ตอนที่ 13
ตอนที่ 13
“เจ้าหนู ไม่จำเป็นต้องตามหาข้า ข้าอยู่ในแหวนบนนิ้วของเจ้า ” เสียงเฒ่าก็กล่าว
“แหวน?” เย่เฉินสะดุ้งและมองดูแหวนในมืออย่างรวดเร็ว ตอนนี้แหวนธรรมดาๆกำลังเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนออกมา
แหวนวงนี้แม่ของเขาทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต นางบอกเขามันคือมรดกของตระกูล แต่ไม่ได้บอกว่ามีประโยชน์อะไร
เย่เฉินพกแหวนวงนี้ไว้กับตัวเสมอเพื่อลดทอนความคิดถึงแม่
เย่เฉินมองดูแหวนด้วยความประหลาดใจและถามว่า "ท่านเป็นใคร"
เขาไม่ตื่นตระหนก เขารู้ว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาและไม่น่าจะมีประโยชน์ใดต่ออีกฝ่าย
“เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าเซี่ยก็ได้ ” เสียงจากแหวนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจ: “นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อตั้งโดยเจิ้นหวู่ในตอนนั้นช่างน่าทึ่งจริงๆ ”
“ผู้เฒ่าเซี่ย….” เย่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เหตุใดท่านผู้เฒ่าถึงซ่อนตัวอยู่ในแหวนงั้นหรือ ?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเจ้าควรรู้ในตอนนี้” ผู้เฒ่าเซี่ยกล่าว “เจ้าอยากเป็นผู้แข็งแกร่งหรือไม่?
อยากอยู่กับคนรักในวัยเด็กของเจ้าตลอดไปหรือไม่ ?
ข้าช่วยเจ้าได้! "
“ท่านจะช่วยข้าอย่างไร” เย่เฉินถามอย่างกังวลใจ
ชายชรายิ้มและไม่พูดอะไร และหนังสือสีฟ้าอ่อนก็ลอยออกมาจากแหวน
หนังสือเล่มนี้ดูโทรมและเก่านิดหน่อย มุมหนังสือม้วนขึ้นเล็กน้อย และมีตัวอักษรขนาดใหญ่สองสามตัวเขียนอยู่บนปกสีเหลือง
วิถีเทพอมตะ!
“นี่ นี่คืออะไรหรือ?” เย่เฉินก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้พวยพุ่งออกมาจากตัวอักษรใหญ่เหล่านั้น และราวกับว่ามีภาพบางอย่างสะท้อนขึ้นมาตรงหน้าเขา
ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนท้องฟ้า ต่อสู้กับโลกและสวรรค์ สังหารเทพและปีศาจ เบื้องหลังของเขาคือท้องฟ้าที่กลายเป็นสีเหลืองและกองกระดูกมากมาย
""วิถีเทพอมตะ" จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 37 ในยุคจักรพรรดิ วิชานี้เป็นวิชาบ่มเพาะที่จักรพรรดิผู่ฟานฝึกฝน " น้ำเสียงของผู้เฒ่าเซี่ยก็เต็มไปด้วยอารมณ์เด็ดเดี่ยว และเขาก็เน้นคำพูดทุกคำ
ชายหนุ่มมองดูหนังสือตรงหน้า รูม่านตาขยายออกทันที ความคิดของเขาว่างเปล่า และเขารู้สึกถึงเพียงแรงกดดันอันเป็นชั่วนิรันดร์ปรากฏขึ้นในใจของเขา
……………
บนยอดเขาเดียวดายในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ เต๋าซุนก็ได้ถูกแม่ของเขาที่เพิ่งกลับมาถึงนิกายเรียกไปพบที่ยอดเขา
ตระกูลของท่านแม่นั้นคือตระกูลเหวินเทียน พวกเขาไม่ได้อยู่ที่บนทวีปส่วนตะวันออก แต่อยู่บนทวีปส่วนทางเหนือห่างไกลออกไปหลายพันไมล์
ตระกูลเหวินเทียนนั้นเป็นตระกูลใหญ่เป็นอย่างยิ่ง พวกเขามีสถานะสูงส่งในทวีปส่วนเหนือ และด้อยกว่านิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ครั้งนี้ แม่ของเขาได้กลับไปที่บ้านท่านตากับท่านยานเพื่อแสวงหาผลสิบชีพจร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้น
ผลสิบชีพจรนั้นจะสุกงอมทุกๆพันปี หนึ่งพันปีจะมีแค่ผลเดียว
การลิ้มรสมันนั้นต้องใช้เวลาถึงพันปีเต็มๆ และต้นผลสิบชีพจรต้นหนึ่งก็ให้กำเนิดผลเพียงแค่สิบลูกเท่านั้น
…………
เต๋าซุน ก็มาถึงยอดเขาเมฆาอีกครั้ง ตอนนี้ นอกจากพ่อของเขาเต๋าเสี่ยวโม่แล้วยังมีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่บนยอดเขาด้วย
หญิงสาวคนนี้สวมชุดสีแดงสด เสื้อคลุมสีแดงลากไปกับพื้นและเบ่งบานออกมาเหมือนกับพัด
ผมสีดำสนิทถูกมัดไว้ด้านหลังศีรษะ โดยมีเครื่องประดับเล็กๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ประดับอยู่ด้านบน
แม้ว่าแม่ของเขาจะอายุหลายร้อยปีแล้ว แต่นางก็ยังไม่ปรากฏร่องรอยของความแก่ชราแม้แต่น้อย
ใบหน้านั้นขาวยิ่งกว่าหิมะ เพียงเมื่อเห็นเต๋าซุนกำลังเดินเข้าไปหา เขาก็รู้สึกได้ถึงความงดงามยิ่งของท่านแม่
“ซุนเอ่อร์ มาหาแม่เร็วเข้า” เหวินเทียนหยุนก็กอดเต๋าซุน และนางก็จูบลงเบาๆบนหน้าผากของเขา และถามด้วยรอยยิ้ม “แม่ไม่อยู่หลายวัน เจ้าคิดถึงแม่บ้างหรือไม่ ?”
“ท่านแม่ ข้าอายุ 15 ปีแล้วนะ ในอนาคตท่านช่วยหยุดจูบหน้าผากข้าทุกครั้งที่เจอได้หรือไม่ ” เต๋าซุน ตอบอย่างช่วยไม่ได้
"อะไรกัน เจ้าเขินอายรึ ?" เหวินเทียนหยุดพูดด้วยรอยยิ้มและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู "แม่บอกแล้วไงไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าใด เจ้าก็ยังเป็นลูกชายของแม่ "
เต๋าซุนพูดอะไรไม่ออกกับคำตอบที่ราวกับไม่สนใจของท่านแม่
“นี่คือผลสิบชีพจรที่แม่ขอมาให้เจ้า มันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อการฝึกบ่มเพาะของเจ้ามากแน่นอน ” เหวินเทียนหยุนก็กล่าวและยื่นผลไม้ลูกหนึ่งให้เต๋าซุน
ผลไม้ลูกนี้มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นและดูใส มันมีพลังแปลกๆไหลเวียนอยู่ภายใน
ผลสิบชีพจรนั้นไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้โดยตรง แต่ความสามารถของมันนี้คือสิ่งที่ผู้ฝึกบ่มเพาะล้วนแต่ปรารถนาและฝันถึง
…………
อย่างที่เราทุกคนรู้กัน เส้นชีพจรในร่างกายของมนุษย์ทุกคนนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 12 เส้น
เมื่อเจ้าสามารถเปิดเส้นชีพจรทั้ง 12 เส้นได้ เจ้าก็จะสามารถกลั่นร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ และก้าวขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม เจ้าจะอายุยืนยาวขึ้นและแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
การฝึกฝนในระดับนี้แท้จริงแล้วคือการก้าวผ่านทะลวงเปิดชีพจรอย่างต่อเนื่อง
การเปิดประตูชีพจรนั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระยะหลังๆจะยิ่งยากขึ้นไป ว่ากันว่าบางคนก็อยู่ตรงนั้นไปตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาเลยก็ว่าได้
และความสามารถของผลสิบชีพจรนั้นก็คือช่วยให้สิ่งมีชีวิตสามารถเปิดเส้นชีพจรได้อย่างง่ายดาย
หลังจากกินผลชีพจรลงไป พลังที่อยู่ภายในผลไม้ลูกนี้ก็จะถูกแยกเป็นสิบส่วน และไหลเวียนซ่อนอยู่ที่ชีพจรทั้งสิบในร่างกาย
เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการทะลวงประตูชีพจร พลังที่ซ่อนอยู่เหล่านี้ก็จะระเบิดออกมาทันที และช่วยเหลือเจ้าในการทะลวงผ่านประตูชีพจร พลังอันยิ่งใหญ่ของมันจะทำให้เจ้าสามารถก้าวผ่านประตูชีพจรไปได้ง่ายขึ้น
แน่นอนว่าพลังของผลสิบชีพจรนั้นจะส่งผลกับชีพจรเพียงสิบเส้นแรกเท่านั้น ส่วนสองเส้นสุดท้าย….นั่นก็ขึ้นอยู่กับความลึกซึ้งในการฝึกบ่มเพาะแต่ละคน
…………
ร่างกายมนุษย์นั้นประกอบด้วยหลายสิ่ง
เส้นชีพจรทั้ง 12 เส้นนี้ต่างก็เชื่อมต่ออยู่กับทุกส่วนในร่างกายมนุษย์ และมันก็มีชื่อตามลำดับดังนั้น "เส้นหลุนฉวน เส้นซวงกู่ เส้นเฉาหยิงเฟิง
เส้นคุนไห่, เส้นโลหิตอสูร, เส้นสนธยาเยือน
เส้นไร้ตัวตน, เส้นแบกอันธการ, เส้นทะลวง
เส้นวัฏจักร, เส้นตรัสรู้, และเส้นทลายหัวใจ "
…………
เต๋าซุนหยิบผลสิบชีพจรและพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เขานึกถึงชาติที่แล้ว หลังจากที่เขาถูกโยนลงสายธารมังกร ท่านแม่ของเขาเองก็เป็นเหมือนกับท่านพ่อของเขาที่หลงเข้าสู่เส้นทางปีศาจแห่งการล้างแค้น และมีจุดจบที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
…………
“ท่านพ่อ ข้ามีบางอย่างจะบอกท่าน” เต๋าซุนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้น
“มีอะไรรึ?” เต๋าเสี่ยวโม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและถาม
“ ข้าได้ยินมาว่ามีตระกูลหนึ่งในเมืองเทียนเจี้ยนที่ชื่อว่าตระกูล ชาง พวกเขาก่อตั้งในเมืองเทียนเจี้ยนมาห้าร้อยปีแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าตระกูลของพวกเขาหยั่งรากลึกเป็นอย่างยิ่ง แต่หลายคนในตระกูลนี้กลับหยิ่งผยองและสำคัญตัว พวกเขาปล้นสมบัติและสังหารผู้คน อาจกล่าวได้ว่าทำชั่วทุกประเภท
อำนาจของขุนนางในเมืองที่เชื่อมต่อกับราชวงศ์จักรวรรดิเองก็ถูกบดบัง และแม้แต่กิ่งก้านของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ของเราที่อยู่ในเมืองแห่งนั้นก็ยังถูกเมิน "
“เจ้าไม่เคยออกจากนิกายสักครั้ง แล้วไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนกัน?” เต๋าเสี่ยวโม่ก็ถามด้วยความประหลาดใจ “ตระกูลชางนี้ทำให้เจ้าขุ่นเคืองรึ ?”
“ทำให้ข้าขุ่นเคืองรึ?” เต๋าซุนก็ส่ายหัว เขาไม่เคยพบใครจากตระกูลนี้มาก่อนเลยแม้แต่ในชาติที่แล้ว ฉะนั้นอีกฝ่ายจะทำให้เขาขุ่นเคืองได้อย่างไร
แต่แล้วอย่างไร?
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้มีความคับข้องใจกับตระกูลนี้ แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นมีบางสิ่งที่เขาต้องการอยู่
“พวกเรานิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์คือผู้ปกครองภูเขาและแม่น้ำหลายพันไมล์ทั่วเขตตะวันตกไกลแห่งนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าทุกสิ่งมีชีวิตที่นี่ล้วนแต่เป็นคนของเราทั้งสิ้น
ตอนนี้เมื่อมีตระกูลใดตระกูลหนึ่งมากดขี่ผู้คนของเรา ข้ามีหรือจะยินยอม" เต๋าซุนก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะอธิบาย