ตอนที่ 29
ตอนที่ 29
เต๋าซุนกลับมาที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ แต่ชิลิชางคงนั้นไม่ได้ติดตามกลับมา
เขาต้องสร้างกองกำลังให้กับเต๋าซุน มันคือหน่วยข่าวกรอง ความแข็งแกร่งไม่สำคัญมากนัก แต่เรื่องหาข้อมูลต้องแม่นยำ
ขอบเขตอิทธิพลสมควรกระจายไปทั่วทวีปAทั้งหมดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเขาก็จะต้องเป็นผู้ที่รู้เรื่องสำคัญในทวีปก่อนใคร
อาจต้องใช้เวลาสร้างรากฐานค่อนข้างนาน และไม่อาจสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน
แต่เต๋าซุนนั้นไม่รีบร้อน เขารอได้ และเขาก็ไม่ได้ขาดเงินทุนแม้แต่น้อย
แค่สิ่งที่เขาปล้นมาจากตระกูลชางตอนที่กวาดล้าง มันก็เพียงพอแล้วที่จะให้เขาใช้ชีวิตได้ไปอีกนานแล้ว
ทรัพย์สินของตระกูลชางนั้นถูกเก็บสะสมมาตลอดห้าร้อยปี ฉะนั้นไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะมหาศาลเพียงใด
…………
หลังจากกลับมาที่ยอดเขาเดียวดาย เต๋าซุนก็อยู่เพียงลำพัง
บนยอดเขามีลมหนาวพัดมา ภูเขาสูงหลายพันฟุต มีหินขรุขระ ถนนบนภูเขาชันเล็กน้อยและมีและวัชพืชขึ้นรก
เต๋าซุน ค่อย ๆ หยิบลูกปัดผนึกสวรรค์สามเม็ดออกมาท่ามกลางสายลมที่พัดสยายเส้นผมของเขา
“ร่างผนึกสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด” เต๋าซุน ถอนหายใจ เขานั้นไม่รู้ความลับทั้งหมดของร่างนักรบศักดิ์สิทธิ์เลย
ชาติที่แล้วเขาก็ยังทำได้เพียงเฝ้าดูเย่เฉินใช้มันด้วยความอิจฉาเท่านั้น
เขาค่อยๆโคจรพลังวิญญาณของเขาลงไปในลูกปัดทั้งสาม และสายลมก็พัดเสื้อคลุมของเขารุนแรงขึ้นอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้น ลูกปัดผนึกสวรรค์ทั้งสามก็แยกออกจากกัน และท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยเมฆดำ เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นพร้อมสายฟ้าฟาดที่ประกายไปทั่วท้องฟ้า
สายฟ้าที่เป็นเหมือนกับมังกรสีเงินก็พุ่งผ่านเมฆสีดำ และมันก็ถักทอเข้าด้วยกันขยายไปสุดลูกหูลูกตาราวกับโลกกำลังจะล่มสลาย
จากลูกปัดผนึกสวรรค์ทั้งสาม ตอนนี้บอลแสงก็ลอยออกมาจากในลูกปัดแต่ละเม็ด ก้อนแสงทั้งสามนี้ลอยเรียงกันเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมและประกอบเข้าด้วยกัน
บนท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องก็ดังสนั่นขึ้นเรื่อยๆ ทั่วท้องฟ้าก็ราวกับกำลังโกรธเคือง
เมฆดำทะมึนหนาแน่นแต่กลับไม่มีฝนตก มีเพียงความชื้นเล็กน้อยในอากาศ
ทันใดนั้นกลุ่มแสงทั้งสามกลุ่มก็เรืองแสงเจิดจ้า และกระดูกสีขาวก็ปรากฏอยู่ในก้อนแสง
กระดูกในก้อนแสงแรกแปรเปลี่ยนไปเป็นแขนสองข้าง ก้อนสองที่แสงเป็นขาทั้งสอง และก้อนแสงสุดท้ายก็คือลำตัวและศีรษะ
เมื่อกระดูกทั้งหมดหลอมรวมเข้าด้วยกัน พลังชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน หมอกสีดำปรากฏขึ้นเหนือชุดกระดูกพร้อมกับตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนคืบคลานไปทั่วพื้นผิวของชุดกระดูก
ดวงตาทั้งสองข้างในหมวกของชุดกระดูกเต็มไปด้วยพลังสีดำบริสุทธิ์ มันหันหน้ามาด้วยกลไกบางอย่างและก็พุ่งเข้ามาหาเต๋าซุน
เมื่อเห็นว่าชุดกระดูกกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา เต๋าซุนก็รีบหยิบหยดเลือดจักรพรรดิออกมา
เขาหยดเลือดจักรพรรดิลงบนชุดกระดูกสีขาว และกระดูกสีขาวทั้งหมดก็สั่นไหว จากนั้นก็กลายเป็นเส้นแสงลอยเข้ามาในร่างของเต๋าซุน
เต๋าซุน รู้สึกราวกับว่ากระดูกในร่างกายของเขากำลังหลอมรวมกับบางสิ่งบางอย่าง มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ความเจ็บปวดนี้แทรกซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาจนทำให้เขาเกือบจะเป็นลม
หัวใจของเขาเต้นอย่างรวดเร็ว และเลือดสีแดงแต่เดิมก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำ
เต๋าซุนรู้สึกความคิดของเขากลายเป็นชัดเจนขึ้น ราวกับว่าไม่มีอารมณ์แปรปรวนใดมากวนใจอีก
ผมของเขาสยายไปด้านหลัง จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง
ลวดลายสีม่วงดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และมีพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่บนลวดลายเหล่านั้น
ร่างกายของเต๋าซุนปกคลุมไปด้วยอากาศสีดำ
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น กัดฟันและอดทนต่อความเจ็บปวดที่กัดกินไปทั่วทั้งร่างกายของเขา
…………
ในสถานที่ห่างไกลในทวีปA ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายอสูรที่ลุกเป็นไฟ แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ไม่อาจลุกโชนเทียบเท่าออร่านี้
ที่นี่ไม่มีกลางวันและกลางคืน เพราะมันมักจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดอยู่เสมอ
ใจกลางโลกแห่งนี้มีเสาที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นอยู่
เสานี้สูงประมาณหลายพันฟุต และเงียบสงบมาแล้วเป็นเวลากว่าหลายพันปี
ทันใดนั้น เศษฝุ่นบนเสาก็เริ่มกระจาย และไฟสีแดงก็เริ่มกะพริบ
โลกอันเงียบงันมาหลายพันปี ในที่สุดก็มีปรากฏการณ์เกิดขึ้น
“ต้นไม้โลกอสูร… สัมผัสได้ถึงพลังของเจ้านายของมัน จอมมารฟื้นคืนชีพแล้ว!”
“เขาอยู่ที่ไหน เราจะไปหาเขาได้ที่ไหน”
“เราไม่อาจรู้ได้ว่าจอมมารอยู่ที่ใด แม้กระทั่งเติบโตและมีชีวิตเช่นไรก็ไม่อาจรู้ ”
“แต่วันหนึ่ง….ชายคนย่อมต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอน เราทำได้เพียงเฝ้ารอเท่านั้น”
“แต่เส้นทางสู่ถ้ำอสูรโบราณแห่งนี้ถูกปิดผนึกไว้อยู่ สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่อาจย่างกายเข้ามาได้ ”
“แต่จอมมารนั้นหาใช่สิ่งมีชีวิตทั่วไปไม่….” เสียงหญิงสาวที่อ่อนโยนก็พูดช้าๆ “เขาย่อมต้องติดตามเสียงเรียกแห่งสงครามสวรรค์อย่างแน่นอน
ดั่งเสียงเรียกของหัวใจ สุดท้ายเช่นไรเขาก็ย่อมมา
ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดเขาได้ เพราะเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในโลก "
คนข้างๆ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและชั่วร้าย เสียงหัวเราะนี้ฟังดูกระหายเลือดและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“ขอต้อนรับการหวนกลับมาของท่าน จอมมาร!”
……………
ในขณะที่ร่างนักรบผนึกสวรรค์หลอมรวมเข้ากับร่างของเขา เส้นชีพจรที่สองในร่างของเต๋าซุนก็เปิดออกโดยตรง
การเปิดเส้นชีพจรซวงกู่ได้นั้น นั่นหมายความว่าเต๋าซุนได้ก้าวเข้าสู่ระดับการบ่มเพาะที่ 2 แล้ว
และระดับการบ่มเพาะของเขาก็ยังเพิ่มขึ้นอีกทีน้อยด้วยพลังระดับ8ที่ไหลเวียนอยู่ในลูกปัดตรงช่องท้องของเขา
“ระดับ 2 ขั้นแรก
ระดับ 2 ขั้นสอง
…………
ระดับ 2 ขั้นเก้า "
ในที่สุดเมื่อระดับการบ่มเพาะของเขามาหยุดอยู่ที่ระดับ 2 ขั้น 9 เขาก็พ่นลมหายใจยาวออกมา
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ ตอนนี้ผมของเขากลายเป็นสีแดงเพลิง และใบหน้าของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายสีดำม่วง
ตอนนี้ เต๋าซุนรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นจอมอสูรที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อ
“นี่คือพลังของร่างผนึกสวรรค์งั้นรึ ?” เต๋าซุนประหลาดใจเล็กน้อย เขาเคยเห็นเย่เฉินใช้ร่างผนึกสวรรค์มาแล้วในชีวิตก่อน ลักษณะของมันแตกต่างจากเขาในตอนนี้มากนัก
บางที…เพราะทุกคนมีวิถีของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะแตกต่างกัน
ขณะที่พลังในร่างกายของเต๋าซุนส่งเสียงคำราม เมฆดำมืดบนท้องฟ้าก็เริ่มกระจายออกไปทีละน้อย และท้ายที่สุดก็ไม่มีฝนตกลงมา
ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า และบนภูเขาเมฆา เต๋าเสี่ยวโม่ที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก ข้าไม่อาจรู้เลยว่ามันดีหรือแย่กันแน่ ” เต๋าเสี่ยวโม่ไม่รู้เลยว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากที่ไหนและส่งผลอะไร ดังนั้นเขาจึงทำเพียงส่ายหัวและไม่คิดอะไรมาก
…………
จากนั้น เต๋าซุน ก็ได้มารวมตัวกับเจ้าปลาน้อย วันนี้เป็นวันที่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เปิดรับศิษย์ใหม่ เต๋าซุนเองก็คิดที่จะเข้าสมัครด้วยความสนุกเช่นกัน
ตามกฎของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เต๋าซุนนั้นเพิ่งเริ่มฝึกบ่มเพาะได้ไม่นาน และยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ ดังนั้นเขาจึงไม่ถือว่าเป็นศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
อย่างมากที่สุด เขาก็เป็นเพียงแค่สมาชิกในครอบครัวของรองหัวหน้านิกายแห่งนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ตามกฎแล้ว เต๋าซุนจะต้องผ่านบททดสอบร่วมกับผู้อื่นในวันนี้เสียก่อน เขาจึงจะได้รับการพิจารณาให้เป็นศิษย์ของนิกายอย่างแท้จริง
แต่ไม่มีความเที่ยงธรรมใดแน่นอนในโลกนี้ เพียงแค่เขาต้องการ ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นไปได้
ตราบใดที่เต๋าเสี่ยวโม่ยังอยู่ กฎเกณฑ์ใดๆของนิกายล้วนไม่ส่งผลต่อเขาแม้แต่น้อย
กฎมีไว้สำหรับผู้อ่อนแอ และมีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถสร้างกฎขึ้นมาได้ตามต้องการ