ตอนที่ 22
ตอนที่ 22
“ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าชอบความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของช้าหรอกรึ? เหตุใดตอนนี้จึงไม่ชอบมันเสียแล้ว?” เต๋าซุน หัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า "เห้ออ ผู้หญิงหน่อ…ผู้หญิง"
“ก็ตอนนั้นข้ารู้จักท่านแค่ใบหน้า หาใช่หัวใจ ” จื่อไป๋หยู่ตอบเบา ๆ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็ควรหาเวลาทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งกว่านี้” เต๋าซุน มองไปยังสีหน้าโกรธและไม่เต็มใจของจื่อไป๋หยู่ และหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับหันหลังจากไปพร้อมชิลีชางคง
…………
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังเต๋าซุนที่เดินจากไป จื่อไป๋หยู่ก็ถามด้วยความโกรธ "ท่านปู่เหมุ ท่านเชื่อจริงๆหรือว่าเขาจะสามารถแบกรับโชคชะตาได้ "
“จักรพรรดิคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยนั้นๆ ดังนั้นใครกันจะสามารถขึ้นมาแบกรับโชคชะตาแห่งสวรรค์ได้ง่ายๆ ” ชายชราเหมุก็กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“แล้วเหตุใดท่านจึงบอกให้ข้ามอบหยดเลือดจักรพรรดิให้เขากัน” จื่อไป๋หยู่ถามอย่างสงสัย
“เพียงแค่เขาเผยแผ่นหยกออกมา เราก็ไม่อาจหนีไปไหนได้แล้ว แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง ?” ชายชราเหมุพูดอย่างทำอะไรไม่ถูก: "อย่าคิดเชียวว่าเพียงแค่เจ้าเห็นเขายิ้มตลอดเวลาแล้วเขาจะไม่กล้าฆ่าคน
ถ้าเพื่อได้เลือดจักรพรรดิแล้วล่ะก็ เขาลงมือสังหารเจ้าแน่ "
“ช่างน่ารังเกียจนัก” จื่อไป๋หยู่มองไปยังทิศทางที่ เต๋าซุน จากไปและพูดอย่างขมขื่น
…………
ในอีกด้านหนึ่ง ชิลีชางคงก็ถามอย่างสงสัย: "นั่นคือเลือดจักรพรรดิของจริงรึ ?"
“เจ้าอยากลองชิมมันสักเสี้ยวไหมล่ะ มันสามารถช่วยให้เจ้ารู้แจ้งและเป็นนิรันดร์ได้เลยทีเดียว ” เต๋าซุน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่สนใจหรอก ข้าจะต้องการเลือดจักรพรรดินั่นไปทำไม ? ข้านั้นมีเส้นทางการบ่มเพาะของข้าเอง ไม่ว่าพลังจากสิ่งอื่นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็เป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น” ชิลีชางคงตอบอย่างภาคภูมิ
เมื่อทั้งสองเดินลงไปชั้นล่าง พวกเขาพบเจ้าปลาน้อยและกวนเจิ้นไห่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัว
กวนเจิ้นไห่กอดหญิงสาวหลายคนไว้ซ้ายขวาและกำลังมีช่วงเวลาที่ดี
ในทางกลับกัน เจ้าปลาน้อยนั้นเอาแต่กินอาหารและไวน์ชั้นเลิศโดยไม่สนหญิงสาวข้างๆแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่กวน เจ้าเชิญเล่นและใช้เวลาของเจ้าต่อไปได้ แต่พวกเราขอตัวกลับก่อน ” เต๋าซุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว ศิษย์น้องซุน เหตุใดถึงได้ลงมาเร็วเช่นนี้ ?” กวนเจินไห่มองเต๋าซุนด้วยท่าทางคลุมเครือแล้วพูดว่า “ศิษย์น้อง… เจ้าอยากได้อาหารเสริมหรือไม่ ข้ามีของดีอยู่นะ ”
“เราไปกันเถอะ” เต๋าซุนสาปแช่งด้วยรอยยิ้มแล้วพาทุกคนจากไป
…………
ในเวลาเดียวกันที่ตระกูลชาง หัวหน้าตระกูลชาง ชางเทียนเชียงก็ฟังคำบอกเล่าของชางเว่ยบุตรชายของเขา และครุ่นคิด
เขามีร่างสูงและห่มชุดสีเขียวอ่อน ข้อมือและปกเสื้อสีเขียวปักด้วยเมฆสีขาว
เขามีใบหน้าที่หยาบกระด้างแต่ดูใจดีและมีหนวดเคราใหญ่ เขาถามกลับว่า “ลูกศิษย์เหล่านั้นได้บอกไหมว่าเป็นใครมาจากไหน ?”
“พวกเขาไม่ได้พูดขอรับ” ชางเว่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า “แต่คนไร้ประโยชน์อย่างกวนเจิ้นไห่จะไปมีสหายแบบใดได้?
ผู้คนที่เหมือนกันล้วนแต่อยู่ร่วมกัน พวกเขาย่อมเป็นประเภทเดียวกันอยู่แล้ว "
“อย่าได้ดูถูกไป ต่อให้พวกเขาจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์กับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ” ชางเทียนเชียงกล่าวอย่างครุ่นคิด “แต่ถ้าเป็นศิษย์สายในชั้นสูงหรือศิษย์แท้จริง เช่นนั้นเราคงมีปัญหาแล้วจริงๆ”
“แล้วข้าต้องทำเช่นไรดีท่านพ่อ?” ชางเว่ยพูดด้วยความกลัวเล็กน้อย: “เพื่อที่จะเอาใจฝ่าบาทแล้ว ข้าเพียงอยากจัดงานฉลองที่หอหมิงเย่เท่านั้น ”
“ส่งคนของเราไปที่สาขานิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เพื่อสอบถามรึยัง ?” ชางเทียนเชียง ถาม: "ไม่ว่ายังไงกวนเจิ้นไห่เองก็ได้รับการช่วยเหลือจากเรามากมายในวันทั่วๆไป ตอนนี้เขาน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง !"
ชางเว่ยส่ายหัวแล้วพูดว่า: "ผู้คนที่เราส่งไปสาขานิกายถูกไล่ออกมาหมดแล้วขอรับ พวกเขาไม่แม้แต่จะพบหน้ากวนเจิ้นไห่ด้วยซ้ำ"
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเฝ้ารอการมาถึงของพวกเขาเถอะ มาดูกันว่าเขาจะเป็นเทพ หรือ ช้าง ม้า วัว ควาย อสรพิษกันแน่” ชางเทียนเชียงตะคอกอย่างเย็นชาและพูดว่า "หาทางบอกฝ่าบาทให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดหากเราลากราชวงศ์มาช่วยเหลือได้ในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้น ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ชางเว่ยก็พยักหน้า
…………
ในช่วงบ่าย ชางเว่ยได้ถูกหัวหน้าตระกูลตบหน้าร้อยครั้งต่อหน้าผู้อาวุโสตระกูลและสมาชิกหลายคน
พวกเขาได้ยินมาว่าชางเว่ยนั้นไปหอหมิงเย่เพราะต้องการจองสถานที่แห่งนั้นให้กับองค์ชายสาม แต่กลับไปขัดแย้งกับศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เข้า
ข่าวนี้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วตระกูลชาง
กลางคืนเริ่มมืดลง และพระจันทร์เสี้ยวก็แขวนอยู่บนท้องฟ้า
ในห้องด้านข้างที่สวนหลังบ้านของตระกูลชาง ชายหนุ่มและชายชราคู่หนึ่งก็ยืนอยู่ข้างหน้าต่างห้องด้านข้าง
ชายหนุ่มมีใบหน้าที่หล่อเหลา สวมชุดคลุมสีน้ำเงินขาว และมีกลิ่นอายอันครอบงำที่ทำให้ผู้คนเคารพ เขาดูราวกับว่าเป็นราชาโดยกำเนิด
ส่วนชายชรานั้นตัวตนเลือนรางเป็นอย่างมาก หากเจ้ามองผ่านๆ เจ้าจะไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของเขาได้เลย
เขาสวมชุดคลุมสีเทา ดวงตาของเขาลึกราวกับหลุมดำ ผมสีดำบนศีรษะของเขาปนไปด้วยสีขาว เขาดูเหมือนชายชราในยามพลบค่ำ
…………
“ท่านคิดเห็นเช่นไรกับข่าวที่เกิดขึ้นบ้าง ” ชายชราถาม
“ตระกูลชางได้ล่วงเกินนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ และต้องการลากข้าเข้าไปในปัญหาด้วย ” ชายหนุ่มหัวเราะและตอบว่า “แต่นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เกินไปหน่อย และศิษย์ทุกคนก็ล้วนแต่ทำตัวหยิ่งผยองนัก”
“ฝ่าบาท โปรดระวังสิ่งที่ท่านพูดด้วย บางสิ่งบางอย่างเราก็ไม่อาจพูดถึงได้ ” ชายชราส่ายหัวอย่างรวดเร็วและกล่าวเตือน
“นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจขนาดนั้นเชียวรึ ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
เขาเป็นองค์ชายสามของจักรวรรดิจื่อหยาง และจักรวรรดิจื่อหยางของพวกเขาก็เป็นหนึ่งในสองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตตะวันตกไกลแห่งนี้
พ่อของเขาเป็นยอดฝีมือระดับ 6 อีกทั้งเขายังมียอดฝีมือระดับ 5 อีกเกือบร้อยคนเป็นผู้คุ้มกัน และยังมีผู้รับใช้ระดับ 4 อีกจำนวนนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่ที่คอยกดทับพวกเขา ทุกคนต่างก็เคารพนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่ศิษย์ของนิกายก็ล้วนแต่หยิ่งยโสเป็นอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท อย่าได้กล่าวถึง แม้ว่าองค์ราชาจะออกหน้าด้วยพระองค์เอง ข้าก็เกรงว่าเราไม่อาจทำอะไรนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ” ชายชราพูดด้วยอารมณ์: “ท่านรู้ไหมว่าทำไมท่านองค์ราชาถึงได้กลายเป็นผู้ปกครองแห่งอาณาจักรจื่อหยางได้ ?”
“ไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษของเราพิชิตอาณาจักรได้ทีละก้าวหรอกรึ ?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย
“จักรวรรดิจื่อหยางของพวกเราดำรงอยู่มาเกือบหมื่นปีแล้ว และมีผู้ปกครองมาหลายช่วงอายุคน
ผู้ปกครองจักรวรรดิจื่อหยางคนก่อนหาได้มีแซ่ว่า อัน ไม่ และตระกูลของเขาก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะไปหยิ่งผยองต่อหน้านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เกินไป อีกทั้งยังได้ฝ่าฝืนกฎบางอย่างเข้า "
ชายชราส่ายหัวและพูดต่ออย่างช้าๆ "ภายในวันเดียว ผู้ปกครองในยุคสมัยนั้น รวมถึงประชากรของเขา และทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็หายไปจนหมดสิ้นจากโลก
ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีใครพบพวกเขาอีกเลย และจากนั้นตระกูล อัน ของท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นผู้ปกครองคนใหม่ขึ้นหลังจากผ่านบทสดทอบ
ทีนี้ท่านรู้แล้วใช่ไหมว่าอำนาจของอาณาจักรและบัลลังก์ที่ท่านคิดว่ายิ่งใหญ่นั้นไร้ค่าเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ? "
“ข้าเข้าใจแล้ว และข้าก็ไม่คิดที่จะขัดแย้งกับคนของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด ” ชายหนุ่มพยักหน้าและกล่าวว่า “แต่คราวนี้ พี่ชายของข้ากับข้าต่างก็กำลังแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์อยู่ เรื่องของตระกูลชางนี้ เราเองก็ยอมพวกเขาจนสุดทางแล้ว
แต่ทว่าตระกูลชางนั้นผัดวันประกันพรุ่งในข้อเสนอของเราอยู่ตลอด และดูเหมือนพวกเขาจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
ถ้าเราสามารถช่วยพวกเขาแก้ปัญหาเรื่องนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ได้ บางทีเราอาจจะดึงพวกเขามาเป็นฝ่ายเดียวกันได้ก็เป็นได้ "
“เรามาดูกันก่อนเถอะว่าพรุ่งนี้สถานะของศิษย์เหล่านั้นเป็นเช่นไร” ชายชราคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าพวกเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าพวกเขาเป็นศิษย์แท้จริงหรือมากกว่านั้นล่ะก็…. ต่อให้ท่านจะออกหน้าแทนแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ "