ตอนที่ 17
ตอนที่ 17
“พวกมันจะเป็นใครล้วนไม่สำคัญต่อข้า” เต๋าซุนส่ายหัวและพูดว่า “ข้าสนใจเพียงผลลัพธ์เท่านั้น”
เต๋าซุนยอมรับว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เลว
เขาไม่สนใจว่าคนบนโลกนี้จะผิดถูกอะไร และไม่สนใจด้วยว่าคนอื่นจะคิดยังไง ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหัวใจของเขาเองทั้งสิ้น
ถ้าเขาอารมณ์ดี เขาก็สามารถช่วยเหลือผู้คนแปลกหน้าได้ แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี ใครจะฆ่าล้างเมืองเขาก็ไม่สน
เต๋าซุนเคยได้ยินเรื่องราวหนึ่งมาก่อน
มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งถามมารว่า “เหตุใดเพียงเพราะข้าสังหารคนๆเดียวโลกถึงประณามข้าว่าเป็นฆาตกร ?
ส่วนเจ้า ที่สังหารผู้คนมาทั้งชีวิต เมื่อช่วยชีวิตคนๆเดียว เหตุใดคนทั้งโลกถึงได้ชื่นชม "
ปีศาจกล่าวว่า: "เพราะว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยช่วยพวกเขามากมายไงเล่า เมื่อพวกเขาเห็นว่าเจ้าเปลี่ยนไปสังหารผู้คน พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับได้"
ข้านั้นเป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด ตอนนี้เมื่อเปลี่ยนมาช่วยเหลือผู้คน พวกเขาจึงชื่นชมในการเปลี่ยนแปลงของข้าและมองมันในแง่ดีแทน "
นี่เป็นเรื่องราวที่น่าขันนัก
การที่คนเราจะกลายเป็นเทพสวรรค์หรือคนดีได้ พวกเขาต้องผ่านบททดสอบมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งความลำบากยากเย็นทุกสิ่ง
แล้วคนเลวล่ะ? เพียงเพราะแค่วางมีดเปื้อนเลือดลง เขากลับได้เป็นเทพสวรรค์คนดีเสียแล้ว
…………
ขณะที่ชิลีชางคงปรากฏตัว เหย33 ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างรุนแรง
“นี่คือปรมาจารย์” เขาจับดาบยาวที่เอวด้วยมือทั้งสองข้าง สีหน้าตึงเครียดและระวังอีกฝ่ายอย่างจริงจัง
“พี่น้องข้า เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป” เต๋าซุน กล่าวกับทุกคน
…………
จากนั้นทุกคนก็ขี่ม้าไปต่อ ส่วนเฟิงปู่หยูกับคนอื่นๆก็ยิ่งรู้สึกว่าเต๋าซุนนั้นลึกลับยิ่งนัก และไม่อาจเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้เลย
แล้วชายคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นเป็นใครกัน?
…………
ในตอนเที่ยง เมฆสีขาวลอยปกคลุมดวงอาทิตย์ร้อนไว้ครึ่งหนึ่ง อากาศเย็นลงเล็กน้อย และในที่สุดคนไม่กี่คนก็มาถึงเมืองเทียนเจียน
เมืองโบราณแห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบพันปีและหยั่งรากลึกราวกับสัตว์ประหลาด
เมื่อมองจากระยะไกล เมืองเทียนเจียนให้ความรู้สึกเหมือนดาบคมที่ทะยานขึ้นสู่บนท้องฟ้า โดยมีขอบคมที่มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งมันน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
กำแพงเมืองสีน้ำตาลสูงหลายสิบเมตร เมื่อยืนอยู่ใต้กำแพงเมือง เจ้าจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากความใหญ่โต กำแพงเมืองอันเงียบสงบนี้ราวกับสลักความรุ่งโรจน์ในอดีตทั้งหมดไว้
…………
แม้ว่านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จะเป็นเจ้าเหนือหัวของดินแดนทางตะวันตกไกลแห่งนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มากนัก ส่วนมากนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์จะทำหน้าที่เหมือนหัวหน้าที่คอยคุมลูกน้องอีกทีมากกว่า
เมื่อมองฉากทั้งหมดนี้จากบนฟ้าสูง
เจ้าก็จะเห็นอาณาจักรขนาดใหญ่เป็นพิเศษอีกสองของทางตะวันตกไกลๆ
นั่นก็คือจักรวรรดิ จื่อหยาง และจักรวรรดิ เอ่อไค
และเมืองเทียนเจียนแห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารของจักรวรรดิจื่อหยาง
…………
เมื่อคนไม่กี่คนเดินเข้ามาในเมือง พวกเขาก็ยืนอยู่บนถนนหินสีเขียวที่ดูคับแคบเล็กน้อย
แผงลอยขายของทั้งสองฝั่งถนนดูคึกคักและกลิ่นหอมของซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งเสร็จก็ยังคงลอยอยู่ในอากาศ ร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลกันเองก็ส่งกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์อสูรที่เพิ่งทอดออกมา
ยังมีทั้งคนขายวิชา อาวุธ และโอสถต่างๆอีกด้วย
…………
เต๋าซุนที่ออกนอกนิกายครั้งนี้ได้นำลูกเสือฟ้าทมิฬสองตัวออกมาด้วย
เขากับเจ้าปลาน้อยนั้นต่างก็แบ่งลูกเสือกันคนละตัว และตอนนี้มันก็กำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขา "เราไปหาที่พักกันเถอะ!"
“ศิษย์น้องซุน นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเรามีสาขาอยู่ทั่วทุกเมือง เราสามารถไปพักที่สาขาได้โดยตรง ” เฟิงปู้หยูกล่าว
“ตำหนักสาขาในเมืองเทียนเจียนน่าจะว่างอยู่” เต๋าซุนยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นก็ไปที่ตำหนักสาขากันเถอะ”
…………
แต่เมื่อพวกเขากำลังจะออกเดินทางนี้เอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นจากไม่ไกล
เต๋าซุนก็หันไปมองและเห็นรถม้าสุดหรูวิ่งผ่านประตูเมือง
รถม้าคันนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยสัตว์อสูรระดับ 2 และมีตัวรถขาวราวกับหิมะ ผู้คุมม้าเหมือนจะไม่อาจคุมได้อีกต่อไปและมันก็กำลังพุ่งมาข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง แม้กระทั่งเริ่มสังหารผู้คนที่สัญจรไปมาหลายคนระหว่างทาง
เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังพุ่งเข้าใส่พวกเต๋าซุน คนขับรถม้าก็ตะโกนอย่างรวดเร็ว: "หลีกไปๆ ไปให้พ้นทางเดี๋ยวนี้!"
สีหน้าของเฟิงปู่หยูที่อยู่ข้างๆยังคงนิ่งเฉย เมื่อเสียง "ปัง ปัง ปัง" ดังขึ้นสามครั้ง เส้นชีพจรทั้งสามในร่างกายของเขาก็เปิดออก
“เส้นหลุนฉวน เส้นซวนกู่ เส้นเฉาหยิงเฟิง จงเปิด !”
เฟิงปู้หยูยืนอยู่ด้านหน้า เขาย่อร่างลงเล็กน้อย และมือของเขาที่ปกคลุมด้วยแสงสีเหลืองก็ยื่นออกไป
“วิชาชีพจร: ฝ่ามือผสานปราณ”
เขามองดูรถม้าสีขาวหิมะที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เขาถอยเท้าขวากลับไปครึ่งก้าว และจู่ๆก็คว้าไปที่สายบังเหียนของม้าทั้งสองด้วยมือสองข้าง
ร่างกายของเขาขยับเล็กน้อยเพื่อบรรเทาแรงกระแทก จากนั้นก็ดึงรถม้าบิดลำหันไปทางขวา
ด้วยแรงเหนี่ยวรั้งกับแรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้น รถม้าทั้งคันก็ล้มลงกับพื้นโดยตรง
ชายที่เป็นผู้คุมบังเหียนก็ปลิวออกไป และรถม้าข้างหลังก็ล้มกับพื้นกระจุยกระจาย
…………
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ?” กลุ่มทหารองครักษ์ในชุดเกราะสีดำก็รีบวิ่งมาจากด้านหลัง
หัวหน้าองครักษ์เป็นชายชราชุดห่มสีดำคลุมทั้งตัว
…………
“โอ๊ยๆๆๆ นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้ารึไง” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ตะโกนลงมาจากรถม้าที่พัง
“ใครกันที่กล้าล้มเจ้าหิมะของข้า ” ผู้หญิงคนหนึ่งปีนลงจากรถม้า
หญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะมีอายุ 17 หรือ 18 ปี เธอไว้ผมหางม้า สวมชุดผ้าแพรสีขาว และดูซุกซนเล็กน้อย
เฟิงปู้หยูที่อยู่ข้างๆก็อธิบายอย่างใจเย็น "เป็นรถม้าของเจ้าที่ตกใจและพุ่งเข้าใส่พวกเราอย่างบ้าคลั่งก่อน "
"ข้ามีตัวเลือกให้เจ้าสองทาง" หญิงสาวก็มองไปที่พวกเต๋าซุน แต่เมื่อเห็นเสือฟ้ามืดที่อยู่ในอ้อมแขนของเต๋าซุน ดวงตาของเธอก็ส่องประกายขึ้นและพูดว่า "หนึ่งคือมอบเสือน้อยตัวนั้นให้ข้าซะ หรือไม่ก็สอง ถูกข้าสับเป็นชิ้นๆเอาไปเลี้ยงเป็นอาหารสุนัข ”
“บังอาจนักที่พูดจาเช่นนี้” เฟิงปู้หยูตะคอกอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “เมืองเทียนเจียนมีกฎหมายอยู่ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนของคฤหาสน์เจ้าเมืองรึไงถึงได้กดขี่ผู้อื่นเช่นนี้ ?”
เต๋าซุน เหลือบมองไปที่เฟิงปู้หยู และรู้สึกว่าชายคนนี้สมองคงรู้เพียงวิธีฝึกบ่มเพาะเท่านั้น แต่กลับไม่มีความรู้เกี่ยวกับอันตรายในโลกภายนอกเลย
ถ้าเจ้าเป็นคนธรรมดาแล้วกล้าไปเหยียบเท้าพวกตัวใหญ่เข้า แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าเจ้าอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะแอบฆ่าเจ้ากลางดึกไม่ได้ไม่ใช่รึ ?
…………
“คฤหาสน์เจ้าเมือง?” หญิงสาวคนนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “เจ้ารู้ดีหนิว่าข้าเป็นใคร”
“เจ้ามาจากคฤหาสน์เจ้าเมืองรึ?” เฟิงปู้หยู มองไปที่ทหารยามในชุดเกราะสีดำที่กำลังปิดล้อมพวกเขาไว้
ในเวลานี้ พ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้านที่อยู่รอบๆเองก็รีบถอยห่างออกไปเช่นกัน และเริ่มพูดคุย
“คนเหล่าสมควรเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาไม่ใช่คนของเมืองเทียนเจียน”
“พวกเขาแต่งตัวดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายนักที่ไปทำให้บุตรสาวของท่านเจ้าเมืองขุ่นเคือง ใครๆก็รู้ทั้งนั้นว่า จงหลิงเอ๋อ ผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็น เจ้าหญิงจอมเกเร”
…………
หญิงสาวยืนเท้าเอวบนสะโพก พูดอย่างหยิ่งผยอง "ในเมื่อพวกเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร เช่นนั้นก็จงเลือกซะ
จงมอบเสือน้อยสองตัวนั้นมาให้ข้า แล้วข้าอาจพิจารณาปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป "