ตอนที่ 14
ตอนที่ 14
“ไร้สาระหน่า” เต๋าเสี่ยวโม่พูดอย่างเคร่งขรึม: “ปกติแล้วเจ้าไม่เห็นจะก้าวออกจากประตูด้วยซ้ำ แล้วเจ้าไปได้ยินมาจากไหนกัน ?
และแม้ว่าเจ้าจะไม่ยินยอม แต่เราก็ต้องมีหลักฐาน
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเรานั้น ในฐานะผู้ปกครองเขตตะวันตกไกลแล้ว พวกเราสมควรเป็นตัวอย่างและไม่ควรเอาเปรียบผู้อื่นด้วยอำนาจ "
เต๋าเสี่ยวโม่โกรธเล็กน้อยอยู่ในใจ เขานั้นไม่อยากให้บุตรชายของตัวเองเป็นคนเกเรและออกไปสร้างความเดือดเลือดให้กับผู้อื่น
“ท่านแม้ ท่านพ่อไม่ฟังคำพูดของข้าเลย ” เต๋าซุนหันหน้าไปหาท่านแม่ทันที และพูดด้วยสายตาอ้อนวอน
"นี่ท่านจะบอกว่าบุตรชายของเราพูดว่าร้ายผู้อื่นงั้นรึ " เหวินเทียนหยุนก็ก้าวออกมาโดยตรง และคว้าไปที่หูของเต๋าเสี่ยวโม่ และพูดอย่างไม่เกรงใจ "พวกนั้นก็แค่ตระกูลเล็กๆตระกูลหนึ่ง ถ้าเจ้ากลัวว่ามันจะทำลายชื่อเสียงของเจ้านักล่ะก็ ข้าจะลงไปจัดการเอง ”
“โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ยยย …. ไหนเจ้าบอกว่าจะไว้หน้าข้าบ้างไง ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ ” เต๋าเสี่ยวโม่ก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและบ่น:“เจ้านี่เป็นผู้หญิงยังไง”
“เหอะ ทำไม ท่านไม่ชอบที่ข้าเป็นเช่นนี้ว่างั้นเถอะ ?” เหวินเทียนหยุนก็โกรธทันทีและเริ่มตะคอกออกมา : “ถ้าท่านไม่ชอบที่ข้าเป็นแบบนี้แล้วตอนนั้นท่านจะคอยตามตื้อข้าทำไม?
ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นใครกันที่แอบย่องมาหน้าบ้านข้าทั้งวันเพียงเพราะอยากเห็นหน้าข้า อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงใจของท่านแล้วล่ะก็ มีหรือที่ข้าจะยอมรักท่าน ? "
“หยุดพูดได้แล้ว ลูกของเราก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ เหตุใดต้องย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องด้วยล่ะ?” เต๋าเสี่ยวโม่ก็รีบหยุดคำพูดของเหวินเทียนหยุนไว้ และพูดอ้อนวอนด้วยความจนใจ
“เดี๋ยวนี้ท่านเป็นเช่นนี้แล้วสินะ” เหวินเทียนหยุนก็ปล่อยมือออกจากหูของเต๋าเสี่ยวโม่ และก็เริ่มบีบน้ำตาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “ตอนนี้ชีวิตข้าถูกผูกติดอยู่กับท่านแล้วหนิ ท่านคงไม่เห็นค่าของข้าอีกต่อไปแล้ว ….
ฮืออ… ผู้ชายทุกคนก็ล้วนไม่ต่างจากหมู "
เมื่อเต๋าเสี่ยวโม่เหตุการณ์กำลังอยู่เหนือการควบคุม เขาก็ตัดสินใจทำบางสิ่งหยุดยั้งทันที
เขาจับไปที่ใบหน้าของเหวินเทียนหยุนด้วยมือทั้งข้างและเริ่มจูบนางอย่างดุเดือด
จากนั้นเหวินเทียนหยุนที่ส่งเสียงดีงเมื่อครู่ก็เริ่มเงียบลง และทั้งสองก็เริ่มจูบกันอย่างดูดดื่ม
เต๋าซุนเส้นเลือดดำก็ปูดขึ้นบนหน้าผาก "เฮ้ๆ ผู้ใหญ่ทั้งสอง ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคนนะ ท่านช่วยสนใจข้าสักนิดได้หรือไม่ "
“เจ้าไปได้แล้ว ส่วนพวกตระกูลขยะนั่นข้าจะบอกให้ผู้คุ้มกันทมิฬติดตามเจ้าไปจัดการเองเมื่อถึงเวลา ” เต๋าเสี่ยวโม่ไม่แม้แต่จะมองย้อนมาที่เขาแม้แต่น้อย ชายคนนี้เพียงแค่โบกมือและออกคำสั่งไล่เขาไปอย่างลวกๆ
พร้อมกัน เต๋าซุนก็เห็นท่านแม่ของเขาเองก็ยกมือขวาขึ้นโบกมืออำลาให้กับเขาอย่างไม่ไยดี
“ให้ตายเถอะ เมื่อครู่ใครกันที่พูดว่าเราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและไม่ใช้อำนาจกดขี่ผู้อื่น เหตุใดพริบตาเดียวถึงได้เปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้ …..” เต๋าซุนก็เดินออกไปจากยอดเขาเมฆาด้วยความหดหู่ใจ เขารู้สึกราวกับว่าเมื่อครู่ถูกป้อนด้วยอาหารสุนัขเต็มคำ
“เห้อ…. ชีวิตหนอชีวิต!”
……………
หลังจากกลับมาถึงยอดเขาเดียวดาย เต๋าซุนก็เริ่มฝึกบ่มเพาะ
เขาหยิบผลสิบชีพจรที่ท่านแม่มอบให้ออกมา และเตรียมพร้อมที่จะทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับ 1
พื้นฐานในการก้าวเข้าสู่ระดับ 1 นั้นคือการเปิดเส้นชีพจรประตูแรกในร่างกาย "เส้นหลุนฉวน"
หลังจากที่เต๋าซุนกลืนผลสิบชีพจรลงไป เขาก็รู้สึกถึงพลังอันอบอุ่นเป็นพิเศษไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นก็เริ่มหลับตาลงโคจรมันไปทั่วทุกที่ในร่างกาย
เส้นชีพจรเส้นแรก เส้นหลุนฉวน นั้นอยู่ด้านหลังมือซ้ายของแต่ละคน การเปิดประตูชีพจรเส้นนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเต๋าซุนแต่อย่างใด
เขาโคจรพลังจากลูกปัดลึกลับโดยตรง และพลังการบ่มเพาะระดับ 8 ก็ไหลผ่านลายทุกสิ่งกีดขวางในจุดชีพจรโดยตรงราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้ขวางได้
เมื่อมันหลอมรวมเข้ากับพลังของผลสิบชีพจรแล้ว ตอนนี้จุดเส้นชีพจรเส้นหลุยฉวนก็ถูกเปิดออกโดยตรง
เมื่อรู้สึกได้ถึงความปลอดโปร่งที่ออกมาจากร่างกายของเขา สมองของเขาก็ราวกับว่ากลายเป็นชัดเจนมากขึ้น
พลังจิตวิญญาณภายในร่างกายของเขากลายเป็นปั่นป่วน และสัญลักษณ์หยินหยางก็ปรากฏขึ้นบนมือซ้ายของเขา
เพียงว่าสัญลักษณ์นี้เป็นสีโปร่งใส และยังไม่ถูกแบ่งแยกเป็นสีขาวดำ
ที่เส้นขอบวงกลมของสัญลักษณ์หยินหยางนี้ก็มีแสงสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นและด้านในมีจุดแสงปรากฏ
เมื่อเขาโคจรพลังของเขา เขาก็ได้ยินเสียง "ปัง" ดังขึ้นและประตูชีพจรก็ถูกเปิดออก
ห่างจากหลังมือซ้ายไม่กี่เซนติเมตร ลวดลายก็ปรากฏขึ้นในอากาศ ลวดลายนี้เหมือนกับลายที่อยู่ด้านหลังมือของเขาทุกประการ เพียงแต่มันถูกขยายใหญ่ขึ้นในอากาศเท่านั้น
นี่คือสัญญานแห่งการเปิดชีพจรได้สำเร็จ
…………
หลังจากเปิดจุดชีพจรเส้นหลุยฉวนและก้าวเข้าสู่ระดับ 1แล้ว เต๋าซุนก็ยังคงไม่หยุดเพียงเท่านี้
เขายังคงโคจรพลังนี้ให้ทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระดับ 1 ขั้นแรก
ระดับ 1 ขั้น 2
…………
การบ่มเพาะระดับ 1 นั้นประกอบไปด้วย 9 ขั้น
เขาทำอยู่เช่นนี้จนกระทั่งทะลวงไปถึงขั้นที่ 9 ของระดับ 1 และเมื่อกำลังจะทะลวงไปสู่ระดับการบ่มเพาะที่ 2 นี้เอง เขาจึงค่อยๆหยุดขั้นตอนนี้ลงอย่างช้าๆ
ความเร็วในการฝึกบ่มเพาะเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เต๋าซุนมั่นใจขึ้นไปอีกว่าเขาย่อมสามารถกลับสู่ระดับ 8 ได้แน่นอนภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้
หลังจากสิ้นสุดขั้นตอนการทะลวงระดับการบ่มเพาะ เขาก็เริ่มปรับสภาพร่างกายของเขาอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลให้มั่นคง
จากนั้นก็เตรียมก้าวเข้าสู่ระดับการบ่มเพาะที่ 2 ต่อ
…………
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าปลาน้อยก็มาที่ยอดเขาเดียวดาย
เมื่อวานนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากปู่ของเขา เขาจึงได้เริ่มฝึกกลั่นร่างกายแล้ว
เต๋าซุนก็มองไปยังเจ้าปลาน้อยที่ยังถือขนมในมือและป้อนเข้าสู่ปากเรื่อยๆ พร้อมกันขี้มูกที่ห้อยไปมา
และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา: "เมื่อวานเจ้าไปที่ตำหนักคัมภีร์ตอนไหนรึ "
"ท่านปู่เป็นคนเลือก "วิชาดาบเจิ้นหวู่" ของจักรพรรดิเจิ้นหวู่ให้ข้า " เจ้าปลาน้อยก็ตอบ
“วิชานั้นไม่เหมาะกับเจ้า” เต๋าซุนก็กล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เพราะประสบการณ์ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาจึงรู้เส้นทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้าปลาน้อย
เจ้าปลาน้อยนั้นเหมาะกับการฝึกบ่มเพาะวิชาที่เน้นไปที่การใช้พละกำลังมากกว่า มันเป็นการฝึกฝนร่างกายที่เรียบง่าย แข็งแกร่ง และป่าเถื่อน
วิชาดาบเจิ้นหวู่นั้นขับเน้นไปทางด้านพลิ้วไหวบางเบา มันไม่เหมาะกับเจ้าปลาน้อยเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าต้องกลับไปเปลี่ยนหรือไม่?” เจ้าปลาน้อยก็ถาม
“ไม่จำเป็น ไม่มีวิชาบ่มเพาะของจักรพรรดิคนไหนในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะสมกับเจ้า ” เต๋าซุนส่ายหัวและพูดว่า: “ข้ามีวิชาหนึ่งที่เหมาะกับเจ้าอยู่ ข้าสอนเจ้าได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่งก่อน
เจ้าต้องห้ามบอกใครเกี่ยวกับที่มาของวิชาบ่มเพาะนี้เด็ดขาด แม้แต่ปู่ของเจ้าเองก็ห้ามบอก ถ้าปู่ของเจ้าถามว่าเจ้าได้วิชานี้มายังไง เจ้าก็เพียงบอกไปว่าบังเอิญไปเจอเข้าที่ไหนสักแห่งและก็ยังไม่ได้บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ "
“ข้ารับปากท่าน พี่ซุน” เจ้าปลาน้อยก็กล่าวอย่างหนักแน่น
เต๋าซุนก็พยักหน้า อันที่จริงเขาเชื่อใจเจ้าปลาน้อยมากอยู่แล้ว แต่ก็พูดไว้ก่อนเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจอีกฝ่าย
เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เกี่ยวกับการเกิดใหม่ของเขา
…………
เต๋าซุนก็หยิบหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ลงบนกระดาษ
นี่คือสิ่งที่เขาพบเจอจากความทรงจำชาติที่แล้ว ชื่อของวิชานี้เรียบง่ายเป็นอย่างมาก มันมีเพียงแต่สองคำเท่านั้น "ทรงพลัง"
ผู้คิดค้น "ทรงพลัง" ขึ้นมาคือ เปาตี้
จักรพรรดิทรราชผู้เป็นจักรพรรดิคนที่ 6 ในยุคสมัยจักรพรรดิ และเป็นจักรพรรดิคนแรกของเผ่าอสูร
ร่างกายของเขาเหมือนกับหมีสีน้ำตาลและมีเส้นเลือดปูดบวมเห็นชัด
ในเวลานั้น เขาอาศัยเพียงกำปั้นเหล็กคู่หนึ่งของเขาเท่านั้นในการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลก
คำพูดที่น่าจดจำของเขาคือ ไม่มีสิ่งใดในโลกที่กำปั้นไม่อาจแก้ไขได้ ถ้ามีปัญหาก็จงใช้สองกำปั้นของเจ้าซะ
ในที่สุด เขาก็กลายเป็นผู้แบกรับโชคชะตาและกลายเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
และ "ทรงพลัง" ที่เขาฝึกบ่มเพาะก็ได้กลายเป็นวิชาที่ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างต้องการที่จะฝึกฝน