ตอนที่ 37
ตอนที่ 37
“รถม้าของตระกูลซือถูแล้วไง ?” หัวหน้าโจรหัวเราะ “หลังจากที่พี่น้องของข้าปล้นพวกเจ้าเสร็จ พวกเราก็ไปที่อื่นแล้ว ท้องฟ้าสูงนกโบยบิน เจ้าคิดหรือว่าอำนาจของตระกูลซือถูจะทำอะไรก็ได้ที่แดนตะวันออกไกลแห่งนี้ ”
ในเวลานี้ ผู้คุ้มกันทั้งหมดที่อยู่รอบรถม้าถูกสังหารแล้ว และเหลือเพียงชายชราระดับ 1 ขั้นเก้าเท่านั้นที่ยังดิ้นรนปกป้องรถม้าอยู่
โจรกลุ่มนี้โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดอยู่ระดับ 1 และมีบางส่วนที่มีการบ่มเพาะระดับ 2
เขาไม่รีบร้อนที่จะฆ่าชายชรา แต่กลับพูดติดตลกเหมือนแมวไล่หนูว่า: "บอกให้คนในรถม้าออกมาเถอะ ข้าขอรู้หน่อยเถอะว่าแขกจากตระกูลซือถูคนนี้คือผู้ใด "
“หัวหน้า มีคนกำลังมา” โจรตัวน้อยที่อยู่ด้านข้างที่เห็นพวกเต๋าซุนก็หันไปบอกหัวหน้าโจรอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าโจรหันหน้าไปมอง เขากำมีดสับในมือแน่น และเดินไปหาพวกเต๋าซุนพร้อมกับพูดอย่างหยิ่งยโส : "พวกเจ้าที่อยู่ตรงนั้น ถือว่าโชคดีของพวกเจ้าที่วันนี้ข้าอารมณ์ จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้ อย่าได้คิดเข้ามายุ่ง
ถ้าพวกเจ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าซะ "
“เราไม่ไปไหนทั้งนั้น ในฐานะโจรแล้ว อย่างน้อยๆพวกเจ้าก็สมควรมีจรรยาบรรณเสียบ้าง ” เต๋าซุนกล่าวอย่างเรียบเฉย: “ในเมื่อเจ้าปล้นพวกเขาแล้ว ก็ต้องปล้นพวกเราด้วยไม่ใช่รึไง ?
หรือว่าเจ้าจะดูถูกพวกเรา ? "
หัวหน้าโจรมีสีหน้าสับสนและพูดว่า "เจ้าเด็กนี่สมองป่วยรึไง ขนาดไล่ไปยังปฏิเสธ กระทั่งบอกให้ข้าปล้นตัวเองเสียด้วย"
หัวหน้าโจรโบกมือบอกให้ลูกน้องไปล้อมกลุ่มของเต๋าซุนไว้
“เสี่ยวกุ้ยจื่อ ฝากเจ้าจัดการหน่อย ” เต๋าซุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจัดการเองพี่ใหญ่” เสี่ยวกุ้ยจื่อก็หยิบแท่งเหล็กออกมาจากด้านหลังและพยักหน้าอย่างมั่นใจ
แม้ว่าเสี่ยวกุ้ยจื่อจะมีสภาพเหมือนเด็กรับใช้ แต่ยังไงเขาก็เป็นศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ และเป็นนักรบระดับ 1 ขั้นห้า
ดังนั้นเพียงแค่เขาคนเดียวก็รับมือโจรกลุ่มนี้ได้เกินพอแล้ว
เสี่ยวกุ้ยจื่อโบกแท่งเหล็กในมือของเขา และเมื่อเขาฟาดออกไป มันก็ราวกับทุบไปที่แตงโม หัวของฝ่ายตรงข้ามระเบิดออกทันที
“พี่น้อง เรามาช่วยกันจัดการเถอะ” โจรที่อยู่ข้างๆก็ตะโกน
เสี่ยวกุ้ยจื่อไม่หวั่นไหว และกระโดดเข้าไปกลางวงพร้อมกับแท่งเหล็กในมือ เขาเหมือนกับเสือที่กระโจนเข้าใส่ฝูงแกะ ฟาดแท่งเหล็กออกไปพร้อมกันพลังมหาศาล
ทุกครั้งที่ฟาดแท่งเหล็ก อากาศที่อยู่รอบๆก็ระเบิดออกไปเป็นคลื่นออกไป
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ พวกโจรก็ล้มลงกับพื้นและส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
หัวหน้าโจรที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบควบม้าหนีไปก่อนใคร
ดวงตาของเสี่ยวกุ้ยจื่อลุกโชน และเขาก็เขวี้ยงแท่งเหล็กในมือออกไปโดยตรง
แท่งเหล็กส่งเสียงระเบิดในอากาศ กลายเป็นเส้นแสงสีดำแทงเข้าที่หลังหัวของหัวหน้าโจร
แรงระเบิดของแท่งเหล็กไม่ลดลงแม้แต่น้อยหลังจากที่ทะลุหัวของหัวหน้าโจรไป มันยังคงพุ่งไปกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า
แท่งเหล็กถูกสอดเข้าไปในหินอย่างแรงแล้วหยุดอย่างช้าๆ
“ดูเหมือนเจ้าจะเชี่ยวชาญไอ่ท่อนเหล็กนี้ไม่น้อยเลยนะ” เต๋าซุนกล่าว
“วิชาที่ข้าฝึกฝนนั้นคือวิชา แท่งเหล็กอสูรคลั่ง มันได้ไปถึงแล้วระดับข้ามแดนแล้ว และอยู่ห่างจากระดับสมบูรณ์แบบอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” เสี่ยวกุ้ยจื่อก็ตอบ
เล็กน้อย ลึกลับ ข้ามแดน และสมบูรณ์แบบ
นี่คือระดับทั้งสี่ของวิชา
“อย่าใส่ใจกับความหมายของชื่อวิชามากนัก อย่าง’แท่งเหล็กอสูรคลั่ง’ของเจ้า แม้จะมีคำว่า คลั่ง แต่มันก็ได้มีความหมายว่า บ้า และคำว่า อสูร ก็ไม่ได้หมายถึงการกระทำของเจ้าที่เหมือนกับอสูรฆ่าสังหารไปทั่ว ”
เมื่อมองดูท่าทีครุ่นคิดของเสี่ยวกุ้ยจื่อ เต๋าซุนก็ควบม้าไปข้างหน้า
นอกจากรถม้าแล้ว ชายชราเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ก็ขอบคุณเต๋าซุนอย่างรวดเร็ว
"อย่าเพิ่งรีบขอบคุณจะดีกว่า" เต๋าซุนพูดอย่างใจเย็น: "เรียกคนในรถม้าออกมา"
ชายชราลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และในขณะนี้เอง เสียงที่ดูร่าเริงก็ดังออกมาจากในรถม้า
“ไม่เป็นไรลุงฟู่ ข้าสมควรออกไปพบผู้ช่วยชีวิตคนนี้ด้วยตัวเอง”
ม่านรถม้าถูกเปิดออก และหญิงสาวสองคนก็เดินลงมาอย่างช้าๆ
ผู้หญิงทางซ้ายแต่งตัวเหมือนสาวใช้
ผู้หญิงทางขวาสวมชุดสีฟ้าอ่อน มีลายดอกบัวปักที่ข้อมือและปกเสื้อ
กระดูกไหปลาร้าของหญิงสาวดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูด ผมสีดำยาวห้อยลงมาพาดไหล่ และถูกผูกด้วยริบบิ้นสีชมพู
นางดูสดใสและละเอียดอ่อน นางแต่งหน้าเบาๆ ดวงตาสีดำโตสดใสเฉลียวฉลาด จมูกโด่งใบหน้ากลมทรงไข่
“สาวน้อยชื่อ ซือถูอหยุนเหม่ย ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต” หญิงสาวพูดเบา ๆ พร้อมโค้งคำนับเล็กน้อย
“จิ๊ จิ๊ จิ๊ ใบหน้าแม่นางน้อยช่างละเอียดอ่อนยิ่ง” เต๋าซุนพูดพร้อมกับจิ๊ปากเบาๆ
ขณะที่พูด เขาก็พยายามยื่นมือขวาออกไปสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ซือถูหยุนเหม่ยก็หันหน้าหลบ
เต๋าซุนจับที่คางของอีกฝ่ายด้วยนิ้วมือขวาแล้วมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม ส่วนสีของซือถือหยุนเหม่ยนั้นกลับเริ่มซีดลงด้วยความกลัว
แต่นางยังคงแสดงสีหน้าแน่วแน่และมองกลับไปที่เต๋าซุน
“พี่ใหญ่ซุน ถ้าท่านต้องการ… ข้าสามารถไปจองที่พักข้าข้างหน้าให้ก่อนได้” เสี่ยวกุ้ยจื่อพูดจากด้านข้าง
“ปล่อยคุณหนูของข้านะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างต้องการผลักมือของเต๋าซุนออก แต่เจ้าปลาน้อยก็เดินมาคว้าคอเสื้อของนางไว้ก่อนและโยนนางออกไป
“ข้าไม่ได้มีรสนิยมชอบบังคับใคร ” เต๋าซุนยิ้ม เขาดึงมือกลับมาและพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากขอบคุณข้า ก็จงอย่าทำแค่ใช้ลมปาก อย่างน้อยก็สมควรแสดงความจริงใจบ้าง ”
“ตอนนี้ข้าไม่ได้พกสิ่งใดติดตัวมาด้วย ถ้าท่านไม่รังเกียจ คุณชายสามารถตามข้าไปที่เมืองโจวชูได้ ข้าจะตอบแทนท่านทันทีที่ไปถึงบ้านตระกูลซือถูเรา” ซือถูหยุนเหม่ยก็มองไปที่เต๋าซุนและพูดด้วยความอ่อนน้อม
"เจ้าเป็นคุณหนูตระกูลซือถูจริงรึ ?" เสี่ยวกุ้ยจื่อที่อยู่ด้านข้างก็ถาม: "แม้ว่าตระกูลซือถูจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก แต่ก็เป็นตระกูลที่มีอำนาจในเมืองโจวชู
เจ้าไม่มีแม้แต่ผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งด้วยซ้ำในขณะเดินทาง ถ้ามาจากตระกูลที่มีอำนาจจริงเหตุใดเจ้าถึงได้โดนโจรปล้นกัน เจ้าคิดว่าเราโง่รึไง ? "
“แม่ของข้าเป็นเพียงหญิงธรรมดาจากเมืองเล็กเท่านั้น การที่นางพบกับท่านพ่อและให้กำเนิดข้าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น ” ซือถูหยุนเหม่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบช้าๆ: “แต่ท่านแม่ของข้าเข้มแข็งมาก และนางก็ไม่ต้องการอยู่ใต้อำนาจเป็นขี้ปากของใคร นางจึงแยกตัวออกไปไม่กี่ปีก่อนและเลี้ยงดูข้าด้วยตัวเอง
ข้าไม่ได้มีความต้องการยุ่งเกี่ยวกับตระกูลซือถูแม้แต่น้อย แต่คราวนี้ท่านแม่ได้ป่วยหนัก และก่อนที่ท่านจะจากไป ท่านได้ขอให้ข้ามาที่ตระกูลซือถูเพื่อตามหาพ่อ และหาที่หลบภัย "
เมื่อได้ยินสิ่งที่ซือถูหยุนเหม่ยพูด ในที่สุดเต๋าซุนก็เข้าใจ
คาดว่ามารดาของซือถูหยุนเหม่ยนั้นคงเป็นหญิงธรรมดาจริงๆ ในขณะเดียวกันพ่อของนางก็เป็นหัวหน้าตระกูลซือถู ด้วยทั้งสองที่มีสถานะแตกต่างกันมากเกินไปนี้เองเรื่องทุกอย่างจึงได้เกิดขึ้น
แม่ของซือถูหยุนเหม่ยสมควรไม่ต้องการอาศัยใต้หลังคาอำนาจของตระกูลซือถู ดังนั้นนางจึงเลี้ยงซือถูหยุนเหม่ยมาด้วยตัวเองที่นอกตระกูล
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลายคนในตระกูลซือถูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหัวหน้าตระกูลของพวกเขามีบุตรสาวนอกสมรสอยู่คนหนึ่งที่โลกภายนอกนี้
“ตระกูลซือถู…” จู่ๆ เต๋าซุน ก็จำบางสิ่งจากชาติที่แล้วได้
ตระกูลซือถูเดิมทีเป็นตระกูลเล็กๆในเมืองโจวชู และอำนาจชื่อเสียงของพวกเขาก็มีอยู่แค่เพียงในเมืองเท่านั้น
แต่ต่อมาข้าได้ยินมาว่ามีหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในตระกูลซือถู นางได้ก่อตั้งหอการค้าซือถูขึ้นและกระจายธุรกิจของหอการค้าไปทั่วแดนตะวันออกไกลแห่งนี้ จากนั้นไม่นานนางก็ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลซือถู ซึ่งเวลานั้นอำนาจของเมืองโจวชูก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ