ตอนที่ 10
ตอนที่ 10
“ว่าแต่พี่ซุนสุดหล่อ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกินกันหรือ ?” หลิวเหมยก็พูดด้วยสายตาที่ส่องประกาย
“ข้าชอบนะเวลาที่เจ้าพูดอวยข้าพร้อมกับน้ำลายหยดย้อยที่ดูหิวโซเช่นนี้ ” เต๋าซุนก็พูดอย่างเย็นชา
"ไม่ใช่นะ คนอย่างข้าหรือจะพูดอวยใครเพราะตะกละในของกิน เจ้าพูดมั่วแล้ว " หลิวเหมยมองไปที่เต๋าซุนอย่างจริงจังและพูดทีละคำ "ข้าไม่ได้อวย ข้าพูดความจริงทั้งนั้น ดูสิ ทุกคำพูดคำจาของเจ้าล้วนแต่มีเสน่ห์ที่สุด
อีกทั้งความหล่อเหลาของเจ้าเองก็ไม่อาจบรรยายได้เช่นกัน ราวกับแม้เพียงแค่มองเจ้าก็รู้สึกต่ำต้อย
ดูสิๆหัวใจข้าเต้นอย่างแรงเช่นนี้
รีบหันไปเลย อย่าให้ข้าเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าอีก มิเช่นนั้นหัวใจของข้าคงเต้นแรงจนล้มเหลวเป็นแน่ "
“นี่เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไร..” เต๋าซุนก็มองไปที่หลิวเหมยด้วยท่าทางโมโห “แต่ที่เจ้าพูดมาก็ถูกนะ งั้นข้าจะแบ่งไก่เป็นรางวัลแก่เจ้าแล้วกัน”
เจ้าปลาน้อยกับผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างๆก็แอบมีสีหน้าตกใจอย่างเงียบๆและพึมพำออกมา “เจ้าตัวเหม็นคนนี้…ช่างไร้ยางอายนัก ”
อีกหนึ่งกล้าพูดอวย ส่วนอีกหนึ่งกลับยอมรับด้วยความเต็มใจ….
…………
หลังจากดับกองไฟเสร็จพวกเขาก็หยิบไก่ทั้งสองขึ้นมา
สีผิวของไก่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตุ๋นนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลทอง ไม่ว่าใครเห็นกก็ล้วนแต่ต้องอยากกิน
สำหรับไก่ศักดิ์สิทธิ์นึ่งนั้น ทันทีที่เขาเปิดฝ่าหมด กลิ่นอายที่แข็งแกร่งก็พวยพุ่งกระแทกหน้าทันที ราวกับว่าพวกมันถูกกลั่นอย่างเข้มข้นอยู่ในน้ำซุปสีขาวซีดนี้
“มาๆๆๆ พวกเจ้ามาลองชิมดู ”เต๋าซุนก็ยกชามขึ้นแล้วพูดเสียงดัง
เมื่อไก่ตุ๋นถูกส่งเข้าปากของเต๋าซุน เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ปะทุขึ้นในร่างกายอย่างชัดเจน และพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษก็ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา
สภาวะเช่นนี้ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป และเขาก็กำลังจะทะลวงเข้าสู่ระดับ 2
หลังจากทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้กินอาหาร พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายเต็มไปด้วยพลังงาน ราวกับว่าพวกเขามีเรี่ยวแรงไม่มีสิ้นสุด และรู้สึกสดชื่นราวกับเป็นคงกระพัน
“พวกเจ้าซื้อไก่มาจากไหนรึ มันอร่อยยิ่งนัก ข้าจะบอกให้ท่านปู่ซื้อมาให้ข้าบ้าง ” หลิวเหมยก็ถามขณะเคี้ยวขาไก่อย่างเอร็ดอร่อย
“หยุดพูดตอนกินเถอะ” เต๋าซุนก็พูดกลับ
…………
ช่วงเวลานี้ บนยอดเขาเมฆาที่เต๋าเสี่ยวโม่อาศัยอยู่ ตอนนี้ก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งลอยเข้ามาในอากาศและลงมายืนอยู่บนยอดเขา
หญิงสาวคนนี้สวมชุดสีม่วง ร่างเพรียวบางเห็นได้ชัด เส้นผมผูกไว้ด้านหลังศีรษะ และคาดด้วยผ้าคาดผมสีน้ำเงิน
ใบหน้าของนางละเอียดอ่อนและมีกลิ่นอายเย็นชาเหนือล้ำโชยออกมาทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองนางโดยตรง
“ผู้อาวุโสหก ท่านมีเรื่องอะไรรึ?” เต๋าเสี่ยวโม่ก็หันหน้าไปถาม
ผู้หญิงคนนี้คือผู้อาวุโสหกของนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เทพธิดาหนิงซาน ชื่อแท้จริงของนางคือ คังเย่ซาน
ในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ผู้อาวุโสหนึ่งจนถึงผู้อาวุโสห้านั้น พวกเขาคือผู้ฝึกบ่มเพาะมาแล้วเป็นเวลาหลายพันปีจนอยู่ในระดับ 8 ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาที่ใช้ความพยายามอย่างสูงจึงได้เลื่อนมาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสทั้งเจ็ด
แต่ผู้อาวุโสหก ผู้อาวุโสเจ็ด และรองหัวหน้านิกายเต๋าเสี่ยวโม่นั้น พวกเขาเพิ่งฝึกบ่มเพาะได้เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้นแต่กลับสามารถเข้าสู่ระดับ 8 ได้แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงถือได้ว่าเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่มากด้วยพรสวรรค์ เมื่อประกอบกับความพยายามอย่างหนักแล้วจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะได้รับตำแหน่งเช่นปัจจุบัน
“ท่านรองหัวหน้านิกาย ข้าอาจต้องเดินทางออกจากนิกายในเร็วๆนี้ ” คังเย่ซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ในอดีต ตอนที่ข้ายังไม่ได้ฝึกบ่มเพาะ ข้านั้นอาศัยอยู่กับน้องสาว
แต่ต่อมาหลังจากที่ข้าเข้าสู่โลกแห่งการบ่มเพาะและเข้าร่วมกับนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ได้ขาดติดต่อจากนางไปอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้ข้าได้ประสบความสำเร็จในการฝึกบ่มเพาะแล้ว และมักจะคิดถึงนางอยู่ทุกคืน ดังนั้นข้าจึงอยากจอออกจากนิกายไปตามหานาง "
“ไม่ต้องกังวล ไปเถอะ” เต๋าเสี่ยวโม่ก็โบกมือและพูด
นิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีการเข้าออกที่เข้มงวด ก่อนที่ศิษย์คนไหนจะออกไปนอกนิกาย เขาจำเป็นต้องได้รับคำยินยอมจากผู้อาวุโสทั้งฝ่ายในและฝ่ายนอกเสียก่อน ไม่ก็ต้องได้รับคำยินยอมจากผู้นำนิกาย
สำหรับผู้อาวุโสหลักทั้งเจ็ดแล้ว พวกเขามักจะเลือกพูดกับผู้นำนิกายและรองผู้นำโดยตรงเสียมากกว่า
แน่นอนว่าเต๋าเสี่ยวโม่เองก็ไม่ได้คิดจะทำให้เรื่องยุ่งยากใดๆ และการมาร้องขอความยินยอมของเขาก็เป็นเพียงแค่พิธีเท่านั้น
นิกายเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่มากมาย แต่ก็เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกฎเกณฑ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะมาก็มาจะไปก็ไปได้ตามต้องการ แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับจุดเหตุผลของเจ้า
เว้นเสียแต่ว่าวันหนึ่งเจ้าจะแข็งแกร่งพอจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ได้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
…………
หลังจากคังเย่ซานออกจากยอดเขาเมฆา นางก็มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก
นางเดินขึ้นไปในอากาศ ดวงตาขอนางสดใสและลึกล้ำ เสื้อผ้าสีม่วงของนางปลิวไปตามสายลมเล็กน้อย และนางก็ถูกรายล้อมไปด้วยกลิ่นอายคล้ายก้อนเมฆ
เมื่อเดินผ่านป่า สัตว์อสูรทั้งหมดที่อยู่ข้างใต้ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความสั่นกลัว
…………
บนยอดเขาเดียวดาย เต๋าซุนยืนอยู่บนยอดเขามองไปทางทิศตะวันออก
“เย่ซานสมควรเริ่มต้นเส้นทางของตัวเองแล้วในเวลานี้ ” เต๋าซุนก็กล่าวด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ บนริมฝีปากของเขา “เมื่อพระเอกขึ้นเวที นางเอกก็ควรริเริ่มเรื่องราวอันยิ่งใหญ่เช่นกัน”
เขามองดูเส้นขอบฟ้า และความคิดของเขาก็ราวกับถูกย้อนกลับไปยังอดีตที่ไม่อาจลืมเลือน
“ เทพธิดาหนิงซานหน่อ…เทพธิดาหนิงซาน เมื่อชาติที่แล้วเจ้าโกหกข้า และหลังจากฉกฉวยผลประโยชน์จากข้าเจ้าก็เตะข้าลงเหวพร้อมกลับกลายเป็นนางเอก
ในชีวิตนี้ เรามาเริ่มกันใหม่ดู ข้าก็อยากจะรู้เช่นกันว่ามันจะเปลี่ยนไปเช่นไร เมื่อทุกอย่างล้วนตกในกำมือของข้า "
…………
เต๋าซุนหัวเราะและเดินไปตามยอดเขาเดียวดายจนมาถึงยอดเขาเมฆาของบิดาเขา
อันที่จริง เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสิ่งใดเลย อีกทั้งยังรู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ
ทุกเรื่องราวนั้นย่อมมีตัวเอกและตัวร้าย และตัวเอกก็มักเป็นที่โปรดปรานจากสวรรค์และมีชะตาแห่งความเป็นอมตะ กลิ่นอายแห่งการผจญภัย และกลิ่นอายแห่งเสน่ห์ที่น่าดึงดูด
โดยสรุปแล้ว พวกเขาเปรียบเสมือนกับเทพสวรรค์ผู้อยู่ยงคงกระพัน ผู้สามารถเปลี่ยนอันตรายเรื่องร้ายแรงให้กลายเป็นโชคดีได้เสมอ พวกเขาจะไม่มีวันตาย อีกทั้งพวกเขายังได้รับโอกาสในการค้นพบความลับอันมหัศจรรย์อีกด้วย หรือแม้กระทั่งพบกับตัวตนเก่าแก่ที่คอยบอกสอนฝึกฝนการบ่มเพาะให้กับพวกเขา
รอบๆตัวของบุตรแห่งสวรรค์นั้นจะมีหญิงสาวรายล้อมไม่เคยขาด ตราบใดที่พวกนางมีใบหน้าที่งดงาม พวกนางก็จะตกเข้าสู่วงจรของตัวเอกและเชื่อฟังตัวเอกอย่างถึงที่สุด และที่สำคัญ ภูมิหลังของหญิงสาวเหล่านี้ล้วนแต่น่าสะพรึงกลัวทั้งสิ้น
ส่วนตัวร้ายน่ะหรือ? พวกเขาเป็นตัวละครที่น่าสังเวชอยู่เสมอ พวกเขาไม่มีไพ่ตายดีๆ อีกทั้งยังโชคร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ และมักจบลงด้วยการสูญครอบครัวหรือคนรักเสมอ จากนั้นก็กลายเป็นบันไดก้าวสำคัญให้กับตัวเอกเหยียบข้ามไป
…………
เต๋าซุนรู้สึกว่าเหตุผลที่ตัวเอกสามารถเติบโตจนแข็งแกร่งได้นั้นเป็นเพราะบทของตัวร้ายนั้นโง่งมเกินไป
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองสังหารตัวเอกได้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่พวกเขากลับชอบส่งลิ่วล้อเกรด F ไปมอบประสบการณ์ให้กับตัวเอกอยู่เรื่อยๆแทน
และเมื่อถึงเวลาที่ตัวเอกเติบโต ตอนนั้นตัวร้ายก็กลับเพิ่งคิดได้ว่าควรลงมือจริงจังซะที ซึ่งนั่น… มันก็สายไปแล้ว
เต๋าซุนหัวเราะเบา ๆ "ข้าไม่ใช่ตัวร้ายไร้สมองเหมือนกับชีวิตก่อนอย่างแน่นอน "
…………
ตอนนี้เต๋าซุนรู้เกี่ยวกับไพ่ในมือของตัวเอกเย่เฉินเป็นอย่างดี อีกทั้งยังรู้อีกด้วยว่าหมู่บ้านเล็กๆที่เย่เฉินอยู่นั้นอยู่ที่ใด
ถ้าเต๋าซุนคิดจะสังหารเย่เฉิน ตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว และเขาก็ไม่คิดที่จะส่งพวกกากๆไปแทนแม้แต่น้อย
เต๋าซุนก็เดินทางมาหาพ่อของเขา เต๋าเสี่ยวโม่ โดยตรงเพื่อขอให้ช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ และถ้ายอดฝีมือผู้แข็งแกร่งระดับ 8 ลงมือเองแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นตัวเอกเย่เฉินจะมีอีกกี่สิบชีวิตก็ไม่เพียงพอ
โชคชะตานั้นมักจะปกป้องตัวเอกอยู่เสมอ แต่การปกป้องนั้นก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
เพราะหากการปกป้องไม่มีขอบเขตแล้วล่ะก็ ตัวเอกย่อมเติบโตไปกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ หากตัวเอกได้รู้ว่าโชคชะตาคอยปกป้องเขาอย่างไร้ขีดกำจัด เช่นนั้นตัวเอกจะมีเหตุผลใดที่ต้องตั้งใจฝึกฝนบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะกัน ? เขาจะเหนื่อยยากฝึกฝนให้ลำบากทำไม เขาจะอยากแข็งแกร่งขึ้นไปเพื่ออะไรในเมื่อใช้ชีวิตยังไงก็ไม่ตาย?
ด้วยการลงมือของยอดฝีมือระดับ 8 แล้ว ต่อให้จะมีวิญญาณเก่าแก่คอยปกป้องอยู่แล้วอย่างไร ? ยังไงซะก็ไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน