ตอนที่ 25
ตอนที่ 25
“มันถูกมอบให้ข้าแล้วก็จริง แต่ข้าบอกเมื่อไหร่กันว่าข้าจะปล่อยพวกเขาไป” เต๋าซุนถามกลับ
“เอ่อ….” กวนเจิ้นไห่ดูสับสน “คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้แล้วกัน”
“ตามนั้น” เต๋าซุนตอบ “แล้วถึงต่อให้ข้าจะพูดจริงๆ แต่ตอนนี้เมื่อข้าคิดจะกลับใจ ข้าต้องรู้สึกอะไรด้วยรึ ?”
“ย่อมไม่มีอะไรอยู่แล้ว” กวนเจิ้นไห่หยุดชั่วคราวและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ตระหนักได้ถึงตัวตนของเต๋าซุน เมื่อพวกเขาทั้งสามทบทวนดูก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปที่เต๋าซุนสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและจริงจังเช่นนี้
พวกเขาทั้งสามได้แต่ถอนหายใจ : ข้าไม่เคยพบเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต…
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้นเป็นนิกายที่มีชื่อเสียงเที่ยงตรงและสืบทอดมาจากจักรพรรดิ รองหัวหน้านิกายเองก็เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ กระทั่งสามารถเปิดชีพจรที่เจ็ดได้ตั้งแต่อายุยังน้อยและขึ้นสู่ระดับ 7 อย่างยิ่งใหญ่
แต่ข้าไม่คิดเลยว่าบุตรชายของเขาที่ดูเหมือนจะเป็นคนเงียบๆกลับชอบทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้
…………
ค่ำคืนเริ่มมาเยือน และบางครั้งก็ได้ยินเสียงสุนัขเห่าบนถนน และทั่วทั้งเมืองเทียนเจียนก็หลับใหลไป
มีเพียงตระกูลชางเท่านั้นที่สว่างไสว และในห้องประชุม มีผู้มีอำนาจหลายคนในตระกูลก็รวมกันอยู่ที่นี่
“ศิษย์จากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ทำเกินไปแล้ว พวกเขาไม่เห็นหัวตระกูลชางเราแม้แต่น้อย ” ผู้อาวุโสพูดด้วยความโกรธ เคราสีเทาของเขากระพือไปมา
“เจ้าโกรธแล้วจะทำอะไรได้ เพียงแค่ศิษย์ชั้นยอดคนใดคนหนึ่งต้องการ พวกเขาก็กวาดล้างตระกูลชางของเราได้แล้ว ” ผู้อาวุโส 5 พูดด้วยเสียงต่ำจากด้านข้าง
“ข้าคิดว่าเราควรเรียกร้องนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้จักผู้อาวุฝ่ายนอกของนิกายอยู่ ” ผู้อาวุโส2 กล่าวทันที
“ผู้อาวุโสฝ่ายนอกของนิกายนั้นไร้ประโยชน์ และพวกเขาก็ไม่อาจแตะต้องได้แม้แต่ศิษย์สายในด้วยซ้ำ” ผู้อาวุโส5 พูดอย่างจนใจอีกครั้ง
“ผู้อาวุโส 5 ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ ” ชางเทียนเชียงเหลือบมองผู้อาวุโสห้าแล้วพูดอย่างใจเย็น
“ต่อให้เราจะโกรธแค่ไหน เราก็คงไม่อาจทำอะไรได้อยู่ดี ” ผู้อาวุโส 3 พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
…………
“ทุกคน โปรดหยุดเถียงกันเถอะ ไหนๆเราก็ตกอยู่ในนรกขุมเดียวกันแล้ว เรามาค่อยๆพูดคุยหาทางออกกันดีกว่า ” จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึงและรีบมองไปที่ประตู
พวกเขาก็เห็นชายชุดดำถือดาบในมือเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มีเลือดหยดอยู่บนดาบ และดูเหมือนว่าคนรับใช้ที่อยู่ด้านนอกจะตายหมดแล้ว
“เจ้าเป็นใคร” ชางเทียนเชียงขมวดคิ้วเล็กน้อย เส้นชีพจรสามเส้นในร่างของเขาก็เปิดออก
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในห้องโถงก็มองไปยังบุคคลที่เดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง กลิ่นอายของพวกเขาปลดปลดปล่อยออกมา และกดทับไปทางผู้มาเยือน
“เส้นหลุนฉวน เส้นซวงกู่ เส้นจ้าวหยิงเฟิง” ชายชุดดำก็พูดเบา ๆ ทุกครั้งที่เขาก้าวเดินเข้ามา และเส้นชีพจรในร่างของเขาก็ถูกเปิดออกเรื่อยๆ
จากนั้นเมื่อเขาเดินเข้ามาถึงก้าวที่สี่ เส้นชีพจรคุนไห่ก็เปิดออก จากนั้นแรงกดดันของพลังมหาศาลก็เป็นเหมือนคลื่นลูกใหญ่ปกคลุมไปทั่วอากาศ จนผู้คนที่อยู่ในห้องแทบหายใจไม่ออก
เส้นชีพจรหลุนฉวนนั้นอยู่ที่ด้านหลังมือซ้าย
เส้นชีพจรซวงกู่อยู่ด้านหลังมือขวา
เส้นชีพจรจ้าวหยิงเฟิงอยู่กลางหน้าอก
เส้นชีพคุนไห่อยู่ตรงข้ามหน้าอกที่ตรงแผ่นหลัง
เมื่อประตูชีพจรทั้งสี่ถูกเปิดออก สีหน้าของทุกคนในตระกูลชางก็เปลี่ยนไป และพวกเขาก็ร้องอุทานออกมา: "ตัวตนระดับ 4"
ชายชุดดำค่อยๆชูดาบขึ้นมา โดยให้หันดาบเข้าหาหน้าอก ข้อมือซ้ายขวาสั่นเล็กน้อย และแสงดาบก็พุ่งออกไป
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆไม่มีเวลาตอบโต้แม้แต่น้อย และเขาก็ถูกแสงดาบฉีกเป็นชิ้นๆ
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนกไป พวกเจ้าจงร่วมมือกันรับซะ ข้าจะไปที่คฤหาสน์เจ้าเมืองเพื่อเรียกกำลังเสริมให้เร็วที่สุด ” ชางเทียนเชียงตะโกนแล้ววิ่งหนีไป
แสงดาบจากมือขวาของชายชุดดำก็พุ่งออกไปอีกครั้ง รูปร่างของแสงดาบนี้เหมือนกับไม้กางเขน
ชางเทียนเชียงที่กำลังหลบหนีไปก็ไม่อาจตอบโต้ได้ทัน ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว แสงดาบก็ได้จยายพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าและตัดผ่านหน้าอกของเขาไปแล้ว
ผู้อาวุโส 5 ที่อยู่ด้านข้างก็รีบวิ่งไปตรงหน้าชางเทียนเชียงและรับแสงดาบที่รุนแรงไว้
“ท่านหัวหน้าตระกูล รีบไปเร็วเข้า ตระกูลชางของเราไม่อาจล่มสลายไปเช่นนี้ได้…” ผู้อาวุ 5ก็กล่าว จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากและหมดสติไป
“แม้ว่าปกติเจ้าจะเป็นคนพูดจาแย่อยู่บ้าง แต่เจ้าก็ช่างเป็นคนจริงเมื่อช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้” ชางเทียนเชียงกล่าวอย่างเศร้าใจ
…………
ชายชุดดำถือดาบในมือซ้าย และบนฝ่ามือขวาก็มีลูกบอลเพลิงควบแน่นขึ้น
ลูกไฟเหล่านี้ถูกเขาโยนเข้าไปในบ้านตระกูลชาง และอาคารต่างๆ ระหว่างทางมันก็พังทลายลงและเริ่มลุกไหม้จากการระเบิดของลูกไฟ
ไฟลุกโชนไปทั่วท้องฟ้า และควันสีเทาก็โหมกระหน่ำลอยขึ้นเหนือตระกูลชาง ปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ที่เหลืออยู่เล็กน้อย
ในสวนหลังบ้านของตระกูลชาง องค์ชายสามและชายชราก็สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติทันที
ชายชราที่ต้องการปกป้ององค์ชายสามก็คิดจะพาหลบหนีไปทันที แต่ก็ถูกชายชุดดำขัดขวางไว้
“ท่านยอดฝีมือ นี่คือองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจื่อหยาง เราหาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลชางไม่ และเป็นผู้รับใช้ที่ดีต่อนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด ” ชายชราอธิบายอย่างรวดเร็ว
เขายืนอยู่ในอากาศพร้อมกับเส้นลมปราณทั้งสี่สายในร่างถูกเปิดออก และเขาก็กลายเป็นยอดฝีมือระดับ 4 อย่างสมบูรณ์
“นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ทำไมอะไรรึ? ข้าก็แค่ผู้ฝึกบ่มเพาะทั่วไปเท่านั้น เพียงแค่ไม่อาจทนกับการกระทำของตระกูลชางได้ เลยคิดกำจัดพวกชั่วและนำความสงบมาสู่ผู้คนเท่านั้น หาได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นไม่ ” ชายชุดดำพูดอย่างใจเย็น
“ใช่ ใช่แล่ว มันไม่เกี่ยวอะไรกับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เลย ท่านช่างเป็นคนที่กล้าหาญนักและหัวใจก็เป็นวีรบุรุษน่าชื่นชม ” ชายชราพูดอย่างรวดเร็ว
“ไปซะ จงถือเสียว่าคืนนี้พวกเจ้าไม่เห็นอะไร” ชายชุดดำพูด
ชายชราขอบคุณเขาอย่างรวดเร็วและจากไปพร้อมกับองค์ชายสาม
…………
เต๋าซุน กำลังนั่งอยู่ที่สวนในสาขานิกาย เขาชื่นชมดวงจันทร์ที่สว่างสดใสและแสงไฟสีแดงที่สะท้อนท้องฟ้าจากระยะไกล
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ตระกูลชางดูเหมือนจะเป็นกองกำลังแรกที่เข้าร่วมกับเย่เฉิน
อีกทั้งพวกเขายังมอบไข่มุกผนึกสวรรค์ให้กับเย่เฉินด้วย
แม้ว่าตอนนี้ตระกูลชางจะยังอ่อนแอและไร้ค่า แต่เต๋าซุนก็ไม่อยากปล่อยไว้ให้เกิดปัญหาใด
…………
“เจ้ามาจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์สินะ” ชางเทียนเชียง มองไปยังตระกูลที่ถูกทำลาย เขาขบฟันแน่นและคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“ทำไมเจ้าถึงยังทำกับข้าเช่นนี้ ข้าก็มอบลูกปัดนักพรตให้ไปแล้วไม่ใช่รึไง ?”
“คนอ่อนแอจำเป็นต้องมีเหตุผลที่ต้องตายด้วยรึ ?” ชายชุดดำพูดอย่างสงบ
“ข้าไม่เข้าใจเลยว่าตระกูลชางของเราไปทำความขุ่นเคืองอะไรให้” ชางเทียนเชียง มองไปรอบ ๆ อย่างเศร้าสร้อย
พวกเขาดำรงอยู่มานับห้าร้อยปี และนั่นก็เป็นผลลัพธ์จากการทำงานหนักจากรุ่นสู่รุ่น แต่ทว่าวันนี้สิ่งที่พวกเขาพยายามกันมาอย่างหนักกลับกำลังถูกทำลายไป…
เขายังคงจำวันที่พ่อของเขาส่งต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูลให้เขาได้เป็นอย่างดี
“เชียงเอ๋อ เราต้องหาบุตรแห่งโชคชะตาให้พบและนำพาตระกูลสู่ความรุ่งเรืองอย่างแท้จริงให้ได้ แทนที่จะหยุดที่เมืองเทียนเจียนเช่นนี้ ตระกูลของเราสมควรติดปีกโผบินสู่โลกกว้าง ”
เขาค่อยๆหยิบดาบในมือขึ้นมาท่ามกลางเสียงกรีดร้องของลูกหลานในตระกูล และมองดูซากปรักหักพังแห่งความรุ่งโรจน์ตลอดห้าร้อยปีของตระกูลชางที่กำลังถูกกลืนกินท่ามกลางเปลวเพลิง
เขาหยิบดาบขึ้นมาและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดครึ้ม สติของเขาขาดสะบั้นอย่าสมบูรณ์
ผมยาวของเขาร่วงหล่น เขาคำรามอย่างน่าอนาถ และหยิบดาบขึ้นมาเชือดไปที่คอของตัวเอง
ด้วยเสียง "ฟุบ" ที่ดังขึ้นเบาๆ ดาบยาวก็หล่นลงกับพื้น ชางเทียนเชียงคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากคอของเขาและการมองเห็นของเขาก็กลายเป็นพร่ามัว
ในที่สุดร่างกายก็ล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง