บทที่ 133 เจ้าคิดว่าธารสายฟ้าเป็นน้ำเต้าหู้งั้นรึ
“นายน้อย เมื่อครู่ท่านบอกว่าระดับนิรันดร์งั้นรึ ข้ามิได้หูฝาดไปใช่หรือไม่” หลังตื่นจากภวังค์ เลี่ยวคุนก็เปิดปากกล่าวทันที
ด้วยสงสัยว่า เมื่อครู่เขามิได้ฟังผิดเพี้ยนไปหรอกกระมัง
แน่นอน ว่าความล้ำค่าของโอสถวิญญาณระดับนิรันดร์ชนิดนั้นนับว่าไม่ธรรมดา เคยมีข่าวลือที่ว่า แม้แต่องค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเทียนโต้วยังมิกล้ากลืนโอสถวิญญาณระดับนิรันดร์เลยด้วยซ้ำ เขาเก็บซ่อนอย่างแน่นหนาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่ง
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเดือนหน้า หยางเสี่ยวเทียนจะมอบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ให้ ไฉนเลยพวกเขาจะไม่คิดตื่นเต้น
“เมื่อกี้พวกเจ้าฟังมิผิด นายน้อยกล่าวว่ามันเป็นโอสถระดับนิรันดร์” หลัวชิงกล่าวย้ำวาจาของหยางเสี่ยวเทียนด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น เขาก็หยิบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ ที่หยางเสี่ยวเทียนมอบให้ออกมายืนยันต่อบรรดาศิษย์ของเขา
“นี่มัน โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์จริงๆ ด้วย!” เลี่ยวคุนและจางจิงหรงเบิกตาโพรงตกตะลึงอยู่อย่างนั้น มิคิดว่าวันนี้ จะได้พบเห็นโอสถระดับนิรันดร์
หลัวชิงกล่าวต่อ “วันนี้ นายน้อยมอบโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์นี้ให้ข้า”
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อพวกเจ้าติดตามนายน้อยและคอยรับใช้เขา นายน้อยจะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี” น้ำคำกล่าวเสริม แสดงออกถึงความยินดียิ่ง
เมื่อฟังวาจาของหลัวชิง เลี่ยวคุน จางจิงหรง และเฉินอี้ซานก็มิคิดลังเลใจอีกต่อไป
“ฟ้าดินเป็นพยาน นับแต่นี้พวกเราจะขอติดตามนายน้อย จนกว่าชีวิตจะหาไม่” เลี่ยวคุนและอีกสี่คนโค้งคำนับหยางเสี่ยวเทียนจากใจจริง
“ความสามารถของนายน้อยนั้น อยู่เหนือจินตนาการของพวกเจ้ามากโข” หลัวชิงกล่าวกับเลี่ยวคุนและคนอื่นๆ
“ในภายภาคหน้า พวกเจ้าจะรู้ว่าตนนั้นโชคดีแค่ไหน ที่ได้ติดตามนายน้อย” หลัวชิงกล่าวด้วยสีหน้าปิติยินดียิ่ง
หยางเสี่ยวเทียนพยุงร่างเลี่ยวคุนและจางจิงหรงยืนขึ้น ขอพวกเขากลับไปกลืนโอสถแล้วหมั่นฝึกฝนเพื่อบ่มเพาะระดับพลังยุทธ์ให้แข็งแกร่งขึ้น
เมื่อบอกกล่าวกับทั้งห้าคนเสร็จสิ้น หยางเสี่ยวเทียนจึงออกคำสั่งให้คนตามอัตและอาลี่ ด้วยมีเรื่องมอบหมายทั้งสองทำ โดยจะให้พวกเขา ออกสอบถามราคารับซื้อจวนโดยรอบวันพรุ่งนี้ ว่ามีใครเต็มใจขายให้หรือไม่
ขณะนี้ภายในจวนมีคนมากกว่าสี่สิบชีวิต พื้นที่โดยรอบจึงดูเล็กลงไปมากและไม่เพียงพอให้คนเหล่านั้นพักอาศัย
ด้วยประการฉะนี้ เขาจำต้องเร่งขยายพื้นที่ของจวนให้ได้มากที่สุด
อีกทั้ง หยางเสี่ยวเทียนยังได้กำชับทั้งสองว่า หากจวนรอบข้างเต็มใจจะขายให้ ก็อาจเพิ่มราคาให้พวกเขาได้นิดหน่อย
“นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล พรุ่งนี้เราจะไปที่นั่นแต่เช้าตรู่เพื่อสอบถาม” อัตยกมือประสานกำหมัดแน่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
เมื่อหยางเสี่ยวเทียนได้ฟังเช่นนั้นเขาก็พยักหน้า จากนั้นมอบถ้วยที่เต็มไปด้วยธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ให้พวกเขาแต่ละคน
หลังจากที่หลัวชิงและอัตจากไปแล้ว เหยาติงจึงส่งเสียงตวาดด้วยความโมโห “เจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่าธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์เป็นน้ำเต้าหู้หรืออย่างไร ที่จะเที่ยวแจกให้คนนั้นหนึ่งถ้วย คนนี้หนึ่งถ้วย พรุ่งนี้อีกหนึ่งถ้วย”
“เฮ้ย… หากเจ้ายังคงแจกจ่ายมันเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าไม่ถึงปี บ่อน้ำเล็กๆ ของธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ คงได้เหือดแห้งลงในไม่ช้า!” เหยาติงกล่าวพลางทอดถอนใจ
หยางเสี่ยวเทียนเผยยิ้มพลางกล่าวว่า “ไยต้องเป็นกังวล หากมันหมดลงเมื่อไร อาจารย์ติงและข้าก็สามารถออกตามหามันเพิ่มอีกกี่ครั้งก็ย่อมได้”
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ เจ้าคิดว่าธารสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์มีอยู่ทุกหนทุกแห่งหรืออย่างไรกัน” เหยาติงแผดเสียงตะคอกอีกครั้ง
“ตราบใดที่ท่านยังสัมผัสถึงมันได้ อย่างไรเราก็หามันพบอยู่ดี” หยางเสี่ยวเทียนยังคงแย้มยิ้ม ไม่แสดงถึงความเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย
เหยาติงขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เขาจึงเงียบปากไปโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดอีก
จากนั้น หยางเสี่ยวเทียนจึงเริ่มกลับมาหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการ
มากกว่าครึ่งชั่วยามต่อมา โอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ก็ถูกหลอมขึ้นจนเสร็จสิ้น
เมื่อเห็นว่ายังไม่เช้า หยางเสี่ยวเทียนจึงหลอมขึ้นอีกเม็ด จากนั้นค่อยหันมาเริ่มบ่มเพาะปราณมังกรแรกเริ่ม
ในเวลาเช้ามืด หยางเสี่ยวเทียนก็รีบปรี่ไปยังจัตุรัสร้อยกระบี่ของสำนัก เพื่อเร่งหยั่งรู้ศิลากระบี่ให้ครบร้อยเล่มโดยเร็ว
บรรดาศิษย์ที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่อยู่โดยรอบจัตุรัสร้อยกระบี่ ปรากฏเห็นหยางเสี่ยวเทียนมายังจัตุรัสแต่เช้าตรู่ พวกเขาก็พลันหยุดแล้วเริ่มรวมตัวกันทันที
“พวกเรา หยางเสินจะหยั่งรู้ศิลากระบี่อีกแล้ว!”
จู่ๆ ก็มีเสียงของศิษย์กลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นดังลั่น
เสียงนั้นทำให้หยางเสี่ยวเทียนถึงกับเหงื่อตก ไม่คิดว่าการกระทำของเขาทุกวันนี้ จะกลายเป็นที่จับตามองของบรรดาศิษย์ในสำนักคนอื่นๆ
เขาพยายามไม่สนใจบรรดาศิษย์ที่หลั่งไหลกันเข้ามาราวกระแสน้ำ และยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าศิลากระบี่เล่มที่สามสิบเอ็ดพร้อมเริ่มนั่งทำสมาธิ
ไม่ถึงสามลมหายใจ ปราณกระบี่อันเจิดจรัสที่ห่างหายไปเนิ่นนานก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครั้ง
หลินหยงและเฉินหยวน ต่างวางทุกสิ่งที่พวกตนกำลังทำอยู่ พร้อมรีบเร่งไปยังต้นกำเนิดเสียง ทันทีที่พวกเขารับรู้ว่าหยางเสี่ยวเทียนกลับมาหยั่งรู้ศิลากระบี่อีกครั้ง หลังผ่านไปหลายวัน
ไม่รู้ว่าเพราะทักษะด้านกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนดีขึ้น หรือด้วยเหตุผลอื่นใด จึงทำให้เขาหยั่งรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามสิบเอ็ด ได้ในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยาม
ท่ามกลางสายตามากมาย หยางเสี่ยวเทียนก็ยังรู้ศิลากระบี่เล่มที่สามสิบสองต่อ
จากนั้น ก็มาถึงศิลากระบี่เล่มที่สามสิบสาม
หยางเสี่ยวเทียนจมอยู่ในห้วงพิภพแห่งศิลากระบี่โดยสมบูรณ์ และหยั่งรู้ศิลากระบี่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
เขานั่งสมาธิหน้าศิลากระบี่เล่มที่สี่สิบ ไม่ช้าก็แตกฉานทั้งสี่สิบเล่ม ครั้นเบิกตาขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้าเริ่มมืด จึงหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ รุ่งขึ้นค่อยมาอีกครั้ง