทั้งสิ้นโดยไม่คำนึงถึงตระกูลแม้แต่น้อย
ซื่อถูหยุนเหม่ยรู้สึกด้วยซ้ำว่าถ้าตระกูลซือถูปล่อยให้นางจัดการ นางย่อมทำได้ดีกว่าคนเหล่านี้แน่นอน
น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพลังและอำนาจพอ ข้าจึงไม่อาจสู้เพื่อสิ่งใดได้
ในเวลานี้ คนแรกที่เธอนึกถึงก็คือเต๋าซุน
นางเพิ่งค้นพบว่าตัวตนของอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ และมีภูมิหลังไม่ต่ำต้อย
ซือถูหยุนเหม่ยขบคิดอย่างลึกซึ้ง นางไม่ต้องการเป็นแจกันประดับและใช้ชีวิตอย่างไร้ค่า
สามวันต่อมา เนื่องจากการเผชิญหน้าอย่างลับๆ ระหว่างสามตระกูลหลักในเมืองโจวชู ผู้คนในเมืองก็เริ่มไม่สบายใจ พวกเขารู้สึกถึงเมฆดำที่ก่อตัวเหนือเมืองและพายุที่พร้อมจะทำลายเมือง
“ข้าได้ยินมาว่าซือถูโป ลูกชายคนโตของตระกูลซือถู ถูกลอบสังหารเมื่อวันก่อน”
ในร้านอาหาร ผู้คนก็พูดคุยกระซิบกระซาบกัน “ที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่เช่นนั้นนา แต่ตระกูลซือถูนั้นกำลังหายนะอย่างแท้จริง ข้าได้ยินมาว่าเป็นบุตรชายคนที่สองต่างหากที่ถูกลอบสังหารเมื่อคืนนี้”
“เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าเป็นลูกชายคนที่สามที่ถูกสังหารกัน”
ร้านอาหารเต็มไปด้วยผู้คน แต่หัวข้อสนทนาส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับตระกูลซือถู
หลายคนต่างก็มองว่าอนาคตของตระกูลซือถูย่ำแย่แล้ว
“เจ้าคิดว่าเป็นตระกูลหวังหรือตระกูลหว่านที่ลงมือ ? พวกเขาต้องการใช้โอกาสนี้ทำลายตระกูลซือถู และเปลี่ยนแปลงเสาหลักของสามตระกูล”
“ใครจะรู้ บางทีอาจจะเป็นตระกูล ซือถู ที่ทำแบบนั้นกันเอง พวกเขาล้วนแต่อยากแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูล”
…………
ในห้องรับแขกของร้านหลิงเจียง เต๋าซุนก็ฟังรายงานของเสี่ยวกุ้ยจื่อ และนั่งพิงขอบหน้าต่างมองออกไปไกล
“ข้าได้เตือนตระกูลหวังและตระกูลหว่านแล้วว่าพวกเขาไม่สมควรสังหารใคร”เสี่ยวกุ้ยจื่อก็กล่าว “การลอบสังหารเหล่านั้นควรกระทำโดยคนในตระกูลซือถูเอง”
“หลังจากทุกอย่างพร้อมแล้ว เราจะจัดการทุกอย่างในรวดเดียววันพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป ” เต๋าซุนกล่าว
“ทราบแล้วพี่ใหญ่ ข้าจะจัดการให้ทันที” เสี่ยวกุ้ยจื่อพยักหน้าและถอยกลับ
ค่ำคืนนี้อบอวลไปด้วยดวงดาวอันมืดมิดจำนวนหนึ่งบนท้องฟ้า และเมืองโจวชูก็ผ่านพ้นอย่างสงบราวกับหลับลึก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในขณะที่ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาวะหลับใหลและยังไม่ตื่นเต็มที่
ศิษย์จากตระกูลหวังและตระกูลหว่านได้ล้อมรอบตระกูลซือถูทั้งหมดไว้
หวังเชินหัวหน้าตระกูลหวัง และหว่านคันเชียงหัวหน้าตระกูลหว่านก็เดินมาคู่กันที่หน้าประตูบ้านตระกูลซือถู
"พวกเจ้าคิดจะก่อสงครามกับตระกูลซือถูงั้นรึ " ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนเสียงดัง เสียงของเขาก็ปลุกเมืองโจวชูที่หลับใหลอยู่ให้ตื่นจากฝัน
“ซือถูหมาง หยุดดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์เสีย วันนี้เราจะถอดตระกูลซือถูออกจากเมืองโจวชู” หว่านคังเชียงพูดเสียงดัง
ออร่าระดับ 3 ขั้นสูงสุดของเขาปลดปล่อยออกมา และสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะอยู่ระดับ 3 แต่เขาอยู่เพียงขั้น 7 เท่านั้น และไม่อาจเทียบกับหว่านคังเชียงได้
“หัวหน้าตระกูลหวัง หัวหน้าตระกูลหว่าน พวกเราไม่เคยมีความคับข้องใจกันมาก่อน เหตุใดถึงต้องฆ่าแกงกันด้วย ?” ผู้อาวุโสเริ่มพูดกล่อม “แม้ว่าหัวหน้าตระกูลซือถูของเราจะจากไปแล้ว แต่ตระกูลของเราก็หาใช่สิ่งที่คนอื่นจะมาแตะต้องได้ง่ายๆ
เอางี้เป็นไง ร้านโอสถและหออาวุธของตระกูลซือถูเราในเมืองโจวชูจะแบ่งผลกำไรให้กับเจ้า 50% "
“ซือถูหมาง เจ้าคิดว่าเรามีอำนาจอยู่ในเมืองโจวชูมาสิบปีอย่างเปล่าประโยชน์รึไง ?” หวังเชินยิ้มอย่างดูถูกและพูดว่า “ถ้าไม่ใช่กษัตริย์ก็เท่ากับเป็นโจร เหตุใดจะต้องหาเหตุผลในการทำลายตระกูลซือถูของเจ้ากัน มีเพียงผู้อยู่รอดเท่านั้นที่กำหนดทุกสิ่ง”
“หากเจ้ายืนกรานที่จะสู้ ข้าก็จะแลกชีวิตไปกับเจ้าไปจนสุดทางเอง” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม และหันไปสั่งคนด้านหลัง “อัญเชิญท่านบรรพบุรุษ”
ต่อจากนั้นโลงศพสีม่วง-ดำที่ดูราวกับว่าเก็บไว้มาเนิ่นนานและถูกล้อมด้วยผนึกสีแดงก็ถูกยกออกมา
“เจ้าสองคนจงคิดให้ดี เมื่อใดที่ข้าเปิดโลงศพบรรพบุรุษ เราย่อมต้องสู้กันตกตายไปข้าง” ผู้อาวุโสใหญ่ก็พูดด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว
“ถ้าเช่นนั้นก็มาลองดูกัน ข้าอยากจะพบหัวหน้าตระกูลซือถูคนก่อนเหมือนกัน” หว่านคังเชียงกล่าวโดยไม่ตื่นตระหนก แต่เพียงระมัดระวังมากขึ้นเล็กน้อย
ผู้ที่นอนอยู่ในโลงศพคือบรรพบุรุษที่เป็นหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนของตระกูลซือถู ในความเป็นจริงผู้แข็งแกร่งจำนวนมากล้วนแต่ผนึกตัวเองไว้ทั้งสิ้นเมื่อตระหนักได้ถึงอายุขัยที่ใกล้สิ้นสุดลงและไม่มีหวังที่จะก้าวหน้าในการบ่มเพาะ
ผลึกสีแดงที่อยู่นอกโลงศพบรรพบุรุษนั้นมีชื่อว่า หินเลือดฝุ่น ซึ่งมันสามารถชะลอการไหลของเวลาในโลงศพได้
บรรพบุรุษเหล่านี้ผนึกตัวเองไว้ในโลงศพบรรพบุรุษด้วยหินเลือดฝุ่นเพราะต้องการใช้พลังแห่งการชะลอเวลา
จะให้พูดรวมๆกันคือ ก่อนที่จะผนึกตัวเอง ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้จะมีอายุขัยอยู่ได้อีกไม่เกินอีกห้าปี แต่ด้วยพลังแห่งการชะลอเวลานี้ พวกเขาจะสามารถอยู่ได้ไปอีกสิบถึงยี่สิบปี