ตอนที่แล้วตอนที่ 35
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 37

ตอนที่ 36


ตอนที่ 36



เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพ่อ เต๋าซุนจึงตอบอย่างรวดเร็ว: "จริงๆแล้วข้ายังไม่คิดเรื่องแต่งงาน ท่านพ่ออย่าได้พยายามเลย อีกอย่างสมัยนี้เขานิยมความรักอิสระกันแล้วนะขอรับ  "

“เจ้าไม่เข้าใจ” เต๋าเสี่ยวโม่ อธิบาย: “ คังไป่หลี่จะถูกกำหนดให้ถูกฝึกฝนอย่างดีจากนิกาย และแม้กระทั่งเข้าแย่งชิงโชคชะตา ดังนั้นที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเจ้า

 ไม่ว่ายังไงเรื่องของความรักความรู้สึกมันก็เติบโตกันได้! "

“เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านแม่ก็คงค่อยๆเกิดขึ้นเองใช่หรือไม่?” เต๋าซุน

“จะเป็นได้ยังไง” เต๋าเสี่ยวโม่ตอบอย่างรวดเร็ว “ตอนนั้นเมื่อยามสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำต้นสน มีชายหนุ่มผู้องอาจและหญิงสาวผู้สง่างามอยู่คู่หนึ่ง ตอนนั้นแหละเป็นช่วงที่ข้ากับแม่ของเจ้าตกหลุมรักกัน  ”

 “ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็อยากหาใครสักคนที่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นเช่นกัน” เต๋าซุนกล่าว

 “เจ้าอยากแย่งชิงโชคชะตาจักรพรรดิหรือไม่?” เต๋าเสี่ยวโม่ มองไปที่ เต๋าซุน และถามอย่างจริงจัง

 “ใครบ้างไม่อยากเป็นจักรพรรดิ?” เต๋าซุนตอบโดยถามกลับ

"ข้าเข้าใจแล้ว" เต๋าเสี่ยวโม่ เงียบอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า "งั้นเอาเช่นนี้ อีกครึ่งปีนิกายจะจัดการประลองขึ้น เจ้าจงเตรียมตัวให้ดี

 หากเจ้าสามารถเอาชนะการประลองได้ ข้าก็ย่อมแต่งตั้งเจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์ได้  "

 อันที่จริง เต๋าซุน ไม่สนใจตำแหน่งของบุตรอะไรนี่แม้แต่น้อย แต่เขาก็ทำได้เพียงพยักหน้าและออกจากภูเขาเมฆามาเท่านั้น

  …………

 จากนั้นเขาก็พาเจ้าปลาน้อยกับเสี่ยวกุ้ยไปที่เมืองชิลี

คนไม่กี่คนก็มายังหอสัตว์อสูร และพวกเขาก็เช่าสัตว์อสูรพาหนะเดินทางออกจากนิกายไป

ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นสนตามข้างทางได้แตกหน่อออกมา ดอกไม้มากมายกำลังจะเบ่งบาน ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาแต่ไกล ทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย

 ที่สนามประลองในหมู่บ้านชิงหยาง การแข่งขันที่ดุเดือดกำลังจะเกิดขึ้น

เย่เฉินมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าเขา ดาบมังกรถูกชักออกมา และวิชาสิบสามเงาดาบที่โค้ชโม่สอนก็ถูกใช้ออกไป

ดาบยาวส่งเสียงอื้ออึงไปในอากาศ และกลายเป็นภาพติดตาสิบสามเงาโจมตีไปยังชายหนุ่มฝั่งตรงข้าม

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามถือดาบด้วยมือสองข้าง เขาพยายามตั้งรับเงาดาบเหล่านั้นไว้พร้อมกับถอยไปทีละก้าว จนกระทั่งเขาถอยมาจนสุดขอบเวทีประลอง

ดวงตาของ เย่เฉิน เป็นประกาย ความเร็วของเงาดาบเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็ใช้โอกาสนี้เตะคู่ต่อสู้ออกจากเวทีประลองไป

“ข้าขอประกาศว่า การแข่งขันแห่งหมู่บ้านชิงหยางของเราครั้งนี้ ผู้ชนะคือ เย่เฉิน” โค้ชโม่ตะโกนอย่างมีความสุขจากข้างสนาม

เขาเฝ้าดูความก้าวหน้าของชายหนุ่มผู้นี้เสมอมา ตอนนี้ชายหนุ่มผู้ได้มีการบ่มเพาะที่ระดับ 1 ขั้นห้าแล้ว อีกทั้งยังกลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในของหมู่บ้านชิงหยาง

และชายหนุ่มคนนี้ก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้นก็ประสบความสำเร็จได้เพียงนี้แล้ว

 อนาคตช่างสดใสยิ่งนัก!

  …………

“โค้ชโม่ครับ ข้าคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องออกจากหมู่บ้านชิงหยาง  ข้าขอบคุณท่านที่คอยดูแลข้าเสมอมา ” หลังจากสิ้นสุดการแข่งขัน เย่เฉินก้มาหาโค้ชโม่และพูดสิ่งที่คิดโดยตรง

 โค้ชโม่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็โล่งใจและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ดีมาก ข้าเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

 มังกรไม่สมควรจมอยู่ในบึงโคลน วันหนึ่งเจ้าต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

โลกในหมู่บ้านชิงหยางของเรานั้นคับแคบเกินไปสำหรับเจ้า แม้ว่าข้าจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ไม่คิดว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเช่นนี้

 เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา แม้จะเทียบกับศิษย์ของตระกูลใหญ่ๆในเมืองที่เจริญแล้ว เจ้าก็ยังถือว่าเหนือกว่าพวกเขา  "

“ขอบคุณครับโค้ชโม่ ท่านไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ข้าจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอนว่าตัวเองมาจากหมู่บ้านชิงหยาง” เย่เฉินตอบอย่างแน่วแน่

“ดี ดีจริงๆ” โค้ชโม่ยิ้มอย่างเต็มที่แล้วถามว่า “เจ้าคิดไว้รึยังว่าจะไปไหน ?  ”

“ข้าเองก็ยังไม่ทราบขอรับ แต่ข้าอยากไปทางเหนือ ไปยังเมืองจักรวรรดิเพื่อเปิดหูเปิดตา  ” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเองก็เคยทำงานในเมืองซวนหยวนอยู่ หากเจ้าไม่ติดอะไร ข้าอยากแนะนำให้เจ้าไปที่นั่นดู ” โค้ชโม่กล่าว

“ตกลงครับ ข้าจะเดินทางเข้าสู่จักรวรรดิ และข้าจะแวะไปที่เมืองซวนหยวน ” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นโค้ชโม่ก็หยิบจี้หยกออกมาครึ่งหนึ่ง มอบให้เย่เฉิน แล้วพูดว่า "เอาจี้หยกครึ่งหนึ่งนี้เดินทางไปที่ค่ายทหารในเมืองซวนหยวน ตามหาชายที่ชื่อตู้เทียนหยิน แล้วเจ้าก็บอกเขาว่าเจ้าคือหลายชายของโม่เทียนชี แล้วเขาจะเข้าใจเอง”

เย่เฉินหยิบจี้หยกมาและขอบคุณอย่างจริงจัง

โค้ชโม่ยิ้ม เขาโบกมือแล้วพูดว่า "ไปเถอะ เวทีที่กว้างใหญ่รอเจ้าอยู่ที่โลกข้างนอกนั่น การเดินทางของเจ้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น   !"

  …………

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสดใส  เย่เฉินก็จัดสัมภาระเรียบร้อยแล้ว

 เมื่อเขากำลังจะออกจากหมู่บ้านชิงหยาง เขาก็รู้สึกใจหาย

ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาอาศัยอยู่มานานกว่าสิบปี หมู่บ้านเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ แห่งนี้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสายลมและฝนมานานหลายทศวรรษ

ดวงตาของ เย่เฉิน เต็มไปด้วยความคิดถึงและไม่เต็มใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เย่เฉิน หยุดมองกลับไปเถอะ เราควรไปกันได้แล้ว ” เสียงของผู้เฒ่าโม่ก็ดังขึ้นในหู

เย่เฉินหันศีรษะ แบกกระเป๋าเดินทางไว้บนหลัง และเดินอย่างช้าๆกล่าวออกไปไกล

“ผู้เฒ่าโม่ ท่านเคยพบเจอใครในชีวิตที่ทำให้ท่านคิดถึงบ้างหรือไม่  ”

“เจ้าอายุยังน้อย ไม่แปลกที่จะรับมือกับความรู้สึกเช่นนี้ได้ลำบาก” ชายชราหัวเราะและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถามช้าๆ: “เย่เฉิน เจ้ารู้จักความหมายของ วิถีแห่งความเดียวดาย หรือไม่  ”

 “วิถีแห่งความเดียวดายรึ?” เสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงสัย

 “จุดสุดยอดของการต่อสู้

 มันคือความเหงา

 มันคือความเดียวดาย

   มันคือการตามหาที่ยาวนาน

 ความรู้สึกเช่นนั้น มันหนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าสิ่งใด "

ชายชราตอบด้วยอารมณ์: "เส้นทางการต่อสู้และฝึกตนนั้นเป็นเรื่องของคนๆเดียว และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มักจะเดียวดายอยู่เสมอ

 เมื่อเจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเส้นทางสายนี้ จะมีผู้คนเคารพรักเจ้ามากขึ้น

 แต่สิ่งที่เจ้าจะเสียไประหว่างการเดินทางก็คือ ผู้คนและสหายใหม่ๆ

เจ้าจะฝ่าฟันแสงแดดที่แผดจ้า เผชิญหน้ากับสายลมและสายฝน หลั่งเลือดและน้ำตา กระทั่งเหยียบภูเขาแห่งดาบและทะเลเพลิง

 และหลังจากปลายทางของถนนเส้นนี้ เมื่อเจ้าหันหลังกลับไปมอง เจ้าก็จะพบว่าผู้คนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเจ้าได้หาบไปแล้ว

 บางคนถึงกับเลิกเดินเป็นเส้นทางแห่งการฝึกตนและต่อสู้เพื่อตามหาชีวิตอื่น การแต่งงาน เริ่มต้นอาชีพ การสัมผัสกับความกังวลและการใช้ชีวิตธรรมดาทั่วไป

 แต่ก็มีบางคนที่เลือกเดินบนเส้นทางนี้จนถึงจุดสุดท้ายของชีวิต และกลายเป็นเถ้ากระดูกไป

ถนนเส้นนี้ช่างยาวไกล ยิ่งไกล ยิงเหงายิ่งเดียวดาย ยิ่งสูญสิ้น

แต่ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ย่อมไม่ต่างจากผู้อื่น เมื่ออายุขัยสิ้นสุดลง เจ้าก็จะเป็นเพียงกระดูกขาวอีกชิ้นเท่านั้นบนเส้นทางสายนี้

แต่ไม่ว่าเจ้าจะไปถึงจุดสูงสุดของการต่อสู้หรือไม่ เจ้าก็จะได้เข้าใจว่าความคงกระพันไร้เทียมทานนั้นเงียบเหงาเพียงใด   "

  …………

เมื่อเต๋าซุนกับคนอื่นๆเดินทางมาได้ครึ่งวัน จู่ๆเสียงต่อสู้ก็ดังขึ้นจากตรงหน้าไม่ไกล

“พี่ใหญ่ซุน ดูเหมือนจะมีโจรออกปล้นตรงหน้าเรานะขอรับ  ” เสี่ยวกุ้ยก็พูดขึ้น

“น่าสนใจ” เต๋าซุน ยิ้มและพูดว่า “ไปดูกันเถอะ”

พวกเขาก็ขี่มาไปยังจุดที่เกิดการต่อสู้ และพวกเขาก็พบกับกลุ่มชายชุดดำที่ปิดบังใบหน้ากำลังได้เปรียบ

ตรงกลางมีรถม้าที่ดูหรูหราถูกล้อมรอบอยู่

คนรับใช้ที่คุ้มกันรถม้าเองก็เกือบถูกฆ่าจนจะหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

“นี่คือรถม้าของตระกูลซือถู เจ้าโจรชั่วไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี พวกเจ้าไม่เกรงกลัวการล้างแค้นของตระกูลซือถูหรือยังไง   ?” ชายชราที่คุ้มกันรถม้าอยู่ก็พูดอย่างเด็ดเดี่ยว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด