ตอนที่ 32
ตอนที่ 32
การทดสอบพรสวรรค์ของหินรู้แจ้งยังคงดำเนินต่อไป ศิษย์ส่วนใหญ่ที่สามารถมาถึงรอบนี้ได้ล้วนแต่มีคุณสมบัติ ระดับ 3-4 ลงมาทั้งสิ้น และหลายคนกระทั่งมีพรสวรรค์ระดับ 1
การทดสอบคุณสมบัติกำลังจะสิ้นสุดลง จนกระทั่งชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำยื่นมือไปที่หินรู้แจ้ง
ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นเส้นสายพลังปราณปรากฏขึ้นบนหินรู้แจ้ง มันสะท้อนแสงสีทองยาวหลายพันฟุตและพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
“พรสวรรค์ระดับราชัน” ผู้อาวุโสนิกายสายนอกที่อยู่ถัดจากเขาก็พูดอย่างตื่นเต้น
“จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พรสวรรค์ระดับราชันย์ปรากฏขึ้นก็เมื่อสิบปีก่อน” ผู้อาวุโสนิกายสายในก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
คุณสมบัติระดับราชันนั้นไม่ถือว่าหายากในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะฝึกฝนพวกเขา
พรสวรรค์ระดับราชันสูงกว่าระดับ 1 อยู่หนึ่งขั้น
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเฝ้ารอการทดสอบพรสวรรค์มานานแล้ว เขาดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแสดงออกอย่างภาคภูมิใจและเพลิดเพลินไปกับสายตาอิจฉาของผู้คน
“เจ้าชื่ออะไร” ผู้อาวุโสฝ่ายในก็ก้าวไปข้างหน้าและถาม
“ศิษย์หยูโบ้ ขอรับ” ชายหนุ่มรีบตอบด้วยความเคารพ
“เจ้าเต็มใจจะเป็นศิษย์สายตรงของข้าหรือไม่” ผู้อาวุโสนิกายฝ่ายในก็ถาม: “ตราบใดที่เจ้าต้องการ แม้ว่าเจ้าจะไม่ผ่านการทดสอบที่เหลือ ข้าก็ยังสามารถพาเจ้าเข้าสู่นิกายได้ ”
“คารวะท่านอาจารย์ ศิษย์เต็มใจขอรับ” หยูโบ้ก็ไม่เกรงใจและคุกเข่าคารวะทันที
เหล่าหนุ่มสาวที่อยู่รอบๆต่างก็อิจฉา "หยูโบ้ผู้นี้เพิ่งมาที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกก็ได้กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสฝ่ายในแล้วหรือนี่ อนาคตของเขาจะต้องสดใสแน่นอน !"
“ศิษย์พี่หยูมีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ข้าต้องทำเช่นไรถึงจะเทียบเขาได้นะ?” ศิษย์ที่อยู่ข้างๆดวงตาก็กลายเป็นเฉียบคมและเริ่มประจบประแจงเขา
“พี่ซุน ท่านอยากได้เขามาเป็นพวกไหม ?” เจ้าปลาน้อยก็มองไปที่หยูโบ้และถามเต๋าซุน
"ก็แค่ตัวตลก" เต๋าซุนส่ายหัว ในชีวิตก่อนของเขา หยูโบ้คนนี้มีชื่อเสียงได้เพียงระยะเดียว เขาเป็นชายที่มีความสามารถสูงก็จริง แต่กลับไม่มั่นคง และในท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อหน้าผู้คน
ในฐานะนักรบ หากพรสวรรค์ของเจ้าต่ำ เจ้ายังสามารถค่อยๆพัฒนาต่อไปได้ และหาหนทางได้เสมอ
แต่หากมีปัญหากับจิตใจหรือเส้นทางการฝึกบ่มเพาะล่ะก็ ทั้งชีวิตก็เป็นไปไม่ได้อีกที่จะประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งการฝึกตน
มีคำพูดที่แพร่สะพัดในหมู่นักรบอยู่ว่า: "ถ้าหัวใจของเจ้าคงกระพัน พรสวรรค์ของเจ้าก็จะไร้เทียมทาน "
หลังจากสิ้นสุดการทดสอบพรสวรรค์ในรอบที่สอง ทุกคนก็ได้พักเป็นเวลา 15 นาที และจากนั้นการทดสอบที่สามก็มาถึง
การทดสอบที่สามคือการทดสอบจิตใจ
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จะสร้างภาพลวงตาขึ้นมา ใครก็ตามที่เข้าสู่ภาพลวงตาและสามารถคงสภาพจิตใจให้มั่นคงได้นานที่สุด คนๆนั้นก็จะได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบนี้
จนกว่าจะสิ้นสุดภาพลวงตา ถ้าเจ้ายังมีสติชัดเจน เจ้าก็จะได้คะแนนเต็มเช่นกัน
โดยทั่วไป มีศิษย์เพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะคงสภาพจิตใจไว้ให้มั่นคงได้ หนึ่งคือเมื่อเข้าสู่ภาพลวงตา เจ้าจะต้องไม่ตื่นตระหนกและเตือนสติตัวเองตลอดเวลา จิตใจของผู้ฝึกตนประเภทนี้อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่ง
มีหนึ่งประเภทคือคนที่ตกอยู่ในภาพลวงตา แต่เมื่อถึงนาทีสุดท้ายเขาก็สามารถกำจัดสิ่งล่อลวงในจิตใจออกไปได้และค้นพบเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าคนประเภทนี้จะมีข้อบกพร่องในหัวใจ แต่ก็ถือได้ว่ามีศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและได้คะแนนเต็มเช่นกัน
หลังจากที่ทุกคนพักผ่อน 15 นาที ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่ทำขึ้นเป็นพิเศษโดยนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ เขามีใบหน้าที่แข็งแกร่งและดวงตาของเขาดูราวกับมีพลังเวทมนตร์บางอย่าง หากเจ้าจ้องมองเขาเป็นเวลานาน จิตใจของพวกเจ้าจะกลายเป็นสั่นคลอน
ผู้อาวุโสเจ็ดของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เป็นปรมาจารย์ด้านการใช้อาคม เขามีศิษย์สายตรงอยู่ห้าคน และเป็นที่รู้จักกันในชื่อห้าบุตรหมื่นอาคม
ห้าบุตรหมื่นอาคมนี้มีความสามารถแตกต่างกันออกไป บางคนเก่งเรื่องอาคมสังหาร บางคนเก่งเรื่องอาคมป้องกัน และบางคนเก่งเรื่องอาคมสนับสนุน
และชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ก็มีชื่อว่า ชี่ซาน และเขาก็เชี่ยวชาญอาคมลวงตามากที่สุดในหมู่ห้าบุตรหมื่นอาคม
“ข้าขอสร้างอาคมที่ใช้ทดสอบรอบที่สามสักครู่” ชี่ซานมองไปยังเหล่าหนุ่มสาวตรงหน้าและพูดอย่างใจเย็น “ข้าจะสร้างอาคมที่ประกอบไปด้วยเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาขึ้นมา จุดประสงค์ของอาคมก็ตามชื่อของมัน ดังนั้นข้าจะไม่ขออธิบายอะไรมาก”
มือของชี่ซานก็เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ และมือของเขาก็เริ่มมีผนึกก่อตัวขึ้น แต่ละผนึกมีขนาดใหญ่เพียงนิ้วหัวแม่มือ และมันก็ถูกควบแน่นขึ้นด้วยพลังจิตวิญญาณของเขา
เขาสร้างอาคมได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ในเวลาไม่ถึงสองสามนาที ผนึกร้อยอาคมก็ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์
ในความเป็นจริง อาคมต่างๆเองก็ถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆเช่นเดียวกับการบ่มเพาะ
ตามจำนวนของผนึกอาคม ผู้ที่สามารถสร้างผนึกสิบอาคมได้จะถือได้ว่าอยู่ระดับ 1 และคนที่สร้างผนึกร้อยอาคมได้จะถือว่าอยู่ระดับ 2
เมื่อผนึกทั้งร้อยกระจายออกไปตามทิศทางต่างๆ มันก็จัดเรียงกันและหลอมรวมเข้ากับพลังจิตวิญญาณ
พลังจิตวิญญาณจากมือของชี่ซานก็เพิ่มสูงขึ้น กลายเป็นแสงสว่างพุ่งเข้าไปในอาคม จากนั้นอาคมทั้งหมดก็ถูกเปิดใช้งาน
ด้านในของอาคมนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกบางๆ และไม่มีใครมองเห็นได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในหมอก
ด้านนอกของอาคมมีเขตแดนสีขาวก่อตัวเป็นวงกลม มันคอยปิดกั้นไว้ไม่ให้หมอกลอยออกมา
“เวลาในการทดสอบคือ 15 นาที หลังจากนั้นข้าจึงจะลบอาคมนี้ ” ชี่ซานกล่าว
ศิษย์ใหม่เหล่านั้นก็เริ่มเดินเข้าไปในอาคมทีละคน พวกเขานั่งขัดสมาธิ ผ่อนคลายจิตใจ และเตรียมพร้อมสภาพจิตใจให้ดีที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับบททดสอบ
“เราเองก็เข้าไปเล่นกันเถอะ” เต๋าซุนพูดกับเจ้าปลาน้อย
เขาพาเจ้าปลาน้อยเดินเข้าไปในอาคม จากนั้นก็นั่งลงและสังเกตการทำงานของอาคม
ชั้นหมอกปกคลุมทุกคน
เหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่ๆจางหายเข้าสู่ภาพลวงตาทันที แต่ทว่ากับเต๋าซุนแล้วมันหาได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างสังเกตอาคมเลย
ในความเห็นของเขา แม้ว่าอาคมนี้จะเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง แต่มันก็ค่อนข้างดีเยี่ยมสำหรับปรมาจารย์อาคมระดับ 2
เต๋าซุนละทิ้งความคิดของเขาและปล่อยให้หมอกพาเขาเข้าสู่ภาพลวงตา
หากเขาไม่เต็มใจ อาคมระดับต่ำนี้ย่อมไม่อาจดึงเขาเข้าสู่ภาพลวงตาได้
…………
สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นสีขาวสนิท และเสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในหูของเต๋าซุน
หญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยหลายคนค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา พวกนางมีหน้าอกใหญ่ ขายาว และผมสีขาวพาดยาวปิดแผ่นหลัง พวกนางราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กลุ่มผู้หญิงจะมาถึงตัวเขา เต๋าซุนก็โบกมืออย่างเรียบง่าย และภาพลวงตาเหล่านั้นทั้งหมดก็หายไป
“ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าสนใจ ถ้อยคำสวยหวาน หญิงงามในชุดสีฉูดฉาด เมื่อเวลาล่วงเลย ทุกสิ่งก็ล้วนหลงเหลือแค่เพียงเศษซากกระดูกอยู่ดี ”
ช่วงเวลาต่อมา เสียงเชียร์ที่ทำให้หูสั่นสะเทือนก็ดังขึ้นในหูของเต๋าซุน
ตัวเขายืนอยู่เหนือท้องฟ้า มีโชคชะตารายล้อมอยู่รอบๆ เขาดูสง่างามในชุดสีม่วง และไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้ ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นจักรพรรดิผู้ปกครองโลกนี้ไปแล้ว
ตอนนี้เขาเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีอำนาจมากที่สุดในยุคนี้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องล่างล้วนแต่ต้องคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อบูชาเขา
“ในเมื่อชีวิตใหม่ของข้านี้..การทะเยอทะยานเพื่อพิชิตสวรรค์และขึ้นสู่บัลลังก์แห่งจักรพรรดินั้นเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้ว แล้วเหตุใดข้าต้องมาดีใจกับเพียงภาพลวงตากัน?” เต๋าซุนส่ายหัวและทำลายภาพลวงตาเหล่านี้ด้วยหมัดที่ยื่นออกไป
ในช่วงเวลาต่อมา วิสัยทัศน์ของ เต๋าซุน ก็เปลี่ยนไปทันที
เขากลายเป็นมดที่กำลังไต่ไปมาระหว่างสวรรค์และโลก บนท้องฟ้ามีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่สิบองค์กำลังเดินอยู่ในอากาศ พวกเขาดูสง่างามและยิ่งใหญ่ อากาศสีม่วงรอบๆพวกเขาเคลื่อนตัวไปไกลกว่าเก้าหมื่นไมล์ทางทิศตะวันออก ปกคลุมตะวันจันทรา และกลืนกินทุกสิ่ง
“เต๋าซุน เจ้ารู้บาปของตัวเองหรือไม่ ” จักรพรรดิทั้งสิบโจมตีพร้อมกัน ดวงตาของพวกเขาราวกับเทพเจ้า ร่างของพวกเขาสง่างามยิ่งใหญ่ ไหล่ของพวกเขาแนบชิดไปกับท้องฟ้า และเท้าของพวกเขาก็เหยียบอยู่บนก้อนเมฆ แรงกดดันที่กดทับลงมานั้นราวกับท้องฟ้าถล่ม เต๋าซุนรู้สึกหายใจไม่สะดวกเล็กน้อยภายใต้แรงกดดันนี้