ตอนที่ 18
ตอนที่ 18
เฟิงปู้หยูมองไปที่เต๋าซุนเพื่อรอคำสั่ง
“เอาเถอะ เหตุใดเราต้องมาวุ่นวายกับสาวน้อยคนนี้กัน ไปหาที่พักกันเถอะ” เต๋าซุนยิ้ม แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางถนน
“นี่ ข้าบอกให้เจ้าไปได้แล้วรึ ?” ตงหลิงเอ๋อก็เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นพวกเต๋าซุนกำลังจะจากไป
“สาวน้อย ข้าว่าเจ้าควรรู้จักพอประมาณบ้างนะ” เต๋าซุนหันกลับไปและพูดอย่างใจเย็น: “ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะบอกว่าพ่อของเจ้าคือเจ้าเมืองหรือไม่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเรื่องนี้ ต่อให้ราชาแห่งอาณาจักรจื่อหยางมาด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่สน ”
จงหลิงเอ๋อก็กลายเป็นหยุดนิ่ง จริงๆนางเองก็เริ่มรู้สึกกลัวจากคำพูดของเต๋าซุนเล็กน้อย
นางรีบหันไปมองชายชราในชุดคลุมสีดำแล้วพูดว่า "ลุงเหลียง ชายคนนี้กำลังรังแกข้า"
ชายชราในชุดคลุมสีดำส่ายหัวให้กับจงหลิงเอ๋อเล็กน้อย และมองไปที่พวกเต๋าซุนขณะที่ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
ในเวลานี้ ผู้คุ้มกันคู่หนึ่งที่ล้อมรอบพวกเต๋าซุนไว้ เมื่อเห็นพวกเขากำลังจะจากไป ผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็เดินไปขวางทาง
“หลีกไป” เต๋าซุนพูดเบา ๆ
ผู้คุ้มกันไม่แยแส และเพียงมองไปที่จงหลิงเอ๋อโดยไม่คิดจะขยับแม้แต่น้อยหากปราศจากคำสั่ง
ในเวลานี้เอง แสงดาบอันเจิดจ้าก็ส่องประกายขึ้นในอากาศ ไม่มีใครเห็นเต๋าซุนชักดายแม้แต่น้อย แต่ทว่าหัวของผู้คุ้มกันจู่ๆกลับกลิ้งลงกับพื้น
เฟิงปู้หยูที่อยู่ด้านข้างก็ม่านตาหดลงและพูดขึ้นทันที "ออกดาบแล้วรึ"
แม้ว่าจะเป็นเพียงวิชาระดับ 1 แต่การวาดดาบของเต๋าซุนเมื่อครู่นั้นเขากลับไม่สามารถมองเห็นได้เลยแม้แต่น้อย
…………
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังของพวกเต๋าซุนที่เดินจากไป จงหลิงเอ๋อที่เห็นเหตุการณ์ก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธ และหันไปหาชายชรา "ลุงเหลียง เหตุใดท่านถึงไม่ข้าจัดการพวกเขากัน "
“มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ข้าไม่สามารถมองออกได้ ” ชายชราที่ชื่อลุงเหลียงก็ครุ่นคิด “และข้าก็ยังไม่อาจรู้ถึงตัวตนของคนเหล่านี้ได้เลย มันจะเป็นการดีกว่าหากเราไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม
น้ำเสียงของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้แม้กระทั่งกล้าดูถูกจักรวรรดิจื่อหยางด้วยซ้ำ คนประเภทนี้มีสิทธิ์ที่อาจแกล้งทำเป็นมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ได้ก็จริง แต่ถ้าไม่ได้แสร้งทำล่ะก็…. "
“แล้วเราควรทำยังไงดี?” จงหลิงเอ๋อถาม
ลุงเหลียงก็หันไปบอกผู้คุ้มกันข้างๆ "แอบตามพวกเขาไป ไปสืบมาว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน "
จากนั้นเขาก็พูดกับจงหลิงเอ๋อ: "คุณหนู ไม่ต้องกังวล พวกเขาอยู่ในเมืองเทียนเจียนแล้ว ฉะนั้นพวกเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของเราไปได้อย่างแน่นอน "
…………
เต๋าซุน และพรรคพวกของเขาก็มาที่สาขาของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเทียนเจียน ผู้ดูแลสาขานี้มีชื่อว่ากวนเจิ้งไห่
โดยทั่วไปแล้ว ศิษย์ของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับตำแหน่งผู้ดูแลสาขาตามเมืองต่างๆนั้นคือผู้มีความสามารถต่ำ
แม้ว่ากวนเจิ้นไห่จะอายุสี่สิบเศษ แต่เขาก็ยังอยู่เพียงจุดสูงสุดของระดับ 2 เท่านั้น และไม่อาจทะลวงผ่านไปต่อได้
ตามข้อบังคับของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาต้องไปถึงระดับ 3 ให้ได้ก่อนอายุ 40 ปี มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกส่งไปยังสาขานิกายในเมืองต่างๆ
เมื่อกวนเจิ้นไห่ได้รับข่าวว่าเต๋าซุนกับคนอื่นๆมาถึงแล้ว เขาก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้อยคงเดินทางมาไกล ไม่ต้องห่วงศิษย์พี่ได้รับข่าวมาล่วงหน้าแล้ว” เขายิ้มและพูดกับทุกคน: “ศิษย์น้องโปรดให้อภัยด้วยหากข้าละเลยสิ่งใดไป ”
“ไม่มีอะไรสำคัญ พวกเราที่มาเมืองเทียนเจียนและต้องการหาที่พักเท่านั้น” เต๋าซุนก็ส่ายหน้าแล้วพูด
“ถ้าเช่นนั้นทุกคนรีบเข้าไปนั่งข้างในเถอะ ข้าจะสั่งให้คนไปจับจองร้านอาหารและจัดเตรียมที่พักให้กับศิษย์น้องทุกคนเอง ” กวนเจิ้นไห่พูดกับเต๋าซุนอย่างขยันขันแข็ง
…………
เต๋าซุน และคนอื่น ๆ เดินไปรอบ ๆ ห้องโถงสาขา ผู้คนส่วนใหญ่ที่ทำงานอยู่ที่นี่ครึ่งหนึ่งล้วนแต่ถูกนิกายเขี่ยทิ้งมา
ศิษย์เหล่านี้ทุกคนเองก็รู้ตัวดี ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตต่อไปอย่างเตาะแตะ ปราศจากความกระหายในการก้าวหน้า
เต๋าซุน มองดูแล้วส่ายหัว แม้ว่าพรสวรรค์ของศิษย์ที่นี่แต่ละคนจะไม่น่าพูดถึง
แต่พวกเจ้าไม่คิดจะกุมชะตาด้วยมือของตัวเองบ้างรึ ถ้าพวกเจ้ามีความพยายามมากพอ โชคชะตาก็อาจเปลี่ยนกันได้
ถ้าความสามารถมีไม่พอก็จงทดแทนด้วยความพยายามสิ พวกเจ้าไม่เห็นจักรพรรดินีหงเทียนรึไง ?
หากพวกเจ้ามีทัศนคติความคิดเช่นนี้บนเส้นทางการบ่มเพาะ หนึ่งชีวิตของพวกเจ้าคงไม่ต่างอะไรจากคนไร้ค่าแล้วจริงๆ
…………
กวนเจิ้นไห่ก็รีบจองห้องอาหารในร้านที่ดีที่สุดในเมืองเทียนเจียน หอหมิงเย่
หอหมิงเย่นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองเทียนเจียน และอาหารที่นั่นก็อร่อยเลื่องลือเป็นอย่างยิ่ง
แต่ห้องส่วนตัวข้างในเต็มแล้ว หลังจากปรึกษาเต๋าซุน กวนเจิ้นไห่ก็จองที่รั่งริมหน้าต่างแทน
…………
ทุกคนก็นั่งลง และแม้ว่าคำพูดของเจิ้นไห่จะดูเคารพเป็นอย่างมาก แค่ทุกคนก็สามารถคุยกันได้อย่างสนุกสนาน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นมาชั้นสอง
ชายหนุ่มคนนี้สวมชุดคลุมหรูหรา เขาประคองหญิงงามสองคนซ้ายขวาขึ้นมาด้วย พร้อมกับมีคนรับใช้ติดตาม
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปชั้นบนโดยไม่สนใจแขกคนอื่นๆที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ และตะโกนบอกเจ้าของหอหมิงเย่ว่า "เจ้าของร้าน วันนี้ข้าขอจองหอหมิงเย่ทั้งหอ เจ้าจงไล่คนอื่นออกไปให้หมดใน 15 นาทีนี้ซะ"
“คุณชายชาง นี้ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยขอรับ” เจ้าของร้านกล่าว “วันนี้มีคนบางกลุ่มที่ข้าไม่อาจทำให้ขุ่นเคืองได้”
“มันเป็นใคร ถ้าเจ้าไม่กล้า งั้นตระกูลชางของข้าจะรับหน้าให้เอง ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“พวกเขาเป็นคนของสาขานิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ขอรับ” เจ้าของร้านพูดและชี้ไปที่โต๊ะของเต๋าซุน
…………
ชายหนุ่มที่เห็นกวนเจิ้นไห่ก็รีบก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มทันที "ลุงกวน ท่านเองก็มาที่นี่ด้วยหรือ เมื่อไม่กี่วันก่อนพ่อของข้าได้ชวนท่านมาทานอาหารที่บ้าน ท่านคงยังไม่ลืมใช่หรือไม่ !"
“เสี่ยวเว่ย” กวนเจิ้นไห่ยิ้มและพูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารกับศิษย์ร่วมนิกาย ”
“ลุงกวน ข้าขอปรึกษาอะไรท่านสักหน่อยได้หรือไม่” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: “ องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจื่อหยางเพิ่งมาที่ตระกูลข้าเมื่อไม่นานนี้ ดังนั้นวันนี้ข้าจึงอย่างเฉลิมฉลองกับองค์ชายสามที่หอหมิงเย่แห่งนี้สักหน่อย
ถ้าท่านลุงกวนไม่ว่าอะไร วันนี้ข้าขอรบกวนท่านได้หรือไม่ วันหลังท่านสามารถไปที่บ้านตระกูลชางของข้าได้เลย แล้วท่านพ่อของข้าจะจัดการจองหอหมิงเย่ให้ท่านกับสหายเอง ดีหรือไม่ ? "
ชายหนุ่มพูดคุยกับกวนเจิ้นไห่ และไม่เหลือมองเต๋าซุนกับพวกแม้แต่น้อย
ในสายตาของเขา คนอย่างกวนเจิ้นไห่ที่ถูกส่งมาดูแลสาขานิกายนั้นคงจะมีสหายไม่ต่างกัน
คนเหล่านี้คงจะศิษย์ที่มีความสามารถต่ำเหมือนกับเขา
“เสี่ยวเว่ย ข้าเกรงว่านั่นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้ข้าเองก็ต้องการต้อนรับคนพิเศษเช่นกัน” กวนเจิ้นพูดพร้อมส่งสัญญาณเตือนให้ชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
“ ให้ตายเถอะ…นายน้อยเต๋าซุนที่อยู่ตรงหน้าเจ้าเป็นถึงบุตรของรองผู้นำนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เชียวนะเห้ย
ต่อหน้านายน้อยเต๋าซุนแล้ว องค์ชายสามแห่งจักรวรรดินับว่าเป็นสิ่งใด เขาไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบด้วยซ้ำ? "
อย่างไรก็ตาม… ชายหนุ่มกลับไม่เข้าใจสายตาของกวนเจิ้นไห่แม้แต่น้อย เขากลับยิ้มและหันไปพูดกับพวกเต๋าซุน "สหายจากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าช่วยออกไปจากหอหมิงเว่ยได้หรือไม่ ? หากพวกเจ้ายินยอมเราจะถือว่าพวกเจ้าเป็นแขกของตระกูลชางเรา ”
“เจ้าชื่อชางเว่ยงั้นรึ ?” เต๋าซุนก็ถามด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
“แล้วเจ้ารู้จักคนที่ชื่อไหลฟู่หรือไม่” เต๋าซุน ถาม
“เจ้ามีอะไรกับข้ารึ ” คนรับใช้ด้านหลังชางเว่ยก็ถามด้วยความสงสัย
เต๋าซุนก็ยิ้มและส่ายหัว
“สหาย ไม่ทราบว่าพวกเจ้ายินยอมออกไปดีๆหรือไม่ ” ชางเหว่ยก็ถามค่อ
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิรึไง” เจ้าปลาน้อยที่อยู่ข้างๆก็ตอบอย่างไร้ความอดทน “ไปให้พ้นซะ!”
แต่