บทที่ 132 ไฟประหลาดแห่งตำหนักกระบี่
หากใครจากอาณาจักรโดยรอบสามารถเข้าร่วมสำนักเทียนโต้วได้ จะนับว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดของบุคคลเหล่านั้น
“เข้าร่วมสำนักเทียนโต้ว” แววตาของหยางเสี่ยวเทียนเปล่งประกายยิ่งขึ้น
เฉินฉางชิงพยักหน้า “ช่วงคิมหันต์ฤดูครั้งต่อไป สำนักเทียนโต้วจะเปิดรับคัดเลือกศิษย์”
คิมหันต์ฤดูของปีหน้างั้นหรือ
หยางเสี่ยวเทียนพยักหน้ารับทราบคำชี้แนะของผู้อาวุโสเฉินฉางชิงทันที
หากต้องการเข้าร่วมสำนักเทียนโต้ว เขาต้องเข้าร่วมการประลองฝีมือระดับสำนักของอาณาจักร เสินไห่เสียก่อน
และนี่ เป็นการประลองฝีมือของศิษย์จากสำนักหลักในอาณาจักรเสินไห่ ซึ่งหากสามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ จึงจะมีโอกาสถูกรับการพิจารณาเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักเทียนโต้ว
ดังนั้นอีกหนึ่งปีข้างหน้า หยางเสี่ยวเทียนจะต้องประลองฝีมือระดับสำนัก และกลายเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของอาณาจักรเสินไห่ให้ได้
เขาต้องติดหนึ่งในสิบอันดับแรก ของการประลองฝีมือระดับสำนัก!
ซึ่งภายในปีนี้ เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเพิ่มระดับพลังยุทธ์ และวรยุทธให้แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้
แม้เขาจะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของการประลองฝีมือระดับสำนัก แต่เขายังคงต้องเข้ารับการพิจารณาเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักเทียนโต้ว โดยการประลองฝีมือกับเหล่าอัจฉริยะจากสำนักหลักในอาณาจักรโดยรอบอยู่ดี
เลือดของหยางเสี่ยวเทียนเดือดพล่านไปทั่วร่าง ครั้นนึกถึงการประลองฝีมือกับบรรดาอัจฉริยะจากสำนักหลักในอาณาจักรโดยรอบ
“การพิชิตไฟศักดิ์สิทธิ์ นับว่ายากจะสำเร็จยิ่งนัก” เหอเล่อกล่าวแทรก
จากนั้นเขากล่าวเสริมว่า “แล้วไฉน เจ้าไม่ลองพยายามพิชิตไฟประหลาดดูเล่า”
“ไฟประหลาด” หยางเสี่ยวเทียนอุทานด้วยความตกตะลึง
“ใช่แล้ว” เหอเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แท้จริงแล้ว ในตำหนักกระบี่ของเรา ก็มีไฟประหลาดอยู่ชนิดหนึ่ง”
เมื่อได้ยินว่ามีไฟประหลาดอยู่ในตำหนักกระบี่ หยางเสี่ยวเทียนก็อดฉงนใจไม่ได้
“จริงสิ ข้าลืมไปเลยว่ามีไฟประหลาดอยู่ในตำหนักกระบี่ของเราเช่นกัน” เฉินฉางชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อก่อน ผู้อาวุโสสูงสุดกัวเจี๋ย ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อจะพิชิตมัน แต่ทว่า แม้จะผ่านไปเนิ่นนานผู้อาวุโสสูงสุดกัวเจี๋ยก็มิอาจพิชิตมันได้สำเร็จ จวบจนตอนนี้ ภายในตำหนักกระบี่ ยังคงมีไฟประหลาดชนิดนี้อยู่” เฉินฉางชิงกล่าวเสริมสีหน้าเคร่งเครียด
เขาพักหายใจอยู่ครู่ แล้วกล่าวต่อ “ต่อจากนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดกัวเจี๋ยจึงได้ตั้งกฎขึ้นว่า หากมีผู้ใดสามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบหนึ่งร้อยเล่ม จนได้รับตำแหน่งเจ้าตำหนักกระบี่ จึงจะสามารถเข้าไปยังส่วนลึกของตำหนัก เพื่อพิชิตเปลวไฟประหลาดนี้ได้”
“หยั่งรู้ศิลากระบี่ครบหนึ่งร้อยเล่มงั้นหรือ” หยางเสี่ยวเทียนเปิดปากถามหลังนิ่งเงียบมาสักพัก
“ใช่แล้ว ไม่ว่าศิษย์คนใดก็ตาม ที่สามารถหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบทั้งร้อยเล่ม จะได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักกระบี่ และเป็นผู้ครอบครองทุกสิ่งอย่างของตำหนักกระบี่” เฉินฉางชิงกล่าว
เขาก้มศีรษะมองหยางเสี่ยวเทียนด้วยรอยยิ้มก่อนกล่าวอีกว่า “วันใดที่เจ้ากลายเป็นเจ้าตำหนักกระบี่ จึงจะสามารถเข้าไปยังส่วนลึกของตำหนัก เพื่อพิชิตเปลวไฟประหลาดนั้นได้”
“ไฟประหลาดนี่ เป็นไฟประหลาดชนิดใดขอรับ” หยางเสี่ยวเทียนสงสัยมานานจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ!” เฉินฉางชิงกล่าว
เปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ!
เปลวไปชนิดนี้ มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับเก้า ในบรรดาไฟประหลาดทั้งสิบอันดับแรก!
หยางเสี่ยวเทียนรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าในสำนักเสินเจี้ยนแห่งนี้ จะมีไฟประหลาดอันดับที่เก้าอย่างเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณเก็บซ่อน ณ ส่วนลึกเข้าไปในตำหนักกระบี่
ในบรรดาไฟแห่งสวรรค์และโลก ไฟศักดิ์สิทธิ์นับว่าหาได้ยากยิ่ง แต่ภายใต้ความทรงพลังลองลงมาจากไฟศักดิ์สิทธิ์ ไฟประหลาดถือว่าแข็งแกร่งใช้ได้ และเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
หากเขาได้ครอบครองหนึ่งในสิบอันดับแรกของไฟประหลาด มันคงเป็นเรื่องน่าทึ่งอยู่ไม่น้อย
ไม่นานหลังจากได้รับรู้ตำแหน่งอื่นๆ ของบรรดาไฟศักดิ์สิทธิ์ หยางเสี่ยวเทียนก็กลับออกจากตำหนักกระบี่ด้วยสีหน้ายินดี แม้การพิชิตเปลวไฟหมื่นมังกรเพลานี้ จะยังเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่
แต่หยางเสี่ยวเทียนกลับได้รู้ตำแหน่งของเปลวไฟเก้าหงส์สุวรรณ ไฟประหลาดเก้าอันดับแรก ในตำหนักกระบี่ ที่เขายังพอมีโอกาสพิชิตมัน ซึ่งต้องหลังจากหยั่งรู้ศิลากระบี่ ให้ครบทั้งร้อยเล่มเสียก่อน
“เสี่ยวเทียนจะใช้เวลานานเท่าใดนะ จึงจะหยั่งรู้ศิลากระบี่ครบทั้งร้อยเล่มได้” เริ่นเฟยเสวี่ยพึมพำ
“อาจจะหนึ่งปี ก็เป็นได้” เฉินฉางชิงกล่าวน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ
“หนึ่งปีงั้นรึ เป็นไปไม่ได้แน่ อะไรจะรวดเร็วปานนั้น!” เหอเล่อส่ายศีรษะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
แม้พรสวรรค์ด้านกระบี่ของหยางเสี่ยวเทียนจะสูงส่งมากก็จริง แต่ในมุมมองเหอเล่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามปีขึ้นไป จึงจะแตกฉานศิลากระบี่หนึ่งร้อยเล่ม
หลังหยางเสี่ยวเทียนออกจากตำหนักกระบี่ และกำลังเดินผ่านจัตุรัสร้อยกระบี่ เขากลับหยุดยืนมองมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่ามันใกล้จะมืดค่ำ จึงตัดสินใจมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น
ครั้นหยางเสี่ยวเทียนถึงจวนหลัก หลัวชิงก็พาเลี่ยวคุนและจางจิงหรงมาพบ โดยบอกว่าพวกเขาทั้งห้าคน กลืนยาเหล่านั้นไปแล้วแลเต็มใจที่จะติดตามหยางเสี่ยวเทียน
หยางเสี่ยวเทียนจึงมอบของขวัญสำหรับการประชุมให้เลี่ยวคุน กับพวกเขาทั้งสี่คน โดยแต่ละคนเป็นโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์
“โอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์!” เลี่ยวคุนพร้อมอีกสี่คนมองไปยังโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์ทั้งห้าเม็ด ที่อยู่ในมือของหยางเสี่ยวเทียนด้วยความประหลาดใจยิ่ง
ระหว่างที่อยู่ในสำนักดาบสีชาด แม้ทางสำนักจะแจกจ่ายโอสถวิญญาณทุกหกเดือน แต่นั่นเป็นเพียงโอสถวิญญาณหลงหู่ระดับสูงเท่านั้น ไม่ใช่แม้แต่โอสถวิญญาณระดับสูงสุด สำมะหาอะไรกับโอสถวิญญาณระดับสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้า ไหนเลยพวกเขาจะเคยพบพานมาก่อน
หยางเสี่ยวเทียนกล่าวเจียมๆ “เนื่องจากข้ามีเวลาน้อย จึงหลอมได้เพียงโอสถวิญญาณสี่ประการระดับสวรรค์เท่านั้น ไว้เดือนหน้า ข้าจะหลอมโอสถวิญญาณสี่ประการระดับนิรันดร์ให้พวกเจ้า”
เลี่ยวคุนและอีกสี่คน ยืนตะลึงลานอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นนานสองนาน พวกเขากล่าวอะไรไม่ออก กระทั่งหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น