ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
เวลานี้ ในหอแรงโน้มถ้วง มีศิษย์นั่งขัดสมาธิและฝึกฝนอยู่อย่างหนัก
ศิษย์บางคนกำลังร่ายรำด้วยค้อนใหญ่ บางคนกระโจนไปมาราวกับเสือ ในขณะที่บางคนก็แบกหินใหญ่ไว้บนหลัง หรือกระโดดไปมาเหมือนกับกบ
ทันทีที่เต๋าซุนกับเจ้าปลาน้อยเดินเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่พัดเข้ามาจากทุกทิศทาง
คลื่นพลังเหล่านี้ทำให้เต๋าซุนเคลื่อนที่ต่อช้าลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้
แต่สำหรับเจ้าปลาน้อยแล้ว เขากลับรู้สึกราวกับว่ามีรถม้าความเร็วสูงพุ่งชน เขาถูกกดทับตัวติดกับพื้นและแทบจะหายใจไม่ออก
“อย่าคิดที่จะใช้ร่างกายต้านทานแรงโน้มถ่วง” เต๋าซุนเตือนจากด้านข้าง: “หายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ร่างกายของเจ้าปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วงก่อน จากนั้นก็ผ่อนคลายจิตใจตามหาวิถีของแรงโน้มถ่วง และปรับเปลี่ยนร่างกายของเจ้าให้สอดคล้องกับมัน ะ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเต๋าซุน เจ้าปลาน้อยก็หลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆปรับตัว
…………
ไม่นานหลังจากที่เต๋าซุนปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วงได้อย่างมั่นคง เขาก็หันไปมองกลุ่มศิษย์ที่อยู่รอบๆ
ผู้นำของกลุ่มคือเด็กสาว นางเดินเข้ามาหาเต๋าซุนอย่างหยิ่งยโสและถามว่า "เต๋าซุน ปางซู พวกเจ้าสองมาทำอะไรที่นี่ ? คิดจะสร้างปัญหารึ" "
เต๋าซุน เหลือบมองหญิงสาวชื่อ หลิวเหมย ผู้เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์
“มันเกี่ยวอะไรกับเจ้ารึ” เต๋าซุนตอบอย่างเย็นชา
“ใช่แล้ว ต่อให้แม่ยายข้าจะเลิกยุ่งเรื่องชาวบ้าน ในอนาคตพี่ซุนก็ไม่แต่งงานกับเจ้าหรอก”เจ้าปลาน้อยที่อยู่ข้างๆก็ตะโกน
ผู้อาวุโสใหญ่กับรองจ้าวนิกายเต๋าเสี่ยวโม่นั้นมักจะแข่งขันกันอยู่เสมอ เมื่อหัวหน้านิกายจากไป ผู้อาวุโสใหญ่ก็หวังที่จะกุมอำนาจ
โดยไม่คาดคิด เต๋าเสี่ยวโม่กลับเป็นผู้ได้ครอบครองอำนาจสูงสุด นี่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่แค้นอยู่เสมอ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองกำลังในนิกายเมฆาศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
กลุ่มหนึ่งคือกองกำลังที่นำโดยรองหัวหน้านิกายเต๋าเสี่ยวโม่ และอีกหนึ่งคือกองกำลังที่นำโดยผู้อาวุโสใหญ่
…………
ในเวลานี้ เมื่อหลิวเหมยได้ยินคำพูดของเต๋าซุน นางก็ตอบกลับด้วยความโกรธ : "เต๋าซุน ถ้าเจ้ามีความสามารถพอก็มาประลองกับข้าไหมล่ะ"
“ข้าไม่สนใจ” เต๋าซุนโบกมือแล้วพูดต่อ “เชิญพวกเจ้าเล่นที่ต่อไปเถอะ ข้าจะฝึกของข้า”
“พูดมาเถอะว่าเจ้ากลัว เอางี้ ถ้าเจ้าพูดคำว่ายอมแพ้กับข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป ” หลิวเหม่ยก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เต๋าซุนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางช่างเป็นเด็กหญิงที่เอาแต่ใจนัก !
เป็นเช่นนั้น หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่มักชื่นชอบคนที่ประจบประแจง เมื่อก่อนเป็นเช่นไรปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น
เขาก็ตอบช้าๆ: "ไม่ใช่ว่าข้ากลัว แต่การประลองก็สมควรมีเดิมพัน เจ้ามีข้อเสนอที่ทำให้ข้าสนใจได้หรือไม่ละ ?"
หลิวเหมยก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบอย่างครุ่นคิด : "ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะบอกความลับบางอย่างแก่เจ้า "
“ไม่น่าสนใจ” เต๋าซุนส่ายหัวอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ความลับของเจ้ามีประโยชน์ต่อข้ารึ? หรือเจ้าจะบอกว่าแอบชอบข้าอยู่”
เมื่อได้ยินคำพูดของ เต๋าซุน เหล่ารุ่นเยาว์หลายคนก็หัวเราะออกมา
“เจ้าคนหน้าด้าน” ใบหน้าของหลิวเหมยก็กลายเป็นสีแดง และนางก็ชี้ไปที่เขาด้วยความโกรธ “ได้ ถือว่าเจ้าชนะ ข้าก็แค่จะบอกเจ้าเกี่ยวกับไก่ศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านปู่เลี้ยงไว้ มันเพิ่งให้กำเนิดลูกน้อยสองตัวเมื่อไม่กี่วันก่อน ทีนี้เจ้าอยากประลองกับข้ารึยัง ?”
อืมมมมมม…
เต๋าซุนก็เกาหัวและพูดอย่างเฉยเมย "ตอนนี้ข้าไม่สนใจความลับนี้ของเจ้าแล้ว มีความลับอะไรอีกไหม?"
…………
เจ้าปลาน้อยที่อยู่ข้างๆก็ตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำว่า "ไก่ศักดิ์สิทธิ์ " เขาเลียริมฝีปากของเขา และกลอกตาราวกับว่ากำลังคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง
ไก่ศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นนกหายากชนิดหนึ่ง มันเป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่งและแม้จะมีเงินก็ไม่อาจหาซื้อได้
มันมีพลังในการปกป้องดูแลสวนสมุนไพรได้ดีมาก ทั้งให้ปุ๋ยและจับแมลงได้ ถ้าให้กล่าวก็คือ มันคือชาวสวนผู้สมบูรณ์แบบ
ไก่ศักดิ์สิทธิ์เป็นไก่ที่ดีที่สุดในบรรดาไก่
มันเป็นราวกับเจ้าเหนือหัวในหมู่เมนูไก่ และแม้ว่ามันจะเป็นอาหาร มันก็ไม่ใช่สิ่งที่อาหารทั่วไปจะเทียบได้
มันเติบโตมาด้วยโอสถตั้งแต่ยังเล็ก เนื้อทุกส่วน เลือดทุกหยดในร่างของมันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง
ว่ากันว่าหากได้กินเนื้อไก่ศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก ไก่ตัวหนึ่งสามารถยืดอายุของผู้กินได้ถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว
…………
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรล่ะ”หลิวเหมยก็ถามอย่างลังเล
“ข้าได้ยินมาว่าสัตว์พาหนะของปู่เจ้าเสือฟ้ามืดได้ให้กำเนิดลูกออกมาครอกหนึ่งใช่หรือไม่ ?” เต๋าซุน ถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
“เจ้าต้องการอะไร” หลิวเหมยก็ถามอย่างระมัดระวัง: "ปู่ของข้าบอกว่าจะส่งเจ้าลูกสัตว์พวกนั้นให้กับบางคน ข้าไม่กล้าแตะต้องพวกมันหรอกนะ "
“ข้าต้องการลูกเสือฟ้ามืดสองตัว” เต๋าซุน กล่าวโดยตรง: “ถ้าเจ้าไม่ตกลงก็ลืมเรื่องการประลองไปได้เลย”
ไม่ว่ายังไงเจ้าก็เป็นหลานรักของปู่อยู่แล้วหนิ แอบเอาลูกเสือฟ้าทมิฬออกมาสักสองตัวก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรไม่ใช่รึ
หรือเจ้าจะบอกว่าตัวเองสำคัญน้อยกว่าลูกเสือสองตัวกัน? "
“ใครว่ากัน?” หลิวเหมยก็รีบตอบ: "ปู่ของข้ารักข้ามาก ได้ ข้ารับข้อเสนอของเจ้า "
“เยี่ยมเลย เช่นนั้นเจ้าอยากแข่งอะไรล่ะ ?” เต๋าซุนถามด้วยความสนใจ
“ง่ายมาก เรามาประลองต่อสู้กัน ใครแพ้ใครชนะจะได้ตัดสินให้ชัดเจนไปเลย” หลิวเหมยตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาที่มั่นใจ
“ไม่ยุติธรรมเลย”เจ้าปลาน้อยที่อยู่ข้างๆก็ตะโกนขึ้น: “เจ้าเริ่มฝึกฝนร่างกายตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว แต่พี่ซุนเพิ่งเริ่มฝึกเท่านั้น เขาจะเป็นคู่มือของเจ้าได้ยังไง”
“แล้วเจ้าอยากแข่งอะไรล่ะ?” หลิวเหมยก็จ้องมองไปที่เจ้าปลาน้อย และพูดพร้อมกับขบฟันแน่น
“ข้ามีความคิดอยู่ แต่เรื่องนี้ต้องให้ข้าเป็นผู้ตัดสิน ” ในเวลานี้เอง เสียงก็ดังขึ้นมาจากที่ชั้นสองของหอแรงโน้มถ่วง
ทุกคนเงยหน้าขึ้นและเห็นชายคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นบนอย่างช้าๆ
ชายคนนี้สวมชุดคลุมสีน้ำเงิน ใบหน้าแน่วแน่ จมูกโด่ง ผมยาวผูกไว้บนศีรษะ และมีดาบยาวสีเขียวห้อยอยู่ที่เอว
“พี่ใหญ่จงหวิน” เมื่อเห็นการมาถึงของชายคนนั้น หลิวเหมยก็รีบวิ่งไปอย่างมีความสุข
“น้องสาว คนพวกนี้เป็นคนนิสัยเสีย เจ้าพยายามพูดคุยกับคนพวกนี้ให้น้อยที่สุดจะดีกว่านะ” จงหวินตอบด้วยรอยยิ้ม
เต๋าซุนก็เหลือบมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายนั้นเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสใหญ่และรู้จักกันในนาม "นักดาบแสงเชี่ยว"
เมื่อเหล่าศิษย์ที่อยู่รอบๆเห็นการมาถึงของจงหวิน พวกเขาก็รีบเข้ามาทักทายโดยไม่สนเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้จักพวกเขาหรือไม่ พวกเขาทำเพื่อให้อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเท่านั้น
“วิธีของเจ้าคืออะไร” เต๋าซุนถามเบา ๆ
“ไม่ต้องกังวล” จงหวินยิ้มเบา ๆ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “หลิวเหมยสัญญากับเจ้าเมื่อครู่แล้วว่าหากเจ้าชนะ นางจะมอบลูกเสือฟ้ามืดสองตัวให้กับเจ้า
แต่….ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ล่ะ? เจ้ายังไม่เอ่ยออกมาเลยว่าจะใช้สิ่งใดในการเดิมพัน! "
“ถ้าข้าแพ้ ข้าจะทำตามทุกอย่างที่นางขอโดยไม่มีเงื่อนไข” เต๋าซุนก็ตอบ
“ดีเลย ข้าไม่ขออะไรมาก เอาเป็นว่า…. ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าต้องเห่าเช่นสุนัขสามครั้งต่อหน้าผู้คนในนิกาย เจ้ากล้าไหมล่ะ ?” จงหวินก็พูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ