ตอนที่ 35
ตอนที่ 35
“โอ้ ขอรับๆ” ชายหนุ่มผู้ออกภารกิจตกตะลึง และรีบหยิบกองแผ่นไม้ภารกิจมากองบนโต๊ะให้เต๋าซุนเลือก
เต๋าซุนมองไปที่เสี่ยวกุ้ยจื่อที่แสร้งทำเป็นกร่าง แต่ก็ไม่ได้พูดหยุดแต่อย่างใด เขาถามพร้อมกับรอยยิ้ม "ไหนเอาภารกิจที่ไม่ถูกจัดอันดับมาให้ข้าดูหน่อย "
โดยทั่วไปคนภายนอกที่เอาภารกิจมาฝากที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้น แม้แต่คนฝากภารกิจบางคนเองก็ยังไม่รู้เกี่ยวกับอันตรายด้วยซ้ำ
ภารกิจประเภทนี้จะไม่ถูกจัดอันดับ
หากศิษย์รับภารกิจประเภทนี้ไป เมื่อทำสำเร็จพวกเขาจะได้รับรางวัลตามความยากง่ายของงาน
ชายหนุ่มผู้ออกภารกิจก็พยักหน้า เขาหยิบกองป้ายไม้ออกมาแล้วเตือนว่า: "ศิษย์น้องซู ภารกิจเหล่านี้ล้วนไม่ทราบระดับอันตราย เจ้าโปรดระวังด้วย "
เต๋าซุน พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มองเข้าไปข้างใน จากนั้นเลือกป้ายไม้แล้วหยิบมันมาไว้ในมือของเขา
ภารกิจบนป้ายไม้นี้คือบ้านของตระกูลฮูในเมืองชิลี พวกเขาถูกหลอกหลอนเมื่อเร็วๆนี้ และเขาก็ต้องการเชิญนักรบที่เก่งกาจบางคนไปจับวิญญาณร้ายตัวนี้
เมื่อเต๋าซุนออกจากหอภารกิจพร้อมป้ายไม้ เจ้าปลาน้อยก็ถามด้วยความสงสัย "พี่ซุน โลกนี้มีผีด้วยรึ ?"
“มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าใจคำว่าผีอย่างไร” เต๋าซุนอธิบายด้วยรอยยิ้ม: “บางสิ่งก็กำเนิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่บางสิ่ง…ก็เกิดขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์”
…………
ในเวลานี้ ที่ห้องโถงหลักของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ รองหัวหน้านิกายเต๋าเสี่ยวโม่และผู้อาวุโสทั้งเจ็ดก็รวมอยู่ที่นี่
“ท่านรองหัวหน้านิกาย ข้าคิดว่าเราควรจัดสรรได้แล้วว่าจะมอบทรัพยากรส่วนใหญ่ให้ใคร” ผู้อาวุโสหก คังเย่ซานก็กล่าวว่า: “หลี่เอ๋อสืบทอดมรดกขององค์จักรพรรดินีและได้รับร่างอมตะทะยาน
นางมีคุณที่จะแข่งขันแย่งชิงโชคชะตา บางทีในช่วงชีวิตของเรา อาจมีจักรพรรดินีหญิงกำเนิดขึ้นที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเราก็เป็นได้ "
“ผู้อาวุโสหกเองก็เกินไปหน่อย” ผู้อาวุโสหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็กล่าว: “การแย่งชิงโชคชะตานั้นหาใช่เรื่องง่ายดาย นอกจากนี้คังไป่หลี่ยังเป็นเพียงศิษย์ที่เพิ่งเข้านิกายมาเท่านั้น นางยังไม่รู้เรื่องใดแม้แต่น้อย”
“โอ้ เจ้าหมายความว่าไงผู้อาวุโสหนึ่ง?” คังเย่ซานถามอย่างใจเย็น
“หลี่เอ๋อเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุดในหมู่ศิษย์ใหม่รุ่นล่าสุด และพรสวรรค์ระดับจักรพรรดิของนางเองก็ชัดเจนแล้วสำหรับทุกคน” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างช้าๆ “และด้วยการเติบโตภายใต้สายตาของเราทุกคนแล้ว เราย่อมมั่นใจได้ว่านางต้องบ่มเพาะได้ดี ”
“แต่ข้าคิดว่าศิษย์คนโตของข้าคังชิงเหอดีกว่า” ผู้อาวุโสสองพูดแทรกจากด้านข้าง
“คังชิงเหอไม่ค่อยโดดเด่นนัก อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าเขามักจะแอบถ่ำมองศิษย์หญิงอาบน้ำและมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างแย่” ผู้อาวุโสก็กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
ผู้อาวุโสสองก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาต้องการปกป้องลูกศิษย์คนโตของเขา
ตอนนี้ เขาอยากจะยืนขึ้นและตะโกนใส่ทุกคนว่า "คนที่แอบดูศิษย์หญิงกำลังอาบน้ำอยู่นั้นคือข้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์ข้าสักหน่อย า"
แต่ผู้อาวุโสสองกลัวว่าแก่ไปจะดูไม่ดี ดังนั้นจึงเชื่อในสุภาษิตที่ว่า เป็นครูครั้งเดียว เป็นบิดาตลอดไป
ถึงยังไงบุตรก็ต้องแบกรับแทนบิดา เมื่อนึกได้เช่นนี้…ผู้อาวุโสสองก็สบายใจ
เขาไม่ได้พูดแก้ตัวหรือขอโทษแทนศิษย์คนโตแต่อย่างใด
“ผู้อาวุโสเจ็ด คิดเช่นไร ?” เต๋าเสี่ยวโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปยังชายที่เก็บตัวเงียบมุมหนึ่ง และถาม
ผู้อาวุโสเจ็ดของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ให้ความรู้สึกถึงความสง่างามอันเป็นพิเศษแก่ผู้คน เขาดูเหมือนกับนักวิชาการที่มีความรู้เชื่อถือได้ เขาสวมชุดสีเทาและผมก็มัดเป็นมวย
เขาไม่มีออร่าที่สูงส่ง ดูธรรมดาเหมือนกับคนทั่วๆไป
…………
ผู้อาวุโสคนเจ็ดยิ้มและตอบว่า: "ข้าคิดว่าพรสวรรค์ของคังไป่หลี่นั้นดี หากคิดดีๆแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะปลูกฝัง
อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่านิกายกำเนิดศักดิ์สิทธิ์นั้นได้เลือกบุตรสวรรค์และธิดาศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นแล้ว พวกเขากำลังเริ่มฝึกบ่มเพาะศิษย์ทั้งสองเพื่อแข่งขันแย่งชิงโชคชะตา ดังนั้นพวกเราเองก็ไม่ควรรอช้าและตามหลังพวกเขา "
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสเจ็ดพูด คังเย่ซานก็ยิ้มและพูดว่า "ศิษย์ของผู้อาวุโสเจ็ดห้าบุตรหมื่นอาคมเองก็มีความสามารถที่ไม่ด้อยไปกว่าหลี่เอ๋อเช่นกัน "
“พวกเขาไม่อาจมีคุณสมบัติพอ” ผู้อาวุโสคนเจ็ดส่ายหัวและไม่พูดอะไรมาก …………
“การเลือกบุตรสวรรค์และธิดาศักดิ์สิทธิ์นั้นเราจะประมาทไม่ได้ ” เต๋าเสี่ยวโม่คิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ในเมื่อทุกคนตัดสินใจไม่ได้ เราก็มาจัดการประลองกันเถอะ!”
“ข้าไม่เห็นด้วย” คังเย่ซานคัดค้าน: “หลี่เอ๋อเพิ่งเริ่มฝึกบ่มเพาะเท่านั้น การประลองถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับนาง”
“ผู้อาวุโสหก ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมในโลกนี้ และคังไป่หลี่เองก็ได้รับมรดกของจักรพรรดินีแล้ว ดังนั้นนางย่อมไม่ห่างกับพวกเขา” เต๋าเสี่ยวโม่กล่าว: “ตอนนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ในอีกครึ่งปีข้างหน้า นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเราจะจัดการประลองขึ้นเพื่อชิงตำแหน่งบุตรสวรรค์และธิดาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ชนะการประลองจะได้รับเลือก
ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องตัดสินใจจากหลายๆด้าน และไม่อาจตัดสินได้เพียงจากแค่พรสวรรค์เท่านั้น "
เมื่อได้ยินว่าจะจัดการประลองขึ้นในอีกครึ่งปี คังเย่ซานก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และรู้สึกว่าเวลานั้นดีมาก นางจึงตอบตกลง
“ข้าไม่คัดค้าน” ผู้อาวุโสหลายคนก็พยักหน้าทีละคน
…………
ในตอนท้ายของการประชุม เต๋าเสี่ยวโม่ก็เรียกเต๋าซุนมาที่ยอดเขาเมฆาเพียงลำพัง
“วันนี้เจ้าคิดเช่นไรกับเด็กหญิงที่ชื่อคังไป่หลี่ ?” เต๋าเสี่ยวโม่ถามอย่างไม่แน่นอน
“ไม่เลวขอรับ” เต๋าซุนรู้ว่าพ่อของเขาหมายถึงอะไร
“ข้าได้ปรึกษาเรื่องนี้กับผู้อาวุโสหกและตัดสินใจหมั้นเจ้ากับนาง” เต๋าเสี่ยวโม่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด
“เป็นเช่นนี้…” เต๋าซุนยิ้ม เหตุการณ์นี้เป็นเช่นเดียวกับชีวิตก่อน !
ในชีวิตก่อนของเขา ครั้งแรกที่เขาและคังไป่หลี่พบกันก็คือช่วงเวลาที่อีกฝ่ายสืบทอดมรดกของจักรพรรดินี
เขาถูกดึงดูดอย่างสมบูรณ์จากรูปลักษณ์ นิสัย และพรสวรรค์ของอีกฝ่าย
ตอนที่พ่อของเขาบอกว่าจะหมั้นหมายเขากับคังไป่หลี่ ตอนนั้นเขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง
คังไป่หลี่ตอนนั้นก็เห็นด้วยและไม่ได้คัดค้านใด ๆ ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามกระแส
แต่ต่อมา เต๋าซุน ก็ตระหนักได้ว่าเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของอีกฝ่ายเท่านั้น
ในเวลานั้น เต๋าซุน เป็นเหมือนสุนัขที่คอยทำตามหญิงสาวอยู่ตลอด
จริงๆอีกฝ่ายไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เมื่อใดก็ตามที่ เต๋าซุน ผิดหวังและกำลังจะตัดใจเรื่องคังไป่หลี่ นางก็จะกลับมามอบความหวานเล็กน้อยให้แก่เขา จุดประกายความหวังให้เขากลับไปเป็นสุนัขอีกครั้ง
ข้าถูกผู้อื่นหลอกใช้….
ป้าของคังไป่หลี่เป็นผู้อาวุโสหกของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ และในฐานะคู่หมั้นของเต๋าซุน นางย่อมสามารถใช้อำนาจของเต๋าเสี่ยวโม่ได้
อาจกล่าวได้ว่านางสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด และนางยังแข็งแกร่งขึ้นละน้อยด้วยความช่วยเหลือจากทรัพยากรของนิกาย
และเมื่อนางเติบโตขึ้น นางก็ได้ยกเลิกการหมั้นหมายกับเขาในประโยคเดียวและหันหลังเดินเข้าสู่อ้อมแขนของเย่เฉินชายในฝันของนาง
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแค่ทางผ่านในชีวิตของนางเท่านั้น ตอนนั้นไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจากหมู่บ้านเล็กๆจะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้
เต๋าซุนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตัวเองเมื่อนึกถึงตัวเองในชีวิตก่อน และสีหน้าของเขาก็เริ่มเย็นชา
…………
“แต่นาง…ไม่ใช่แบบนี้ข้าชอบ” เต๋าซุนยิ้มและปฏิเสธขณะที่ความคิดของเขากลับมาสู่ปัจจุบัน
“แล้วเจ้าชอบแบบไหน” เต๋าเสี่ยวโม่ก็ถามต่อ
“ข้าชอบแบบ…” เต๋าซุนเงียบไปสักพัก แล้วตอบอย่างมั่นใจ: “ร้อง เล่น เต้น และเก่งกีฬาขอรับ”